บทที่ 211 ต่างโลกนี่น่ากลัวจริง ๆ!

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 211: ต่างโลกนี่น่ากลัวจริง ๆ!

หลังจาก ‘ตบ’ เจ้าสไลม์มายาจนตายไปและทำความสะอาดรอยเลือดเรียบร้อย หลินเจี๋ยก็เอนหลังพิงกำแพงห้องใต้ดินของเขาแล้วหยิบหนังสือหนังมนุษย์ออกมาจากในแดนนิมิตของตน

เขาเปิดหน้าแรกพลันค้นพบว่าข้อความข้างในดูเหมือนกับมนตร์คาถา

ใช่แล้ว…คาถา!

หลินเจี๋ยพลิกหน้าต่อ ๆ ไปจนถึงกลางเล่ม สิ่งที่เขียนอยู่บนหน้านั้นคือรายละเอียดวิธีการเย็บเล่ม ‘หนังสือหนังมนุษย์’ และวิธีใช้มัน

คิดดูแล้ว หลินเจี๋ยก็แน่ใจว่าเจ้าสไลม์ที่เขาฆ่าไปต้องไม่ใช่สิ่งดีอย่างแน่นอน และมันต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างกับหนังสือหนังมนุษย์ด้วย

ไม่อย่างนั้นมันคงใช้หนังสือหนังมนุษย์แล้วเขียนวิธีใช้กับคาถาชั่วร้ายต่าง ๆ ไม่ได้แน่

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อตะกี้มันพยายามใช้คาถาพวกนี้โจมตีเรา!

เว้นแต่ว่า มันจะเป็น ‘จิตวิญญาณคู่สัญญา’ ที่เจ้าของหนังสือหนังมนุษย์นี่ทิ้งไว้หรือเปล่า?

ถ้าเจ้าของหนังสือสามารถอัญเชิญ ‘คู่สัญญา’ ออกจากหนังสือหนังมนุษย์มาโจมตีขโมยได้เมื่อค้นพบว่าหนังสือถูกขโมย นี่ก็เป็นกลยุทธ์อุดช่องโหว่ในกรณีฉุกเฉินได้เลยนะเนี่ย!

ต่างโลกนี่มันน่ากลัวจริง ๆ!!

หลินเจี๋ยอกสั่นขวัญแขวนอย่างลึกล้ำ

ถ้าขืนเขายังเก็บหนังสือหนังมนุษย์ไว้ในร้านหนังสือแทนที่จะเป็นแดนนิมิตล่ะก็ บางทีเขาอาจจะโดนเจ้าสไลม์นี่ลอบฆ่าเอาตอนที่นอนอยู่ก็ได้

สภาพร่างกายของหลินเจี๋ยแข็งแกร่งขึ้นมากหลังจากเรียนวิชาดาบกับซิลเวอร์ แล้วเขาก็ต่อสู้ชนะคนที่มีความสามารถเหนือธรรมชาติมาแล้วด้วย หรือก็คือมิคาเอลกับกาเบรียล

ทว่าเขาก็ค้นพบว่าเจ้าสองหน่อนั่นเป็นแต่พวกปวกเปียกและยังมีสิ่งที่แข็งแกร่งกว่านั้นอยู่บนโลก แค่ว่าเขายังไม่ได้พบพวกเขาเท่านั้นเอง

แน่นอนว่าคนที่มีพลังระดับซิลเวอร์ในโลกนี้คงไม่ได้มีแค่คนเดียวหรอก

หลินเจี๋ยคิดว่าตัวเองควรระวังตัวมากกว่านี้ ตอนนี้เขามีหลักฐานแล้วว่าพลังเหนือธรรมชาติในอาซีร์มีอยู่จริง และเขาคงไปเหยียบเท้าองค์กรอาชญากรรมของพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่เดียวที่เขารู้หรือ ‘วิถีแห่งดาบอัคคี’ เข้าแล้ว เพราะเช่นนั้นจึงทำตัวลอยชายอย่างในอดีตไม่ได้

“แล้วเราก็มีเรื่องต้องคุยกับซิลเวอร์พอดี โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับหัวใจมังกร…” หลินเจี๋ยพึมพำพลางลูบอกของตัวเองโดยไม่รู้ตัว สัมผัสหัวใจที่เต้นเสียงดังของเขาได้ราง ๆ

นอกจากเหตุการณ์ครั้งก่อนที่ชายหนุ่มหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกแล้วอัดเจ้าหนูไมค์เสียน่วม ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ผิดปกติแปลก ๆ อะไรเกิดขึ้นอีก

ทว่ามันก็ไม่อาจสั่นคลอนความรู้สึกที่ว่ามีพลังงานเหนือธรรมชาติถูกส่งมาจากหัวใจมังกร แล้วส่งผลบางอย่างต่อหัวใจและร่างกายของเขา

แล้วเขาก็ระลึกถึงตอนที่เจ้าดำเมินคำขอความช่วยเหลือของเขาได้ หรือว่านี่เป็นเพราะเขารู้ว่าเหตุการณ์นั้นไม่ใช่แค่ไร้พิษภัย แต่ยังเป็นประโยชน์กับเราเสียแทนกันนะ?

“คิดว่าคืนนี้เราคงต้องเข้าไปคุยกับซิลเวอร์ในแดนนิมิตของเธอสักหน่อยแล้ว” หลินเจี๋ยส่ายหน้าแล้วเพ่งพินิจหนังสือหนังมนุษย์ต่อ

ห้องใต้ดินนั้นมีแหล่งกำเนิดแสงเพียงตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่ง ข้อความสีเลือดบนกระดาษหนังมนุษย์ภายใต้แสงจาง ๆ นั้นยิ่งดูน่าสยดสยอง เป็นภาพที่เขาเทียบได้กับหนังสยองขวัญ

หลินเจี๋ยพึมพำในขณะที่พลิกหน้าหนังสือไปเรื่อย ๆ “ซิลเวอร์เคยพูดว่าความทรงจำของแคนเดลาที่เราสัมผัสได้มันมีแค่เศษเสี้ยวเพราะเราไม่เข้าใจแนวคิดเบื้องหลังเรื่องอื่น ๆ รวมไปถึง ‘ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์’ ที่ว่าพวกนั้นด้วย…แต่ถ้าให้มองมันตอนนี้ ‘ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์’ พวกนั้นก็คือเวทมนตร์สำหรับแคนเดลาดี ๆ นี่เอง”

แล้วเหตุผลที่เขาสรุปออกมาเช่นนั้นก็ง่าย ๆ

เพราะในขณะที่เขาพยายามถอดรหัสข้อความที่เขียนไว้ในหนังสือหนังมนุษย์นั้นเอง ความทรงจำของราชาเอลฟ์แคนเดลาก็ค่อย ๆ กระจ่างชัดขึ้น

แล้วในท้ายที่สุดมันก็กลับมาสมบูรณ์

หลินเจี๋ยอ่านมันทุกหน้าอย่างระมัดระวังด้วยทัศนคติที่เหมือนการศึกษาเอกสารทางวิชาการ “เนื้อหาในยี่สิบหน้าแรกตรงกับ ‘ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์’ ที่แคนเดลาร่ำเรียนมาในสมัยเด็ก แต่หน้าหลัง ๆ จากนั้นต่างออกไปโดยสิ้นเชิง…”

“ส่วนนี้นี่ เราคิดว่ามันคงเป็น ‘เวทมนตร์พื้นฐาน’ ที่ต้องเรียนเป็นการปูพื้นก่อนที่จะเรียนต่อในแขนงต่าง ๆ ได้สินะ…”

ไม่นาน หลินเจี๋ยก็พบตัวเองนั่งขัดสมาธิบนพื้นในสภาพเท้าคาง ส่วนศอกวางลงบนตัก

เมื่อเขาอ่านต่อไป เขาก็มีอีกความคิดหนึ่ง ดูเหมือนว่าเวทมนตร์คาถาจากยุคที่สองหรือเก่ากว่าจะถูกถ่ายทอดต่อ ๆ มาตามยุคสมัย แต่เพราะข้อมูลส่วนใหญ่หายไปตามกาลเวลา คาถาเหล่านี้จึงหาเรียนได้ยากมากในปัจจุบัน

หนังสือหนังมนุษย์นี้มีทั้งหมดราว ๆ หนึ่งร้อยหน้า และยี่สิบหน้านั้นมีแต่สิ่งที่แคนเดลาเรียนในช่วงสิบปีแรกของชีวิตเขา

ถ้าคิดว่าหนังสือเล่มนี้บรรจุความรู้ทั้งหมดของเจ้าของมันล่ะก็ นี่ก็เท่ากับว่าเนื้อหาเรียนสมัยอนุบาลนั้นเท่ากับหนึ่งในห้าของความรู้ทั้งหมดเลยทีเดียว

เรียกได้ว่าเป็นการปลูกฝังความดีงามกันสุด ๆ

ทว่าเจ้าของหนังสือหนังมนุษย์นี่ห่างไกลจากคำว่าดีงาม และสามารถเรียกได้ว่าเป็นวายร้ายตัวพ่อได้เลย

หลังจากหน้าที่ยี่สิบ เนื้อหาที่อยู่ในหน้าถัด ๆ ไปนั้นขัดแย้งกับความทรงจำของแคนเดลาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเป็นม้าป่าที่วิ่งบนเส้นทางแห่งอาชญากรรมโดยไม่หวนกลับมา

คาถากว่าครึ่งต้องใช้เลือดมนุษย์สด ๆ เป็นรากฐานในการร่าย แถมยังเจาะจงว่าต้องเป็นเลือดของมนุษย์ที่กำลังจะตาย และยังมีการใช้วิธีต่าง ๆ อย่างการทรมานเหยื่อด้วยสารพัดวิธีก่อนจะรีดเลือดออกมาด้วย

ไม่ว่าใครที่อ่านมันก็ต้องใจสั่นกันแน่ ๆ

คาถาบางบทไม่ได้ต้องการฆ่ามนุษย์เป็น ๆ แต่พวกมันก็ยังต้องการอะไรจำพวกศพมนุษย์อยู่ดี หลินเจี๋ยทำได้เพียงขมวดคิ้วแล้วข้ามข้อมูลทั้งหมดไป แล้วหยุดลงที่คาถาที่ค่อนข้างปกติคาถาหนึ่ง

‘คำสาปโลหิต ย้ายวิญญาณโลหิตเฮือกสุดท้าย’

ผลของคาถานี้คือทำให้ผู้ร่ายสามารถย้ายสติของตัวเองเข้าไปในเลือดของบุคคลใกล้ตายได้คนหนึ่ง (คนคนนั้นต้องใกล้ตาย แต่ยังไม่ตาย) แล้วหลังจากนั้นผู้ร่ายก็จะสามารถแทนที่วิญญาณของเจ้าของร่างเมื่อเขาเสียชีวิตลง แล้วยึดครองร่างนั้นมาได้

ถ้ายังมีโชค ตราบใดที่วิญญาณของเจ้าของร่างสามารถขัดขืนการควบคุมก่อนจะสลายไปและได้รับการรักษาทันท่วงที คนคนนั้นก็ยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่

แต่มองจากอีกมุม หากไม่ใช่ว่ามีข้อจำกัดพื้นฐานว่าผู้ร่ายต้องตายลงก่อน นี่ก็อาจจะเป็นทักษะช่วยชีวิตที่ดีอีกทางหนึ่งเลยก็ได้

ไม่มีความสามารถที่ชั่วร้ายอยู่จริง มีแต่คนที่ชั่วร้ายเท่านั้น เราว่าเราควรส่งหนังสือเล่มนี้ให้โจเซฟดีกว่าเพราะยังไงมันก็ถือว่าเป็นของโจร

คนมีคุณธรรมอย่างเขาต้องพยายามหาวิธีใช้คาถาชั่วร้ายเหล่านี้ในทางที่ดีอย่างแน่นอน หลินเจี๋ยครุ่นคิดพลางลูบคาง

ในขณะเดียวกัน เขาก็จำคาถาพื้นฐานยี่สิบหน้าแรกได้แล้ว ปัญหาเดียวในตอนนี้คือเขาไม่รู้วิธีใช้อีเธอร์ร่ายมันเลย

ในตอนนี้ อีเธอร์ทั้งหมดที่เขารวบรวมมาได้นั้นถูกใช้ในการสร้างแดนนิมิตไปแล้ว และเขาก็ใช้มันไปอย่างต่อเนื่องในตอนที่เขาขยายแดนนิมิตของเขาอย่างต่อเนื่อง

แล้วชายหนุ่มจะหาทางเค้นอีเธอร์ส่วนเกินมาเรียนคาถาเหล่านี้ได้ยังไงหนอ…

“ไปถามซิลเวอร์ดีกว่าเรื่องนี้” หลินเจี๋ยยืนขึ้นแล้วปัดฝุ่นออกจากตัวเอง

ในที่สุด หลังจากทำงานไม้เสร็จเรียบร้อย เขาก็ออกไปจากห้องใต้ดินพร้อมที่นอนแมวและหนังสือหนังมนุษย์

“เขา…เขาใส่แหวนเหรอ?”

ดวงตาของวัลเพอร์กิสเบิกกว้างอย่างแปลกใจพลางกระโดดลงมาจากเก้าอี้โยกจันทร์เสี้ยวของเธอสู่ผิวน้ำที่สะท้อนภาพหมู่ดาว แล้วเดินเท้าเปล่าวนไปวนมา…

มูเอนพยักหน้า

“แล้วตอนนี้เขาก็ถอดมันไม่ได้ด้วย?”

มูเอนพยักหน้าอีกครั้ง

วัลเพอร์กิสอ้าปากพะงาบ ๆ ด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย “อุ๊ยตาย แหวนแห่งพันธสัญญานี้บรรจุพันธสัญญาที่ข้ากับผู้ภาวนาขอการปกป้องของข้าทำไว้ร่วมกันเอาไว้ แล้วตอนนี้เขาก็เอามันไปใส่แล้วทำให้มันทำงานขึ้นมา พวกผู้ถูกเจิมต้องสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงแล้วคิดว่าเขาคือข้าแน่ ๆ”

นอกจากการสังหารเทพจอมปลอมเพื่อพิสูจน์ตัวตนดวงจันทร์ที่แท้จริง เธอยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง นั่นคือเติมเต็มพันธสัญญาเก่าก่อน

แล้วในตอนนี้ที่แหวนถูกใครอีกคนนำไปใช้ เธอจะทำยังไงดี…

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถมองทะลุเจ้าหมอนี่ได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่สุดท้ายแล้วแหวนแห่งพันธสัญญาก็เป็นตัวแทนของเธออยู่ดี และเธอต้องนำมันคืนมา!

“ฉันจะเอามันกลับมายังไงดีคะ?” มูเอนถามอย่างมึนงง

วัลเพอร์กิสจ้องเธอตรง ๆ แล้วเสนอขึ้นมา “เจ้าลอบเข้าไปในห้องของเขาคืนนี้ แล้ว…”