บทที่ 188.1 จุดจบ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 188.1 จุดจบ (1)
ท่านโหวกู้ทุบฝ่ามือลงกับโต๊ะอย่างแรง “มีทั้งพยานบุคคล พยานหลักฐาน เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก”

ตัวหนังสือพวกนั้นมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นลายมือของอนุหลิง

แม้แต่ตัวอนุหลิงเองยังตกตะลึง

วินาทีนั้น นางนึกสงสัยความตัวเองความจำเสื่อมไปหรืออย่างไร!

นางกลัวว่าตัวเองจะเคยเขียนมันจริง ๆ

แน่นอนว่าชายชู้นั้นย่อมไม่มีอยู่จริง เพื่อให้เรื่องราวทั้งหมดดูสมเหตุสมผล ตอนท้ายจี้จิ่วอาวุโสยังเขียนจดหมายรักแสนระทมระหว่างทั้งสองคน

เนื้อหาคร่าวๆ ประมาณว่า คือ ข้าทุกข์ทนกับคืนวันอันมืดมิดเช่นนี้มามากพอแล้ว ข้าไม่อาจยอมรับได้ว่าเจ้าต้องกลับไปอยู่ข้างกายชายอื่น ลาก่อน แก้วตาดวงใจของข้า อย่าได้ตามหาข้า ข้าจะเดินทางไปยังสถานที่อันไร้ผู้คน จากไปพร้อมชีวิตอันบัดซบและความทรงจำของเราสอง! จดหมายเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่าเข้าเคยอยู่ในโลกของเจ้า ข้าอยากมอบมันให้เจ้าช่วยทะนุถนอม

เอาละ แม้แต่กับดักที่ว่าเหตุใดอนุหลิงถึงได้มีจดหมายรักที่ตนเขียนอยู่ในมือก็ขุดไว้พร้อมแล้ว

หากไม่มีจดหมายรักของอนุหลิง ก็อาจจะบอกได้ว่าเป็นคำพูดของชายชู้เพียงฝ่ายเดียว อนุหลินิงย่อมปฏิเสธได้ว่านางไม่เคยเขียนถึงเขา

แต่เมื่อมีจดหมายที่นางเขียนตอบกลับด้วยลายมือแล้ว เรื่องราวความรักอันแสนเจ็บปวดนี้จึงได้สะเทือนอารมณ์และมีชวนเชื่อมากยิ่งขึ้น

ท่านโหวกู้คิดในใจ มิน่าละถึงได้ตามหาชายชู้ไม่พบ ที่แท้ชายชู้นั่นได้หนีออกไปจากเมืองหลวงแล้ว!

ท่านโหวกู้เดือดพล่านควันออกหู ไม่เพียงแต่โมโหที่อนุหลิงสวมเขาให้ตน แต่โมโหที่ฝีพู่กันของชายชู้นั้นเผ็ดร้อนยิ่งกว่าตนนัก!

คำพูดหวานเลี่ยนชวนขนลุกเช่นนั้นเขากลั่นออกมาไม่ได้หรอก!

… ครูพักลักจำ วันหน้าเขาจะเขียนให้ฮูหยินบ้าง!

เรื่องที่อนุหลิงสวมเขาให้ตนนั้น ท่านโหวกู้เรียกได้ว่าโมโหโทโส แต่คราวนี้เขายังพอตั้งสติได้ นั่นเห็นได้ชัดว่าในใจของเขานั้นอนุหลิงไม่ได้สำคัญสักเท่าไหร่ แต่เป็นเรื่องศักดิ์ศรีของบุรุษโดยแท้

เทียบกันแล้ว ฝ่ายเหล่าฮูหยินกู้กลับเดือดดาลเป็นที่สุด

อนุหลิงช่างน่าไม่อายยิ่งนัก ชายในบ้านไม่ดีพอหรืออย่างไร ถึงได้ต้องไปแอบลักกินขโมยกินข้างนอก!

เจ้าชายชู้คนนั้นดีเด่กว่าลูกชายของนางอย่างไร

เหล่าฮูหยินโกรธจนสั่นไปทั้งตัว ยกนิ้วชี้หน้าอนุหลิง “เสียดายที่ข้านึกว่าเจ้าเป็นคนดีมาโดยตลอด เห็นเจ้าเหมือนลูกสาวแท้ๆ คนหนึ่ง กินอยู่นุ่งห่มก็ไม่ให้น้อยหน้าใคร แม้เจ้าจะเป็นแค่อนุ แต่เจ้าอยู่ในจวนอย่างมีเกียรติเสียยิ่งกว่าฮูหยินที่เป็นนายหญิงด้วยซ้ำ! แล้วสุดท้ายนี่หรือคือสิ่งที่เจ้าตอบแทนท่านโหว”

อนุหลิงคิดในใจ ก็ใช่น่ะสิ ที่นางนางมีเกียรติมีศักดิ์ศรีเสียยิ่งกว่าเมียแต่ง ก็เพราะนางดื่มยาที่ทำให้เป็นหมัน หากนางคลอดลูกชายออกมาแย่งสมบัติกับสามพี่น้องนั่น เหล่าฮูหยินจะให้ความสำคัญกับนางหรือ

ทว่านางก็ไม่ได้พูดออกไป

ถึงพูดออกไปเหล่าฮูหยินกู้เองก็คงไม่รู้สึกรู้สา คงคิดเพียงแค่ว่านางนั้นหน้าไม่อาย ไม่รู้จักพอ ตอนนั้นนางอ้อนวอนขอเข้ามาอยู่ในจวนโหว ก็เป็นนางเองที่ยอมดื่มยาที่ทำให้เป็นหมันนั่น ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญเหนือไปกว่าจวนโหวและลูกของพี่สาวนาง

นางอยู่ที่นี่โดยไม่มีตัวตนอย่างนั้นหรือ

อันที่จริงอนุหลิงไม่เคยเอ่ยพูดคำเหล่านั้นออกมาแม้แต่นิด แต่เหล่าฮูหยินนั้นเชื่อแต่สิ่งที่ตนเองอยากเชื่อ นางจึงทึกทักเอาเองว่าอนุหลิงได้พูดเอ่ยออกมาแล้ว

ยามที่ดื่มยาที่ทำให้เป็นหมันนั้น อนุหลิงเคยน้ำตานองหน้ามองเหล่าฮูหยินกู้ด้วยสายตาอ้อนวอน

นางไม่ขัดขืน เพราะนางขัดขืนไม่ได้ ไม่ใช่เพราะยินยอมพร้อมใจอย่างแน่นอน

ทว่าเหล่าฮูหยินกู้กลับยัดเยียดให้กลายเป็นความต้องการของนาง

เหล่าฮูหยินกู้ยอมให้อนุหลิงกลั่นแกล้งแม่นางเหยาได้ แต่นางยอมให้อนุหลิงทำเรื่องน่าละอายต่อลูกชายของตนไม่ได้

อนุหลิงเอ่ยอย่างทุกข์ทม “ข้าเป็นคนเช่นไร ท่านไม่รู้เลยหรือเจ้าคะ ข้าจะทำเรื่องน่าละอายเช่นนั้นกับท่านโหวได้อย่างไร”

หลักฐานมัดตัวเสียขนาดนั้น เหล่าฮูหยินกู้ไม่รับฟังแม้แต่นิด!

ยามนั้นอนุหลิงสาดโคลนใส่แม่นางเหยามากเท่าไหร่ คราวนี้นางสาดกลับใส่ตนแรงกว่าสิบเท่า

เล็บของอนุหลิงจิกเข้าไปในเนื้อ “ได้เจ้าค่ะ พวกท่านบอกว่าข้าท้อง เช่นนั้นก็รอดูว่าอีกสิบเดือนว่าข้าจะคลอดเด็กออกมาหรือไม่!”

ทว่านางยังจะมีเวลาถึงสิบเดือนให้พิสูจน์ว่าท้องจริงหรือไม่อย่างนั้นหรือ

ท่านโหวกู้เปิดกล่องใบที่สอง ภายในนั้นกลับมีสมุดบัญชีสองเล่ม

เล่มแรกเป็นสมุดบัญชีของจวนโหว ทว่าไม่ใช่สมุดบัญชีของทางการอย่างเห็นได้ชัด แต่เป็นสมุดบัญชีที่อนุหลิงจดเอง

ภายในนั้นบันเทิงรายการที่อนุหลิงโยกย้ายเงินของจวนโหวกว่าสองแสนตำลึง!

อย่างที่รู้กันดี เงินเดือนหนึ่งปีของท่านโหวกู้เพิ่งจะร้อยสองร้อยตำลึงเท่านั้น หากเขาไม่กินไม่ใช้ก็ต้องใช้เวลากว่าห้าร้อยปีถึงจะเก็บหอมรอบริบได้มากมายถึงเพียงนี้

เงินส่วนหนึ่งนั้นนางนำไปจุนเจือนพี่ชายน้องชายฝั่งแม่

หากเทียบกับตระกูลเหยาที่ยากจนแล้ว พี่ชายและน้องชายสองคนของอนุหลิงที่เป็นขุนนางเหมือนกันนั้นสุขสบายกว่ามาก อนุหลิงให้เงินทีก็เกือบพันตำลึงแล้ว

และในวินาทีนั้นเอง เหล่าฮูหยินกู้ถึงเพิ่งรู้ว่าแม่นางเหยานั้นไว้เนื้อเชื่อใจได้มากกว่าพวกแซ่หลิงนัก อย่างน้อยแม่นางเหยาก็ไม่เคยเอาเงินที่เป็นหยาดเหงื่อแรงกายของจวนโหวไปให้ครอบครัวฝั่งแม่

ทั้งยังมีเงินอีกส่วนหนึ่งที่แม่นางเหยานำไปแลกเป็นทองคำแท่งแล้วฝากไว้ที่ธนาคารเฉียนจวง นั่นเท่ากับว่ายักยอกเป็นของตนเอง

เหล่าฮูหยินกู้ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่านางจะเก็บเงินส่วนตัวพวกนี้ไปใช้ทำอะไร หรือว่าวางแผนจะหนีตามไปกับเจ้าชายชู้นั่น เหล่าฮูหยินกู้แทบจะโมโหจนอกแตกตาย!

ส่วนเงินหนึ่งหมื่นตำลึงที่เหลือก้อนสุดท้ายนั้นก็ถูกบันทึกลงบัญชีได้อย่างสะดุดตา ไม่รู้ว่านำไปใช้ทำอะไร มีแต่บันทึกเพียงแค่ต่ชื่อของใครหลายๆ คน

“จางเต๋อ…” ท่านโหวกู้อ่านชื่อนั้นออกมา รู้สึกคุ้นหูอยู่ไม่น้อย

หวงจงเอ่ย “ท่านโหว หรือจะเป็นเสี่ยวจางจื่อ”

ท่านโหวกู้ครุ่นคิด “เสี่ยวจางจื่ออย่างนั้นหรือ”

หวงจงอธิบาย “จางไม่ล้ม! เจ้าหนุ่มที่ดื่มพันแก้วไม่เมา หมื่นแก้วไม่ล้มคนนั้น! คอแข็งยิ่งนัก! แต่ก่อนดูแลโรงรถ คนขับรถม้าที่ถูกฮูหยินคนก่อนไล่ออกไปพร้อมกับเฉียนเอ๋อร์ได้ปีกว่า!”

เมื่อพูดเช่นนั้นท่านโหวกู้ก็เริ่มมีเค้าลางขึ้นมา ชอบดื่มเหล้า ไม่เอาการเอางานอันใด จากนั้นก็ถูกฮูหยินคนก่อนไล่กลับไปอยู่ที่โรงรถ “เขายังอยู่ในจวนหรือไม่”

“ยังอยู่ขอรับ!” หวงจงตอบ

“แล้วพวกที่เหลือเล่า” ท่านโหวกู้ยื่นบัญชีให้หวงจง

“คนพวกนี้ก็ยังอยู่ขอรับ คนชื่อว่าหลิ่วชุนเอ๋อร์กระมัง…” หวงจงไม่ค่อยแน่ใจนัก

“นางไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ! แต่ข้าน้อยรู้ว่านางอยู่ที่ไหน!” แม่นมของสนิทของเหล่าฮูหยินกู้ส่งเสียงออกมาจากหลังม่าน

หวงจงและแม่นมคนสนิทแยกย้ายกันออกตามหา คนในบัญชีส่วนใหญ่ล้วนแต่ตามตัวเจอแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่ไม่รู้ว่าอยู่หนใด แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการสืบหาแต่อย่างใด

ท่านโหวกู้ซักฟอกพวกเขาทีละคนต่อหน้าอนุหลิง

แรกเริ่มพวกเขาไม่ยอมรับ

ท่านโหวกู้เอ่ยเสียงเย็น “ไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร แต่จำใส่หัวไว้ว่าพวกเจ้าเอาเงินไปเท่าไหร่ ก็รีบคืนเงินมาให้ข้าเสีย หากหามาคืนไม่ได้ ข้าจะถือว่าพวกเจ้าขโมย ข้าจะฟ้องทางการ! ข้าเป็นโหว หากข้าแจ้งจับพวกเจ้าเข้าตารางแล้วละก็ กลัวก็แต่ว่าพวกเจ้าจะไม่มีชีวิตรอดออกมาได้!”

เมื่อคำนั้นเอ่ยออกไป ทุกคนก็พากันแข็งทื่อ

จางไม่ล้มขลาดกลัวที่สุด จึงโขกหัวร้องขอชีวิตเป็นคนแรก “ท่านโหวโปรดเมตตา! ข้าน้อยพูดแล้วขอรับ! เงินพวกนั้นอนุหลิงเป็นคนให้พวกเราขอรับ นางให้พวกข้าแพร่ข่าวว่าฮูหยินเป็นคนฆ่าฮูหยินคนก่อน แพร่ทั้งในจวนและทั่วทั้งเมืองหลวงขอรับ!”

“นางยังให้ข้าทุบแท่นฝนหมึกสุดชิ้นโปรดของท่านชายสาม แล้วโยนความผิดให้ท่านชายเล็กเจ้าค่ะ!” แม่นมคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“นางให้ข้าแสร้งพูดต่อหน้าท่านชายรองและท่านชายสามว่า ท่านโหวมีฮูหยินคนใหม่แล้วก็ไม่ต้องการพวกเขาแล้ว! หากฮูหยินคนใหม่ให้กำเนิดบุตรชาย เช่นนั้นแล้วจวนโหวก็จะตกเป็นของน้องชาย!” แม่นมอีกคนหนึ่งเอ่ยต่อ

ในบรรดาคนเหล่านี้มีคนที่คอยรับใช้กู้เฉิงเฟิงและกู้เฉิงหลินอย่างใกล้ชิด

ที่กู้เฉิงเฟิงและกู้เฉิงหลินมีอคติต่อแม่นางเหยา ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเหล่าฮูหยินกู้และตระกูลหลิง อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะคำยุงแยงของบ่าวไพร่พวกนี้

พวกเขายุแยงได้อย่างแยบยล ล้วนแต่เป็นเพราะมีอนุหลิงคอยชี้แนะอยู่เบื้องหลัง สองพี่น้องจึงได้เชื่ออย่างสนิทใจ ทั้งยังไม่ลงโทษเหล่าข้าทาสอีกด้วย

บ่าวหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ทั้งยังมี…ตอนที่ปิดประตูห้องมืดเมื่อคราวนั้น…ท่านชายสามไม่ได้มีแรงเยอะขนาดนั้น จึงปิดประตูไม่สนิท เป็นอนุหลิงที่สั่งให้ข้าไปปิดประตูให้แน่น…”

เรื่องนี้แม้แต่กู้เฉิงหลินเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด เขาคิดว่าตัวเองปิดประตูแน่นแล้ว

พอกู้เหยี่ยนเปิดประตูไม่ออก โรคหัวใจก็กำเริบขึ้นมา จนเกือบจะตายอยู่ในนั้นแล้ว

ทว่าท่านโหวกู้เองก็เฆี่ยนท่านชายสามกู้เฉิงหลินปางตายอยู่เหมือนกัน

กู้ฉังชิงมักจะประกบติดท่านเหล่าโหวตลอด อนุหลิงจึงไม่ลงมือกับเขา แต่กลับเน้นไปที่การควบคุมกู้เฉิงเฟิงและกู้เฉิงหลินแทน

ทุกครั้งที่ทั้งสองน้อยอกน้อยใจท่านโหวกู้ ยามร่ำร้องว่าท่านพ่อไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ พวกเขาไม่ต้องการท่านพ่อแล้ว เหล่าบ่าวไพร่ก็มักจะพูดว่า “ไม่ใช่ความผิดของท่านโหว แต่ก่อนท่านโหวดูแลพวกท่านเป็นอย่างดี ล้วนแต่เพราะแม่นางเหยาให้กำเนิดลูกชาย ท่านโหวจึงไม่ใยดีพวกท่าน”

เด็กทั้งสองคนจึงระบายความโกรธแค้นลงที่กู้เหยี่ยน

กู้เหยี่ยนผู้น่าสงสาร อายุได้เพียงไม่กี่ปี กระโดดโลดนเต้นอยากจะไปหาพี่ชาย แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทนคือการกลั่นแกล้งของผู้เป็นพี่ชาย