บทที่ 190 ผิงเทียนต้าเซิ่ง พระพุทธเจ้าโพธิสัตว์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 190 ผิงเทียนต้าเซิ่ง พระพุทธเจ้าโพธิสัตว์

หานเจวี๋ยนำป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ใส่เข้าไปในเข็มขัดเก็บสมบัติ และหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายและหินวิญญาณมรรคาสวรรค์ออกมา ก่อนเริ่มช่วยยกระดับหนังสือแห่งความโชคร้าย

แม้ยามนี้จะดูเหมือนสงบสุข อีกทั้งยังมีที่พึ่งพิง แต่เขาก็ยังไม่อาจวางใจได้

ขุมอำนาจแข็งแกร่งเช่นวังสวรรค์ ก่อนหน้านี้ก็ยังถูกสำนักพุทธแทรกแซง

ในแดนเซียน วังสวรรค์หาใช่ขุมอำนาจที่แกร่งที่สุด

ผ่านไปนาน

เบื้องหน้าของหานเจวี๋ยปรากฏอักขระขึ้นแถวหนึ่ง

[หนังสือแห่งความโชคร้ายยกระดับเป็นยอดสมบัติไท่อี่ชั้นสุดยอด]

ระดับของวิเศษจะแบ่งออกเป็นอาวุธเวท สมบัติวิญญาณ สมบัติวิญญาณชั้นเลิศ สมบัติวิญญาณไท่อี่ สมบัติวิญญาณไท่อี่ชั้นสุดยอด ยอดสมบัติไท่อี่และยอดสมบัติไท่อี่ชั้นสุดยอด

หลังจากยกระดับแล้ว หานเจวี๋ยก็เริ่มทดลอง

เขาสาปแช่งนักพรตเต๋าตันชิงก่อน

เมื่อสาปแช่งห้าวันอายุขัยก็เริ่มลดลง หานเจวี๋ยจดจำช่วงระยะเวลานี้เอาไว้แล้ว

‘สาปแช่งคนคนเดียวกัน ห้ามเกินห้าวันเป็นอันขาด!’

หานเจวี๋ยท่องคาถาสาปแช่งต่อไป รวมถึงเทพเซียนในวังสวรรค์ที่มีความเกลียดชังต่อตนเองด้วย

เขาสาปแช่งไปพลางตรวจดูจดหมาย

ครั้งที่แล้วที่อ่านจดหมาย ก็เป็นเวลาตั้งสิบปีก่อนหน้านี้

[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากทหารสวรรค์] x10006

[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านกลับสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง]

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านฝันว่าเข้าสู่ยุคบรรพกาลขณะฝึกบำเพ็ญ พลังมรรคเพิ่มพูน]

[สิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญเพียรของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสัตว์ปีศาจ] x124

[สิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญเพียรของท่านบังเอิญพบโอกาสวาสนา ตบะเพิ่มพูน]

[หลงซั่นสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากปีศาจประหลาด] x230584

[โจวฝานสหายของท่านได้รับกระดูกมังกร กายเนื้อเกิดการเปลี่ยนแปลง]

แดนบำเพ็ญพรตเริ่มเกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่าคนที่ได้รับโอกาสวาสนาก็ยังเยอะอยู่ดี

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นข่าวคราวของหลงซั่น

จำนวนในการถูกโจมตีนี่ดูค่อนข้างเกินจริงไปหน่อย หรือว่าถูกจักรพรรดิสวรรค์จับโยนเข้าไปในดินแดนปีศาจแล้ว

ก่อนหน้านี้ระดับความเกลียดชังที่หลงซั่นมีต่อหานเจวี๋ยคือหนึ่งดาว ต่อมาไม่รู้ด้วยเหตุใด ระดับความประทับใจจึงเปลี่ยนเป็นสองดาว คาดว่าจักรพรรดิสวรรค์คงคิดมากไม่น้อย

หานเจวี๋ยอ่านอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตั้งใจสาปแช่ง

ตอนนี้เขาเป็นเทพเซียนแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถก้าวก่ายเรื่องของโลกมนุษย์ได้

แม้ว่าโลกมนุษย์จะผกผันแปรปรวน เขาก็ต้องบำเพ็ญตบะต่อไป

เป้าหมายถัดไปของหานเจวี๋ยคือระดับเซียนแท้

ทะลวงถึงระดับเซียนแท้วัฏจักรโดยเร็ววัน!

วสันต์คล้อยยามสารทมาเยือน เวลายี่สิบห้าปีผ่านไป

หานเจวี๋ยยังไม่ได้ทะลวงถึงระดับเซียนสวรรค์วัฏจักรขั้นสมบูรณ์ วันนี้ เขาเดินออกจากถ้ำเทวา มาหยุดลงตรงหน้าต้นฝูซัง

ใต้ต้นฝูซัง นอกจากไก่คุกรัตติกาล อีกาทองสองตัว ราชามังกรสามหัว ถูหลิงเอ๋อร์และฉู่ซื่อเหรินแล้ว คนอื่นๆ ก็ออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกอีกครั้ง

ตั้งแต่ที่บรรลุเป็นเทพเซียน หานเจวี๋ยก็ไม่ได้นัดพบใครอื่นอีกเลย

อย่างไรเสียโลกมนุษย์ที่เขาอาศัยอยู่ ก็ไม่มีทางนำภัยมาหาเขาได้

ผ่านการรดน้ำเซียนจากวังสวรรค์ ต้นฝูซังก็สูงถึงสามร้อยจั้ง ตระการตาจนถึงขีดสุด ถือเป็นภาพทิวทัศน์ที่ตรึงตาที่สุดของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์

น้ำเต้าเจ็ดเครือจากเถาวัลย์น้ำเต้าเซียนพิภพก็เจริญงอกงามไม่ขาด ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะสามารถฟูมฟักสิ่งมีชีวิตออกมาได้

“อาจารย์ พักนี้ข้ามีข้อสงสัยในด้านการบำเพ็ญเพียร พอจะชี้แนะให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่” ถูหลิงเอ๋อร์กระเถิบเข้ามาใกล้เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

‘ในที่สุดก็เปิดโอกาสให้นางจนได้!’

หานเจวี๋ยกล่าว “เจ้าว่ามา”

ถูหลิงเอ๋อร์มีข้อกังขาด้านการฝึกบำเพ็ญจริงๆ แต่หลังจากหานเจวี๋ยไขข้อสงสัยให้นางแล้ว นางก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น หากแต่เริ่มพูดคุยกับหานเจวี๋ยต่อ

ความตั้งใจนั้นของนาง หานเจวี๋ยนับว่าพอเข้าใจ

เพียงแต่เขาไม่ได้สนใจ

เขามองไปทางฉู่ซื่อเหริน แล้วกล่าวว่า “เจ้าดูศิษย์หลานชายของเจ้า ตบะจวนจะไล่ตามเจ้าทันแล้ว”

ตบะของฉู่ซื่อเหรินบรรลุถึงระดับสุญตาขั้นแปดแล้ว เข้าใกล้ระดับรวมกายาขึ้นทุกที

ถูหลิงเอ๋อร์ยังยู่ที่ระดับรวมกายา ห่างจากระดับฝ่าด่านเคราะห์อีกช่วงหนึ่ง

ได้ยินเช่นนี้ ถูหลิงเอ๋อร์ก็ทำตัวไม่ถูกทันที หลบหนีก็เหมือนออกห่าง จึงตั้งจิตบำเพ็ญตบะ

ฉู่ซื่อเหรินหยัดกายลุกขึ้น มาหยุดต่อหน้าหานเจวี๋ย หลังจากคารวะแล้วเขาก็ตั้งท่าจะพูดแต่หยุดไป

หานเจวี๋ยเอ่ยถามยิ้มๆ “เหตุใดเล่า ยังอยากเกลี้ยกล่อมให้ข้าล้มเลิกการฝึกบำเพ็ญอยู่อีกหรือ”

ฉู่ซื่อเหรินสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง กล่าวว่า “ไม่ผิด อาจารย์ปู่ท่านเป็นเทพเซียนแล้ว สามารถทำให้สรรพชีวิตทั้งปวงทั่วหล้าละทิ้งการบำเพ็ญเพียรได้อย่างสิ้นเชิง”

ช่วงหลายปีมานี้ เขาเกือบไม่ได้บำเพ็ญตบะ ก็เป็นเพราะในจิตใจเอาแต่วนเวียนอยู่กับความคิดเช่นนี้

หานเจวี๋ยหัวเราะร่วนกล่าวว่า “ปณิธานของข้าก็ไม่ใช่การทำให้สรรพชีวิตทั้งปวงในทั่วหล้าละทิ้งการบำเพ็ญ ซื่อเหริน เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อตัวเจ้าเอง หรือมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น”

ฉู่ซื่อเหรินนิ่งอึ้ง กล่าวว่า “แน่นอนย่อมอยู่เพื่อตัวเอง ข้าเพียงแต่อยากทำให้ชีวิตมนุษย์ของตนมีความหมาย”

“ตามความเห็นของเจ้า เผ่ามนุษย์เลี้ยงปศุสัตว์ ก็ควรต้องละทิ้งด้วยใช่หรือไม่ ปศุสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน”

“ใช่แล้ว ทุกชีวิตเสมอภาค”

“แล้วมนุษย์กินอะไร”

“กินมังสวิรัติสิ”

“เจ้าคิดว่าพืชผักเหล่านั้นไม่นับเป็นสิ่งมีชีวิตหรือ”

“นี่…”

“เจ้าเชื่อในวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด แล้วรู้หรือไม่ว่าเหตุใดการเกิดใหม่ถึงมีการแบ่งเป็นระดับชั้นต่างๆ ก็เพราะมีการแบ่งระดับ คนชั่วก่อกรรม ชาติต่อไปก็ไม่อาจเกิดใหม่ในภพที่ดีได้ คนดีชาตินี้ลำบากยากแค้น ชาติหน้ากลับสามารถมั่งคั่งร่ำรวย นี่ต่างหากถึงเป็นความยุติธรรมอย่างแท้จริง เจ้าเดินผิดทางแล้ว”

ฉู่ซื่อเหรินขมวดคิ้ว ทำราวอยากเอ่ยอะไรแต่กลับไม่เอ่ย

เขาอยากโต้แย้งเป็นอย่างมาก แต่กลับรู้สึกว่าตนไม่มีคุณสมบัติ

หานเจวี๋ยมองฉู่ซื่อเหริน กล่าวว่า “ซื่อเหริน ต้องการให้ผู้คนละทิ้งของบางสิ่ง เจ้าก็ต้องมุ่งไปให้สุดปลายทางของของสิ่งนั้น ดูว่าแท้จริงแล้วมันคือสิ่งใดกันแน่ หากเป็นที่รกร้างว่างเปล่าจริง เจ้าถึงจะมีมรรคจิตอันแน่วแน่ไปโน้มน้าวผู้คน หากเจ้าไม่เคยได้กลิ่นหอมของบุปผชาติ แล้วจะบอกว่าได้อย่างไรว่าดอกไม้ไร้จุดแข็ง”

ฉู่ซื่อเหรินถูกพูดจาหว่านล้อมเข้าเสียแล้ว

“อาจารย์ปู่กล่าวถูก” ฉู่ซื่อเหรินเอ่ยทอดถอนใจ

[ความประทับใจที่ฉู่ซื่อเหรินมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 4 ดาว]

วาจาเหล่านี้หากเป็นคนอื่นมาพูดกับฉู่ซื่อเหริน ฉู่ซื่อเหรินต้องดูแคลนอย่างแน่นอน แต่เมื่อออกมาจากปากหานเจวี๋ยนั้นย่อมแตกต่าง

อย่างไรเสียหานเจวี๋ยก็ถึงขั้นละทิ้งโอกาสสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์ ยอมล่วงเกินวังสวรรค์ ก็ต้องรักษาสรรพชีวิตทั่วหล้าให้ได้

ความชอบธรรมนี้เป็นสิ่งที่ฉู่ซื่อเหรินมองหา

ฉู่ซื่อเหรินก็คิดเหมือนหานเจวี๋ย สามารถออกแรงเพื่อเหล่าสรรพชีวิตทั้งปวงทั่วหล้าได้

หานเจวี๋ยอยากจะเอ่ยวาจา แต่เบื้องหน้าพลันปรากฏอักขระขึ้นมาแถวหนึ่ง

[ตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด จะตรวจสอบที่มาหรือไม่]

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว รีบเลือกตรวจสอบทันที

[โจวหมิงเยวี่ย: ระดับรวมแก่นปราณขั้นสอง มหาอริยะผิงเทียนเผ่าปีศาจโลกเบื้องบนกลับชาติมาเกิด อาจารย์ของเขาเป็นบรรพชนพุทธโพธิหนึ่งในมหาบรรพชนพุทธของสำนักพุทธ เนื่องด้วยไม่ยอมจำนนต่อการอบรมของวังสวรรค์ จึงถูกวังสวรรค์ไล่ล่าสังหาร ต่อมาไล่ขึ้นวังสวรรค์ ถูกจักรพรรดิสวรรค์ใช้พลังวิเศษขั้นสุดยอดสยบกำราบ กายเนื้อถูกทัณฑ์สวรรค์บดทำลาย จิตวิญญาณเคลื่อนเข้าสู่วัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด ได้ยินว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์มีเทพเซียน โจวหมิงเยวี่ยจึงตั้งใจมุ่งหน้ามากราบเป็นอาจารย์]

‘มหาอริยะผิงเทียน? บรรพชนพุทธโพธิ? ยังบอกว่าไม่ใช่ซุนหงอคงอีกหรือ

เจ้าหมอนี่ที่ก่อนหน้านี้ก่อเรื่องใหญ่โตที่วังสวรรค์ เหตุใดถึงมายังโลกมนุษย์ที่เขาอยู่ได้’

หานเจวี๋ยต่อต้านโดยสัญชาตญาณ หลังจากได้รับป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ เขาถึงได้รู้ว่าโลกมนุษย์มีจำนวนมากมายมหาศาล แล้วเหตุใดถึงมีผู้ทรงพลังกลับชาติมาเกิดแห่มาหาเขามากมายถึงเพียงนี้

‘ไม่ได้! ต้องไปถามท่านยายเมิ่งเสียหน่อย!’

อย่างไรเสียท่านยายเมิ่งก็ปกครองดูแลสะพานอนิจจัง ไปเกิดใหม่ย่อมต้องให้นางออกแรง

หานเจวี๋ยรับปากฉู่ซื่อเหรินประโยคหนึ่ง ก่อนกลับเข้ามาในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

เขารีบถอดจิตดั้งเดิมออกจากร่าง กระโจนเข้าสู่ยมโลกทันที

หลังจากตบะพุ่งทะยาน หานเจวี๋ยก็ตรวจจับกลิ่นอายของท่านยายเมิ่งได้อย่างฉับไว ไม่นานก็มาหยุดตรงหน้าสะพานอนิจจัง

หน้าสะพานอนิจจังมีวิญญาณเรียงแถวกันเป็นมังกรตัวยาว หางแถวถูกหมอกผียมโลกบดบัง

‘เหตุใดถึงมีวิญญาณมากมายขนาดนี้’

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ครั้งก่อนที่เขามาสะพานอนิจจัง ไม่ยักมีวิญญาณมากมายขนาดนี้เลย

“บุตรแห่งสวรรค์จากวังสวรรค์ เจ้ามาเยี่ยมยายได้แล้วหรือ”

เสียงของยายเมิ่งลอยกระทบโสตประสาทของหานเจวี๋ย น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายถากถาง

“ช่วงนี้ มีโลกมนุษย์แห่งหนึ่งถูกวังสวรรค์ชำระล้างอีกแล้ว สรรพชีวิตธรรมดาของทั่วทั้งโลกล้วนต้องไปเกิดใหม่ ยายมีเรื่องราววุ่นวายที่ต้องทำ”

……………………………………………………………………