ตอนที่ 335 ชะตาชีวิตท่านค่อนข้างน่าสังเวช

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 335 ชะตาชีวิตท่านค่อนข้างน่าสังเวช

หลังจากฟังคำพูดของฉินหลิวซี ซ่งเยี่ยก็ไม่ได้มีสีหน้าดูถูกอีกต่อไป

เขาพูดถูก ผู้มีความสามารถไม่พูดถึงเรื่องอายุ ผู้ที่สามารถเอ่ยเรื่องเช่นนี้ได้ในอายุเพียงเท่านี้นั้นไม่ใช่เด็กธรรมดา

ซ่งเยี่ยไม่กล้าดูถูกอีกต่อไป ในใจยังคงแอบมีความหวังอยู่เล็กน้อย บางทีเขาอาจจะสามารถรักษาโรคของน้องสาวของตนได้จริงๆ

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซ่งเยี่ยก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

ฉินหลิวซีจดจ่ออยู่กับการจับชีพจร หลังจากจับข้างหนึ่งเสร็จแล้วก็เปลี่ยนอีกข้างหนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ซ่งเยี่ยมองดูสีหน้าของอีกฝ่ายอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังขมวดคิ้วก็ใจเต้นโดยปริยาย อดถามไม่ได้ว่า “ท่านอาจารย์ มีอะไรไม่ดีหรือ ข้าเคยพบื่รหมอมาหลายท่าน ต่างก็บอกว่าข้ามีน้ำไตไม่เพียงพอ สารจิงเสียหาย ดังนั้นหลายปีมานี้จึงมีบุตรยาก”

เมื่อคำพูดที่บอกว่า ‘มีบุตรยาก’ ออกมา ก็มีร่องรอยความขมขื่นและความไม่อาจยอมรับได้ปรากฏบนใบหน้าเขา

อยากถามว่ามีบุรุษคนไหนในโลกนี้ที่จะยอมรับภาวะมีบุตรยากอย่างเปิดเผยได้ จะมีสักกี่คนที่ไม่เสียใจกับการไม่มีบุตร

โดยเฉพาะซ่งเยี่ย ใช่ว่าเขาไม่เคยมีบุตรชาย เขาเคยมีบุตรชายซ้ำยังมีถึงสองคน แต่อย่างที่ฉินหลิวซีเอ่ยไว้ เสียก่อนวัยอันควรไปทีละคนนั้นเป็นเรื่องที่เจ็บปวดกว่าการที่ไม่มีบุตรชายเลย เพราะเขาเคยมีแต่กลับสูญเสียไป

ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ท่านหมอที่ท่านแม่ทัพเคยพบก็ไม่ใช่หมอเถื่อนไปเสียทุกคน ไตพร่องนั้นเป็นเรื่องจริง พลังส่วนล่างไม่มั่นคง การตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากจริงๆ”

สีหน้าของซ่งเยี่ยมืดมนกว่าเดิม

“แต่ก็ใช่ว่าแม่ทัพจะไม่เคยมีบุตร แสดงว่าท่านยังมีรากฐานของสารจิงอยู่ ใช้ยาที่มีประสิทธิภาพเพื่อปรับหยินหยางของร่างกาย ดื่มยาต้มอย่างสม่ำเสมอ ปรับไตและสารจิงให้ดีขึ้น ก็จะสามารถทำให้สตรีตั้งครรภ์ได้”

ดวงตาของซ่งเยี่ยเป็นประกาย “ท่านหมายความว่าข้ายังสามารถมีบุตรได้ใช่หรือไม่”

“ตราบใดที่ดูแลร่างกายดี ความปรารถนาย่อมเป็นจริง”

เมื่อซ่งเยี่ยได้ยินเช่นนี้ก็เริ่มเป็นกังวล ถามว่า “เช่นนั้นจะต้องทำอย่างไร บอกตามตรง ข้าก็ดื่มยาตามคำแนะนำของท่านหมอมาตลอด กระทั่งทำตามคำแนะนำของท่านหมอ ลดกิจบนเตียงเพื่อบำรุงสารจิง แต่มันก็เป็นเพียงความว่างเปล่า”

“ท่านแลบลิ้นให้ข้าดูหน่อย”

ซ่งเยี่ยอ้าปากอย่างเชื่อฟัง

ฉินหลิวซีมองดูอย่างละเอียด เอ่ยว่า “ลิ้นเป็นฝ้าบางๆ ชีพจรอ่อนแอ สีหน้าหมองคล้ำ เคราและเส้นผมหงอกก่อนวัย ไตหลักมีสารจิงไม่เพียงพอ ท่านแม่ทัพขับถ่ายเป็นอย่างไรบ้าง”

“หา?” บรรดาบุรุษอย่างซ่งเยี่ยเมื่อได้ยินประโยคนี้ก็อดใบหน้าร้อนไม่ได้ กระแอมพลางเอ่ยอย่างลังเลว่า “ก็เรียวยาว บางครั้งก็ปวดเบาตอนกลางคืน ออกอย่างกระปิดกระปอย”

ดูเหมือนว่าเขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย จึงฝืนแก้ตัวว่า “ตอนที่ข้ายังหนุ่มไม่ได้เป็นเช่นนี้ ตอนที่อายุเท่าท่าน ข้าสามารถฉี่ข้ามกำแพงดินได้”

เฉินผีพูดไม่ออก “…”

เขามองไปยังคุณหนูของเขา หากอีกฝ่ายรู้ว่าท่านเป็นสตรี เกรงว่าคงจะอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้วกระมัง

ฉินหลิวซีกลับไม่ได้รู้สึกแปลกเลยแม้แต่นิด “ทำกิจบนเตียงได้นานแค่ไหน”

ซ่งเยี่ย “!”

ท่านอาจารย์ท่านนี้ยังเด็กอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดเขาถึงรู้ทุกอย่าง

ขณะที่เขากำลังจะเอ่ย ดูเหมือนว่าฉินหลิวซีจะรู้ถึงความคิดของเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “การเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมากับหมอเกี่ยวกับอาการของท่านจะทำให้การรักษาไม่ล่าช้า ทั้งยังช่วยให้หมอรู้ว่าควรจะรักษาอย่างไรอีกด้วย”

ซ่งเยี่ย “…”

เขาเขินอายเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “อาจเป็นเพราะอายุมากแล้ว ตอนนี้แรงไม่เป็นไปอย่างใจหวัง ได้แต่ทำอย่างลวกๆ เท่านั้น”

“ท่านแม่ทัพไม่สามารถทำกิจบนเตียงได้ คาดว่าร่างกายก็เหนื่อยล้าเช่นกัน ซ้ำยังกังวลเรื่องอาการเจ็บป่วยของน้องสาว เมื่อกังวลมากเกินไปจึงทำให้นอนไม่หลับ ไม่แปลกที่สีหน้าของท่านดูแย่ อารมณ์ของท่านไม่ดีเช่นนี้ ดื่มยาต้มไปเท่าไหร่ก็ไม่ช่วยอะไร”

เมื่อเอ่ยถึงอาการป่วยของน้องสาว ซ่งเยี่ยก็มีสีหน้ามืดมน เอ่ยว่า “นางเองก็ลำบากเหมือนกัน อายุปูนนี้มาสูญเสียบุตรชายไปจึงได้ล้มป่วย”

ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “สูญเสียบุตรชายเหมือนกันหรือ”

“ใช่แล้ว เดิมทีข้ามาที่นี่เพื่อสั่งโลงศพใหม่ให้หลานชาย หลุมศพของหลานชายข้าพังไปแล้ว”

ฉินหลิวซีเคาะโต๊ะเบาๆ คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพอยากดูโหงวเฮ้งหรือไม่”

ซ่งเยี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง กำลังตรวจอาการมีบุตรยากของเขาอยู่ดีๆ เหตุใดจึงต้องดูโหงวเฮ้งด้วย

“ท่านแม่ทัพลืมไปแล้วหรือ ร้านของพวกเรานี้รักษาคน ดูโหงวเฮ้งทำนาย หรือจะขายยันต์แคล้วคลาดก็ได้ทั้งนั้น” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพคือลูกค้าคนแรกของร้านเรา จะคิดค่ารักษาให้ท่านถูกลงหน่อย”

ซ่งเยี่ยเอ่ย “เช่นนั้นท่านดูโหงวเฮ้งให้ข้าหน่อยเถิด”

“ได้เลย ท่านช่วยยื่นมือออกมา”

ซ่งเยี่ยตกตะลึง ยื่นมืออกไป เขาจะจับชีพจรอีกแล้วหรือ

นักต้มตุ๋นทำตัวประหลาดเช่นนี้ทุกคนเลยหรือ

เมื่อเห็นว่าเขาสงสัย ฉินหลิวซีจึงอธิบายว่า “มีวิชาที่นักทำนายเรียกว่าการจับชีพจรไท่ซู่ สามารถทำนายดวงชะตาได้ ข้าจะบอกกล่าว ท่านแม่ทัพเพียงแค่ฟังก็พอแล้ว”

ซ่งเยี่ยยิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีก

ฉินหลิวซีวางสองนิ้วลงบนข้อมือซ้ายของเขา อีกมือหนึ่งร่ายคาถา พลางท่องคาถาวิชาจับชีพจรไท่ซู่ หลับตาลงเล็กน้อย จับชีพจรของเขาอย่างละเอียด

“สูญเสียบิดามารดาไปเมื่ออายุได้สิบขวบ ชะตาชีวิตต้องช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันกับน้องสาว”

ซ่งเยี่ยเกือบล้มลงด้วยความตกใจ แต่ข้อมือของเขาถูกฉินหลิวซีกดไว้ไม่สามารถขยับได้

“เมื่ออายุยี่สิบปีกลายเป็นโจร อาศัยความวุ่นวายของกองทัพลุกขึ้นมาเป็นวีรบุรุษ ห้าปีต่อมาได้ถูกคัดเลือก แต่งกายด้วยชุดสีแดง มีอำนาจบารมี เมื่ออายุได้สามสิบปีสูญเสียบุตรชายคนโต เมื่ออายุได้สามสิบเจ็ดปีสูญเสียบุตรชายคนรอง ภรรยาเอกฆ่าตัวตายเพราะความคิดถึงบุตรชาย เมื่อช่วงรุ่งเรืองของชีวิต[1]ร่างกายอ่อนแอ”

ซ่งเยี่ยสั่นไปทั่วทั้งร่าง สีหน้าหวาดหวั่น

เขาภูมิใจที่ตัวเองเป็นคนที่เคยเห็นพายุและคลื่นรุนแรงมาแล้ว แต่ตอนนี้เขารู้สึกหนาวสั่นจากก้นบึ้งหัวใจ

เขาเคยเห็นนักต้มตุ๋นที่พูดจาหลอกลวงมามากมาย คนที่พอมีทักษะจริงๆ อยู่บ้างก็เคยเห็น แต่นี่เป็นคนแรกที่สามารถตัดสินครึ่งแรกของชีวิตได้อย่างแม่นยำโดยอาศัยการจับชีพจร

ซ้ำยังเป็นเด็ก!

ผู้มีความสามารถไม่เอ่ยถึงเรื่องอายุ

ซ่งเยี่ยทำตัวไม่ถูก ยังคงสำลักน้ำลายไม่หยุด

“ดวงจิตไม่มั่นคงและไม่มีบุตร สูญเสียน้องสาวในช่วงรุ่งเรืองของชีวิต เมื่ออายุห้าสิบดวงวิญญาณกลับคืนสู่สวรรค์ ขาดญาติทางสายเลือด ทรัพย์สินตระกูลสูญสิ้น…”

ซ่งเยี่ยอดดึงมือกลับไม่ได้ ตกใจจนล้มลงจากเก้าอี้ มองไปยังฉินหลิวซีราวกับเห็นผี

ฉินหลิวซีลืมตาขึ้น มองไปยังซ่งเยี่ยที่หวาดกลัวจนหน้าซีดอยู่ที่พื้น เอ่ยว่า “ชะตาชีวิตของท่านแม่ทัพขมปร่าราวกับหวงเหลียน[2]!”

ซ่งเยี่ย “…”

นี่เรียกว่าขมปร่าหรือ

เรียกว่าโศกนาฏกรรมจะเหมาะกว่ากระมัง

เขาลุกขึ้นมาจากพื้น กดไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของตัวเอง เอ่ยด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “ท่านหมายความว่าข้าจะตายตอนอายุห้าสิบปีหรือ”

“ชีพจรในปัจจุบันทำนายดวงชะตาเช่นนี้”

“จะแม่นยำแค่ไหนหรือ”

ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “หากไม่มีจุดเปลี่ยน ก็มีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วน”

ซ่งเยี่ยสีหน้าซีดอีกครั้ง แต่กลับจับความหมายในคำพูดของอีกฝ่ายได้ แทบจะตะโกนใส่ “ท ท่านบอกว่ามีจุดเปลี่ยนหรือ”

“สิ่งที่เรียกว่าชะตาชีวิตนั้นไม่คงที่ ตราบใดที่บรรทัดที่หนึ่งเปลี่ยน บรรทัดอื่นๆ ก็จะเปลี่ยนตาม การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ใช่ทิศทางเดิมอีกต่อไป” ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “ท่านแม่ทัพ สวรรค์ยุติธรรมเสมอ”

ซ่งเยี่ยหัวเราะอย่างขมขื่น “สวรรค์ยุติธรรมเสมอ ข้าสูญเสียบิดามารดาไม่พอ สูญเสียบุตรชายและภรรยาก็ยังไม่พอ ต้องให้ตายกันไปข้างหนึ่งจึงจะพอใจ นี่เรียกว่ายุติธรรมหรือ”

“แต่สวรรค์ก็นำทางท่านมาอยู่ตรงหน้าข้าแล้วไม่ใช่หรือ บางทีข้าอาจเป็นจุดเปลี่ยนชะตาชีวิตของท่านแม่ทัพก็ได้”

ซ่งเยี่ยตกตะลึง

เขาจ้องไปยังฉินหลิวซีเป็นเวลานานและไม่เอ่ยอะไร หลังจากนั้นก็ก้าวถอยหลังสองก้าวแล้วยกมือประสานขึ้น “ขอท่านอาจารย์โปรดช่วยข้าด้วย หากร่างกายของข้าได้รับการปรับให้ดีขึ้นแล้ว ชะตาชีวิตก็จะเปลี่ยนไปใช่หรือไม่”

ฉินหลิวซีหัวเราะ เอ่ยว่า “ร่างกายเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่เกรงว่าชะตาชีวิตจะอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เนื่องจากมันเกิดการเปลี่ยนแปลงท่านถึงได้อ่อนแอ โหงวเฮ้งของท่านแม่ทัพ ความจริงแล้วไม่ใช่คนที่มีอายุสั้น”

ใบหน้าซ่งเยี่ยเต็มไปด้วยความสับสน เมื่อครู่เขาบอกว่าตัวเองมีอายุไม่เกินห้าสิบไม่ใช่หรือ

ฉินหลิวซีครุ่นคิดอยู่นาน “ข้ากำลังสงสัยว่ามีคนทำมนต์ดำสาปแช่งท่านแม่ทัพ”

ที่ร้ายแรงกว่านั้น อาจเป็นไปได้ว่าหลุมศพของบรรพบุรุษถูกคนลงมือแล้ว

[1] ช่วงรุ่งเรืองของชีวิต อายุสี่สิบถึงห้าสิบปี

[2] หวงเหลียน เป็นหนึ่งในสมุนไพรแห้ง ที่มีฤทธิ์เย็นและขมที่สุด