พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 243 คนแก่ไร้สัจจะ
เฟิ่งชิงหัวกล่าวแค้นอย่างไม่ให้อภัยแม้แต่น้อย : “ท่านผู้อาวุโสอย่างท่านไม่เข้าใจก็ด่าประจานผู้อ่อนอาวุโสตามอำเภอใจ ท่านมันแก่ไร้ยางอาย !”
ตำแหน่งฮูหยินเฒ่าเจียงเป็นที่น่าเคารพ และความสัมพันธ์ยังสนิทกับไทเฮา เหตุใดตอนนี้จะต้องรับคำดูถูกเช่นนี้ และยังเป็นผู้อ่อนอาวุโส ทันใดนั้นก็กล่าวอย่างโกรธ : “บังอาจ เจ้า เจ้ากล้าดูถูกสรตีที่ราชสำนักแต่งตั้ง !”
“ข้าเห็นว่าท่านนั่นแหละที่บังอาจ ข้าเป็นองค์หญิงของแคว้นเป่ยเว่ย ! เป็นแขกที่ได้รับเชิญที่ฮ่องเต้เทียนหลิงของพวกเจ้านั่นแหละที่เชิญมา คนของพวกเจ้าแคว้นเทียนหลิง ต่างก็แยกแยะสูงต่ำไม่ได้เช่นนี้หรือ ?” เฟิ่งชิงหัวไม่กลัวแม้แต่น้อย นำฐานะองค์หญิงของตนขยายออกมาอย่างลึกซึ้ง
พูดครั้งนี้จบ กรามล่างก็ยกขึ้นสูง ดวงตาจ้องไปยังบนศีรษะ กำเริบเสิบสานจนถึงขีดสุด
ฮูหยินเฒ่าเจียงถูกทำให้พ้ายแพ้ในมือของนาง หน้าเปลี่ยนไป จู่ ๆ ก็คุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้เสียงดังไปทางไทเฮากล่าว : “เหนียงเหนียงหม่อมฉันผิดไปแล้ว ด้วยร่างกายของขุนนางและประชาราษฎร์ล่วงเกินองค์หญิง แต่ทว่าหลานสาวหวันเอ๋อร์ของหม่อมฉันคงจะมิเคยทำผิดอะไร เหตุใดจะต้องได้รับความอับอายเช่นนี้ หากเพราะตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทนี้ เช่นนั้นหม่อมฉันคงทำได้เพียงขอให้ไทเฮาเหนียงเหนียงยกเลิกคำสั่งที่ประกาศไปแล้ว จะโทษก็โทษแค่ว่า หวันเอ๋อร์ของตระกูลเรา ไม่มีวาสนาขนาดนั้น”
ไทเฮาได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายพระทัย กล่าวทันใด : “ใครก็ได้ นำพวกเขาย่าหลานสองคนพยุงขึ้นมา”
“ซู่หลัน เจ้าอย่าได้โกรธ ถึงแม้ข้าพูดไปแล้วว่าอยากจะให้หยูหวันของตระกูลพวกเจ้ามาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ก็หมายความว่าตัดสินไว้แล้ว จะเปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจได้อย่างไร ? เจ้าไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว” ระหว่างที่ไทเฮาพูด ก็กวักมือเรียกเจียงหยูหวัน : “หยูหวัน มานี่”
เจียงหยูหวันเมื่อครู่นี้แอบปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ คราบน้ำตาบนใบหน้าก็เช็ดจนสะอาด ได้ยินคำเรียกของไทเฮา จิตใต้สำนึกก็มองไปยังย่าที่อยู่ข้างกาย หลากจากที่รู้โดยนัยแล้วจึงเม้มปากเดินไป
ไทเฮากุมมือเล็กของเจียงหยูหวัน ตบเบา ๆ ที่หลังมือของนาง : “หยูหวัน เจ้าวางใจได้ ตำแหน่งพระชายาขององค์รัชทายาทนี้เป็นตำแหน่งที่ข้ามอบให้ ใครก็อย่าได้คิดแย่งเอาไป !”
“เสด็จแม่ เรื่องนี้ พวกเราอย่าได้ด่วนตัดสินใจเลย” ไทเฮายังคงไม่เรียกให้ฮองเฮาลุกขึ้น ได้ยินเช่นนี้ ก็รีบเงยหน้ากล่าวอย่างรีบเร่ง
“หุบปาก ! เจ้ามันก็ให้ความสำคัญกับองค์หญิงที่ไม่รู้จักมารยาทเช่นนี้จึงได้เมินเฉยหยูหวัน ? ฮองเฮา ข้าจะบอกเจ้า ในตอนแรกข้าสามารถช่วยเจ้าเลื่อนตำแหน่ง ขณะนี้ก็สามารถช่วยหยูหวัน หากเจ้ายังจะเอนเอียงอะไรอีก เช่นนั้นข้าก็จะให้ฮ่องเต้ปลดเจ้า !” ไทเฮาไม่ไว้หน้าฮองเฮาแม้แต่น้อย กล่าวอย่างเย็นชาต่อหน้าคนในวังและคนนอกมากมาย
เลือกของฮองเฮาแห้งเหือดไปหมด เสียเกียรติไปจนสิ้น ใจกลับรู้น้ำหนักของคำพูดนี้ของไทเฮาว่าหนักเช่นไร
ในปีนั้น ที่นางได้เป็นฮองเฮา ก็ล้วนพึ่งพาคำพูดของไทเฮา หากขณะนี้ไทเฮาลั่นวาจาว่าจะกำจัดนาง สวามีท่านนั้นของนางจะต้องเขียนหนังสือหย่าเอานางเข้าตำหนักเย็นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยแน่นอน ถึงอย่างไร ในใจของเขา นางที่เป็นฮองเฮานี้จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ภรรยาหนึ่งเดียวในใจของเขามีเพียงคนผู้นั้น
เจียงหยูหวันเข้าใจ ผ่านเรื่องนี้ เกรงว่าวันหลังความสัมพันธ์แม่ผัวลูกสะใภ้ของตนเองกับฮองเฮาคงจะไม่ปรองดองกันเป็นแน่ ทว่า พระชายาองค์รัชทายาท ก็ยังคงเป็นตำแหน่งหลัง ดึงดูดใจเช่นนั้น
ดังนั้น เจียงหยูหวันเลือกที่จะปิดปากเงียบ ขอเพียงไทเฮายืนยัน ตำแหน่งของนาง ก็ไม่หนีไปไหนแน่
ส่วนองค์ราชทายาท แต่ไหนแต่ไรก็เมตตาเสมอ นางเพียงแค่อธิบาย เขาก็ต้องอภัยให้เป็นแน่
คิดเช่นนี้ ใจที่เดิมทีเงียบสงัดไปแล้ว ก็คึกคักขึ้นอีกครั้ง
“ไทเฮาเหนียงเหนียง หยูหวันรู้ว่าท่านรักทะนุถนอมหยูหวัน หยูหวันซาบซึ้งใจหยูหวันเพียงแต่เกรงว่าจะรับโชคที่ท่านมอบมาไม่ไหว ทว่า ช่างเถอะ” เจียงหยูหวันกล่าวอย่างเศร้าระทม
ท่านย่าเคยกล่าวไว้ ไทเฮาเกลียดการที่มีคนอกตัญญูต่อนางเป็นที่สุด นางพูดเช่นนี้ ไทเฮาจำต้องยืนยันฐานะของนาง หากสามารถทำให้ไทเฮาลงพระราชโองการทันที เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จะแน่นอนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ส่วนเรื่องเหล่านั้นที่นางเคยทำ ฮองเฮาจะไม่ปริปากพูดออกมาอย่างแน่นอน ตอนนี้ มีเพียงแค่องค์หญิงซีหลันคนเดียวที่ได้ยิน
“ช่าง ช่างอะไร ? ข้าพูดแล้วไม่คืนคำ เจ้าคิดว่า ในวังหลังนี้ คำของข้าไม่มีผลเท่านางที่เป็นฮองเฮาหรือ ? นางอยากให้องค์หญิงซีหลันผู้นี้มาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ข้าเห็นต่างจากนาง ข้าไม่เพียงแต่ไม่ให้นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาท และข้าไม่ยอมให้นางกลายเป็นพระชายาเอกของท่านอ๋องไม่ว่าคนใดก็ตาม !” ไทเฮากล่าวอย่างน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
ระหว่างที่ไทเฮาพูด ก็มองไปยังเฟิ่งชิงหัว : “องค์หญิงซีหลัน ตอนนี้ข้าให้เจ้าสองท่านเลือก อย่างแรก ให้เจ้าคุกเข่าลงตอนนี้ คุกเข่าโน้มศีรษะลงกับพื้นขอโทษหวันเอ๋อร์ อีกอย่างคือให้ข้าไล่เจ้าออกจากวังตอนนี้ และเรียบเรียงหนังสือถึงราชวงศ์ของแคว้นต่าง ๆ ประกาศเรื่องที่เจ้าอยู่ที่เทียนหลิงของข้าแสดงความรักอย่างโจ้งแจ้งกับบุรุษชายเทียนหลิงของข้าให้คนรู้โดยทั่วกัน ดูซิว่าลูกชายดี ๆ ตระกูลไหนจะต้องการคนอย่างเจ้า !”
แต่ทว่า เห็นหญิงสาวที่เผชิญหน้ากลับไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย กลับกันจู่ ๆ ก็หัวเราะออกเสียง เสียงนั้น เสียงไพเราะราวกับกระดิ่งเงิน ทว่าเมื่อเข้าหูของไปเฮา กลับดูเหมือนจะบาดหูเป็นพิเศษ
“เจ้าหัวเราะอะไร ?”
“ข้ากำลังหัวเราะ ไทเฮาท่านอยากจะพระราชทานใครเป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็พระราชทานไปเกี่ยวอะไรกับข้า ? เหตุใคข้าจะต้องทนการคุกคามของท่าน ?”
ก่อนหน้านี้เฟิ่งชิงหัวก็รู้นิสัยของไทเฮาผู้นี้แล้ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเป็นคนแก่ไร้สัจจะที่โดนตามใจจนเสียนิสัย ที่นางพูดนั้นถูกทุกอย่าง ทุกคนจะต้องฟังนาง ตามนาง
นางคิดว่านางเป็นใคร ?
ท่านแม่ของฮ่องเต้ น่าสรรเสริญมาก ? หรือว่าไม่ได้มีสองตาหนึ่งปาก ความรู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรีที่รุนแรงเช่นนี้มันมาได้อย่างไรกัน
นี่ก็ถือว่าอยู่ในวัง ใคร ๆ ก็ตามนางเคารพนาง ถ้าหากอยู่นอกวังเจอคนแก่ไร้สัจจะแกล้งสร้างสถานการณ์ นางเฟิ่งชิงหัวหนึ่งเท้าสามารถถีบล้มได้สองที
หากไม่ใช่ต้องอยู่ในวังด้วยฐานะปลอมอีกสองสามวัน นางอยากจะก้าวไปจัดการนางจริง ๆ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ไม่พรากไปแม้ม่านเมฆสักผืน
“บังอาจ บังอาจ !” ไทเฮาชี้ไปที่เฟิ่งชิงหัว สีหน้าโกรธแค้น : “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้านี่มันกินหัวใจหมีไส้ในเสือ(บุคคลที่กล้าหาญอย่างยิ่งยวดและกล้าทำในสิ่งที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าไม่เป็นที่ยอมรับ ) !”
“ใครเคารพข้าหนึ่งชุ่นข้าเคารพเขาหนึ่งจั้ง นับตั้งแต่ไทเฮาเข้ามา มิได้พูดดี ๆ กับข้าเลยแม้ประโยคเดียว กลับจะให้ข้ามีมารยาท และยังไม่แยกแยะถูกผิดให้ข้าคุกเข่า ข้าล่ะอยากจะไปถามฮ่องเต้ของเทียนหลิงจริง ว่านี่คือประเพณีแห่งแคว้นที่เทียนหลิงเผยแพร่ ที่ที่ซื่อสัตย์และมีสัจจะ ?”
“เจ้า เจ้า….” ไทเฮากำลังจะพูด ไม่ไกลนักก็มีเสียงขบวนฝีเท้ามา
“ฮ่องเต้เสด็จ !”
“ท่านอ๋องเจ็ดมาถึงแล้ว !”
“องค์ราชทายาทมาถึงแล้ว !”
เพียงเห็นฮ่องเต้เซวียนถ่งเป็นผู้นำ จ้านเป่ยเซียวและจ้านถิงเฟิงตามหลังมา ทั้งสามก้าวเข้ามาในตำหนักพร้อมกัน
คนทั้งหลายก็แสดงความเคารพกับฮ่องเต้เซวียนถ่งตามกันไป
ฮ่องเต้เซวียนถ่งมุ่งตรงเดินไปยังข้างกายไทเฮา : “ลูกเข้าพบเสด็จแม่”
เฟิ่งชิงหัวถอนสายบัว เพราะระยะห่างจากไทเฮาใกล้กว่าคนอื่นที่สุด เห็นว่าฮ่องเต้เซวียนถ่งไม่ได้มองตนเอง ก็ตั้งใจที่จะลุกขึ้นด้วยตัวเอง แต่ทว่า นางกลับลุกไม่ขึ้น
เฟิ่งชิงหัวเงยหน้า ก็เห็นจ้านเป่ยเซียวยืนอยู่ข้างหน้าของตนเอง สองมือไขว้อยู่ข้างหลัง สายตามองตรงไปข้างหน้า แต่ทว่าเท้าข้างหนึ่งของเขา กลับเหยียบชายกระโปรงของเฟิ่งชิงหัวพอดิบพอดี