บทที่ 249 ผงล่อสัตว์
บทที่ 249 ผงล่อสัตว์
หิมะสีขาวนวลปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง วิธีสร้างความสนุกเพลิดเพลินในยุคโบราณมีไม่มากนัก แต่ว่าการขว้างปาหิมะใส่กันและการปั้นตุ๊กตาหิมะในฤดูหนาวล้วนเป็นการละเล่นที่เด็ก ๆ ชื่นชอบมากที่สุด
ทุกคนสวมถุงมือป้องกันความหนาวเย็น พี่ชายทั้งสามคนของเสี่ยวเป่ารวมถึงญาติผู้พี่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปล่าสัตว์กำลังแบ่งกลุ่มเพื่อเริ่มสงครามลูกหิมะ
แน่นอนว่าเสี่ยวเป่าต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับพี่ชายของตน นางปั้นหิมะสีขาวผ่องเป็นก้อนกลม ๆ เตรียมจะขว้างออกไปอย่างสนุกสนาน ทว่าเมื่อโผล่จากหลังต้นไม้ได้เพียงครึ่งตัว ก็ถูกกระแทกด้วยลูกหิมะที่ลอยข้ามมาจนถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นก็สะดุดขาสั้นป้อมของตนเองล้มลงโดยที่มือยังถือลูกหิมะเอาไว้
“น้องหญิง เจ้าไม่เป็นไรนะ!”
เสี่ยวเป่าที่นอนแผ่บนพื้นหิมะ “…”
แพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม!
เจ้าตัวน้อยปลอดภัยดี หิมะกระจัดกระจายตามร่างกาย ความจริงแล้วทุกคนตั้งใจจะหลีกเลี่ยงเสี่ยวเป่า แต่แย่หน่อยที่ก้อนหิมะหลายลูกปลิวว่อนอย่างควบคุมไม่ได้ เสี่ยวเป่าก็นับว่าโชคไม่ดีที่ถูกก้อนหิมะพุ่งเข้าใส่ทันทีที่ก้าวออกมา มิหนำซ้ำยังไม่รู้ด้วยว่าเป็นฝีมือของผู้ใด
ทุกคนทั้งเป็นห่วงแล้วก็หัวเราะไปพร้อม ๆ กัน
โดยเฉพาะท่าทางที่น้องสาวสะดุดขาตัวเองล้มทั้งน่ารักทั้งดูขบขัน
เมื่อเห็นว่าน้องสาวไม่เป็นอะไร หนานกงฉีเฉินก็หัวเราะพลางอุ้มนางลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ปัดหิมะที่อยู่ตามตัวออกอย่างหมดจด
“น้องหญิง เจ้าปั้นตุ๊กตาหิมะดีกว่านะ”
เสี่ยวเป่าตอบกลับด้วยความดื้อรั้นพร้อมกับยืนเท้าเอว “ไม่เอา เสี่ยวเป่าจะเล่นปาหิมะ!”
หลังจากนั้นไม่นาน…
เจ้าก้อนแป้งตัวน้อยกำลังวิ่งไล่เหล่าพี่ชายโดยมีก้อนหิมะอยู่ในมือ
พวกเขาไม่ได้ตอบโต้ เพียงแต่หยอกเย้านางเล่นเท่านั้น
เสี่ยวเป่าใช้พละกำลังที่มีทั้งหมดกอบหิมะขึ้นมา ทว่าลูกหิมะลอยไปได้ไม่ไกล มิหนำซ้ำตัวเองยังติดสอยห้อยตามไปด้วย
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงล้มดังตุ้บ นางนอนหน้าคว่ำลงกับพื้นหิมะ
ขาย…ขายหน้ายิ่งนัก QAQ
“อุ๊บ! ฮ่า ๆ ๆ ๆ…”
ไม่รู้ว่าใครอดไม่ไหวจนหัวเราะออกมา เสี่ยวเป่าฝังหัวตัวเองลงในหิมะ
จงมองไม่เห็น จงมองไม่เห็น
เสี่ยวเป่าถูกอุ้มขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นพี่เจ็ดที่ปัดเศษหิมะบนตัวให้นาง จากนั้นก็ถอดถุงมือพลางใช้นิ้วบีบแก้มน้อย ๆ
พวกเขารู้สึกร้อนนิดหน่อยตอนที่วิ่งเล่นเมื่อครู่ อีกทั้งนิ้วมือก็อบอุ่นหลังจากที่ซุกอยู่ในถุงมือเป็นเวลานาน
เสี่ยวเป่าแนบหน้าลงกับมือของพี่เจ็ด จนลืมความขายหน้าเมื่อครู่ไปชั่วขณะ
คนที่ขายหน้าคือเสี่ยวเป่าที่หกล้มคะมำเมื่อครู่ นางไม่เกี่ยวอะไรด้วย!
“พี่เจ็ดท่านหลีกไปหน่อย ข้าจะนวดหน้าให้น้องหญิงบ้าง”
เสี่ยวเป่าเองก็เร่งรัดด้วยเสียงอ่อนหวาน “พี่เจ็ดรีบสวมถุงมือเถอะ เดี๋ยวจะหนาวนะ”
หนานกงฉีรุ่ยตอบตกลง จากนั้นก็หลบออกไปหนึ่งก้าวเพื่อหลีกทางให้กับเสี่ยวปา
หนานกงฉีจวินถอดถุงมือออกและยื่นมือเข้าไปบีบนวดแก้มของน้องสาว
ใบหน้าอ้วนกลมทั้งยังนุ่มนิ่ม มิหนำซ้ำนางยังเชื่อฟังสุด ๆ!
“ท่านพี่ พอแล้วล่ะ เสี่ยวเป่าไม่หนาวแล้ว”
เจ้าก้อนแป้งเงยศีรษะน้อย ๆ พลางส่งเสียงประท้วง
“ก็ได้ ๆ”
หนานกงฉีจวินหดมือกลับอย่างรู้สึกเสียดาย
เสี่ยวเป่าหันหน้ามองไปรอบ ๆ แล้วก็สบเข้ากับสายตาของเหล่าพี่ชายที่ยืนล้อมรอบพลางจ้องนางตาเป็นมัน
เสี่ยวเป่า “…”
ไม่เอาแล้ว ๆ ความรักของพวกพี่ชายหนักหนาเกินจะรับไหว นางตัวเล็กนิดเดียวเองนะ!
หลังจากนั้นเสี่ยวเป่าก็ยอมปั้นตุ๊กตาหิมะแต่โดยดี ล้มเลิกความคิดที่จะปาหิมะอีก
เจ้าตัวน้อยที่สวมใส่เสื้อผ้าจนหนามิเพียงขาสั้น อีกทั้งมือเท้าก็ไม่ว่องไว!
เสี่ยวเป่านั่งยอง ๆ ปั้นตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่หนึ่งตัวและตัวเล็ก ๆ อีกเก้าตัว
ตัวที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดพอ ๆ กับนาง ส่วนตัวอื่น ๆ ดูเตี้ยและอ้วน ตุ๊กตาหิมะตัวที่เล็กที่สุดตั้งอยู่ข้างหน้าตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่อีกที
“องค์หญิง ดื่มน้ำแกงขิงก่อนเถิดเพคะ”
นางกำนัลผู้หนึ่งถือน้ำแกงขิงเดินเข้ามา เสี่ยวเป่ามองเหล่าตุ๊กตาหิมะด้วยสีหน้ามีความสุข นางรับน้ำแกงขิงร้อน ๆ จากนางกำนัลมาถือไว้ แต่แล้วจู่ ๆ จมูกของนางก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่าง
“บนตัวเจ้าคือกลิ่นอันใดหรือ ข้าเหมือนเคยได้กลิ่นนี้จากที่ไหนมาก่อน”
นางกำนัลดมเสื้อผ้าของตัวเองด้วยสีหน้างุนงง
“ทูลองค์หญิง หม่อมฉันไม่ได้กลิ่นอันใดเลยนะเพคะ”
เสี่ยวเป่าดึงนางเข้ามาใกล้ กลิ่นก็ยิ่งชัดเจน
เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่านึกออกแล้ว นี่มันกลิ่นผงล่อสัตว์!”
เมื่อนางพูดจบ คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ติดใจถามว่าผงล่อสัตว์คือสิ่งใด แต่หนานกงฉีเฉินและหนานกงฉีรุ่ยกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“ผงล่อสัตว์? เสี่ยวเป่าแน่ใจหรือ”
สีหน้าของหนานกงฉีเฉินแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ไม่ผิดแน่นอน เสี่ยวเป่าจมูกไวมาก ”
แม้ว่านางกำนัลผู้นั้นจะไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า แต่เมื่อเห็นว่าองค์ชายหกกับองค์ชายเจ็ดมีสีหน้าไม่สู้ดี ก็รู้สึกได้ว่าตนกำลังตกที่นั่งลำบาก
นางร้อนรนคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าซีดเผือดรีบอธิบายว่า “องค์หญิง องค์ชายเพคะ บ่าวมิรู้จริง ๆ ว่าผงล่อสัตว์คือสิ่งใด”
“มีอันใดกัน เกิดอันใดขึ้นหรือ”
เมื่อเห็นเหตุการณ์ เหล่าองครักษ์ที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกลและพวกนางกำนัลก็พากันล้อมวงเข้ามา
เสี่ยวเป่าขยับปลายจมูกไปมา จากนั้นก็ชี้ไปที่นางกำนัลและขันทีอีกหลายคน “บนตัวพวกเขาก็มีกลิ่นผงล่อสัตว์เหมือนกัน”
สีหน้าของหนานกงฉีเฉินเปลี่ยนไปยิ่งกว่าเก่า “เร็ว รีบไปจากที่นี่!”
โดยไม่มีเวลาให้คิด เขารีบอุ้มเสี่ยวเป่าและวิ่งออกไปทันที
ผงล่อสัตว์ แค่ได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าคือสิ่งใด จู่ ๆ คนที่มีกลิ่นล่อสัตว์ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันพร้อม ๆ กัน อีกทั้งที่นี่คือบนภูเขา และสิ่งที่ควรอยู่ให้ห่างไกลมากที่สุดก็คือสัตว์ป่า
“กรร…”
ทว่าพวกเขาก็ต้องหยุดทั้งที่ยังไปได้ไม่ไกล เพราะว่าในป่าเบื้องหน้า ปรากฏเสือขนาดมหึมาสองตัวพร้อมกับเสียงลมหายใจหนักอึ้ง มองใกล้ ๆ ดูคล้ายกับเนินเขาเล็ก ๆ ท่อนขาขนาดใหญ่ราวกับเสาหินและหางที่คล้ายกับแส้
ตัวหนึ่งดำตัวหนึ่งขาว มันคือเสือสองตัวที่หนานจ้าวมอบให้ต้าเซี่ย
สีหน้าของทุกคนพลันซีดเผือดในทันใด รีบก้าวถอยหลัง เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจกลัวดังออกมาจากกลุ่มของพวกเขา
พวกองครักษ์ตอบสนองอย่างว่องไว คุ้มครององค์หญิงและองค์ชายไว้ในวงล้อม พร้อมหยิบอาวุธออกมาเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายสองตัว
เมื่อเห็นเสือตัวใหญ่มหึมาสองตัวอยู่ตรงหน้า พวกเขาก็ลอบกลืนน้ำลายด้วยใบหน้าขาวซีด นัยน์ตาแลดูสิ้นหวัง
พยัคฆ์สีดำขาวสองตัวย่ำบนพื้นหิมะอย่างช้า ๆ ย่างกรายเข้ามาใกล้ แรงกดดันและสัญชาตญาณสัตว์ป่า ทำให้พวกเขาแข้งขาอ่อนแรง
พวกที่ขี้ขลาดทรุดนั่งลงกับพื้น รีบตะเกียกตะกายอย่างลุกลี้ลุกลน ทุกคนล้วนมีสีหน้าตื่นตระหนก โดยเฉพาะพวกที่เสี่ยวเป่าบอกว่ามีกลิ่นผงล่อสัตว์ติดอยู่บนตัว พวกเขาจะไม่ถูกเสือเขมือบเป็นพวกแรกใช่หรือไม่
แต่พวกเขาไม่รู้สักนิดเลยว่ากลิ่นผงล่อสัตว์บนตัวนั้นมาจากไหน!
เจ้าเสือสองตัวจ้องเขม็งมาที่กลุ่มมนุษย์ตรงหน้า ชั่วขณะหนึ่งดูเหมือนมันไม่มีความคิดจะเข้าจู่โจม เพียงแต่เดินวนไปรอบ ๆ ห่างจากพวกเขาจั้ง*[1]กว่า ๆ และเงยหน้าขึ้นมองเป็นครั้งคราว
“พวกมัน…พวกมันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
หนานกงฉีรุ่ยมีสีหน้าไม่สู้ดี “ต้องเป็นฝีมือพวกหนานจ้าวแน่ ๆ!”
หนานกงฉีเฉินเม้มริมฝีปากจนซีด เขาอุ้มเสี่ยวเป่าเอาไว้
พวกเขามีกันเพียงเท่านี้ แค่ดูก็รู้แล้วว่าสู้พวกมันไม่ไหว!
องครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าสุดรู้สึกถึงอันตราย พลันตะโกนบอกพวกองค์ชายที่อยู่ด้านหลังว่า “องค์ชาย พวกท่านรีบหนีไปเถิด กระหม่อมจะหยุดพวกมันไว้เองพ่ะย่ะค่ะ!”
หนานกงฉีเฉินมองพวกเขาด้วยสายตาลุ่มลึกยากจะคาดเดา เด็กหนุ่มบังคับตัวเองให้ใจเย็น เขากัดฟันจากนั้นก็หันหลังวิ่งโดยที่ยังอุ้มเสี่ยวเป่าเอาไว้
“วิ่ง!”
เขาพูดกับพี่น้องคนอื่น ๆ
เสี่ยวเป่า “เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อนท่านพี่!”
“เสี่ยวเป่าเด็กดี พวกเราต้องไม่เป็นอันใด”
นัยน์ตาของหนานกงฉีเฉินมุ่งมั่น ต่อให้เสือสองตัวนั้นจะไล่ตามพวกเขามา เขาก็ไม่มีทางยอมให้เสี่ยวเป่าเป็นอันตราย
เด็กหนุ่มคิดในแง่ดี มีพวกองครักษ์คอยถ่วงเวลาเอาไว้ จะอย่างไรก็ต้องซื้อเวลาไว้ได้บ้าง
[1] จั้ง คือมาตราวัดความยาวของจีน 1 จั้ง ประมาณ 3.33 เมตร
คำชี้แจ้งกรณีเรื่องเมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชเกิดข้อผิดพลาด
Onlybook
15 กันยายน 2566
เรื่อง คำชี้แจ้งกรณีเรื่องเมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชเกิดข้อผิดพลาด
ตามที่ได้รับคอมเมนต์จากนักอ่าน ทางกองบรรณาธิการได้ทำการตรวจสอบและพบว่ามีการแปลเนื้อหา รวมถึงคำศัพท์ผิดไป ดังนี้
บทแปลเดิมคือ ‘ส่วนเสื้อผ้าที่นางสวมตอนเข้าวังครั้งแรกนั้นเป็นชุดของชุนสี่ แม้ว่ามันจะหลวมโคร่งอยู่บ้าง แต่องค์หญิงน้อยไม่ต้องการให้ชุดหรูหราเหล่านั้นต้องมาเปรอะเปื้อนดินโคลน’
บทแปลใหม่คือ ‘เสี่ยวเป่าจึงสวมชุดที่ชุนสี่ใส่เข้าวังครั้งแรก ถึงจะหลวมไปบ้าง แต่นางไม่ต้องการให้ชุดหรูหราเหล่านั้นต้องมาเปรอะเปื้อนดินโคลน’
บทแปลเดิมคือ ‘เพียงแต่ว่าในอดีต หนานกงสือเยวียนถูกวางยาพิษโดยบังเอิญ นั่นทำให้เขาได้พบเจอกับซูหว่านเหนียงที่ขายยาถอนพิษอยู่ในเมืองฮ่วน ยามนั้นลูกน้องของเขาให้ข้าวครึ่งกระสอบแลกกับยาถอนพิษ’
บทแปลใหม่ ‘เพียงแต่ว่าในอดีต หนานกงสือเยวียนประมาทจนถูกวางยาปลุกกำหนัด ยามนั้นเมืองฮ่วนเกิดภัยแล้ง ซูหว่านเหนียงถูกครอบครัวขาย สุดท้าย ผู้ใต้บังคับบัญชาเขาก็ใช้ข้าวสารครึ่งกระสอบเล็กไปแลกตัวมาถอนพิษให้เขา’
สำหรับฉบับหนังสือ ทางกองบรรณาธิการได้ทำการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งจะทำการลงเนื้อหาที่ถูกต้องในแบบฉบับรายตอนและ E-Book ใหม่อีกครั้ง
กองบรรณาธิการ Onlybook ขอน้อมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ให้การสนับสนุนเมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราชมาโดยตลอด ทางเราต้องขออภัยในความผิดพลาดอีกครั้งด้วยค่ะ
กองบรรณาธิการ Onlybook