ณ ที่นั่งมุมหนึ่งของคาเฟ่แห่งหนึ่ง มีสาวสวยสองคนกำลังนั่งอยู่ติดกับหน้าต่าง แน่นอนอยู่แล้วว่าที่มุมนี้นั้นจะต้องดึงดูดสายตาของผู้คนในร้านจำนวนมากเป็นแน่ถ้าหากว่าคาเฟ่แห่งนี้ไม่ได้ว่างเปล่าหละก็นะ

หนึ่งในหญิงงามทั้งสองคนนี้ก็คือเทเลอร์ไนน์และหญิงสาวอีกคนมีชื่อเรียกว่า ‘โจยา บลิสแตน’ เหมือนกับเทเลอร์ โจยาเป็นหญิงสาวผมสีเงินที่มีดวงตาสีทอง เธอเป็นพี่สาวของเทเลอร์ไนน์และเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลบลิสแตน

ไม่เหมือนกับการนั่งที่ตัวตรงของโจยา เทเลอร์นั่งเหยียดขาของเธอออกไป เธอเคี้ยวหลอดที่อยู่ในปากตนเองในขณะที่คางของเธอกำลังวางพักไว้อยู่บนหลังมือของตัวเอง

“เทเลอร์ ไม่ใช่ว่านี้มันถึงเวลาที่เธอต้องกลับแล้วไม่ใช่หรือไง?”

“ฉันว่าไม่นะ”

ตระกูลบลิสแตนของชาวรัสเซียเป็นตระกลูที่พิเศษตระกูลหนึ่ง จากรุ่นสู่รุ่นของสมาชิกภายในตระกูลนี้พวกเขาสามารถที่จะได้รับพลังพิเศษเป็น ‘มรกดตกทอด’ และต้องขอบคุณเจ้าสิ่งนี้เองที่ทำให้ เด็กๆทั้งเก้าคนของตระกลูบลิสแตนมีพลังพิเศษที่เกี่ยวข้องในการจัดการกับ ‘แสง’ ทุกคน

มันเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์หรือสิ่งที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ก็ตาม พลังพิเศษมันสามารถที่จะสืบทอดทางสายเลือดได้จริงๆอย่างนั้นหรือ? ถ้าไม่ใช่แล้ว ตระกูลบลิสแตนสืบทอดพลังพิเศษได้ยังไงกัน?

ถึงจะมีคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบพวกนั้น แต่การสืบทอดแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับตระกูลบลิสแตนเพียงตระกูลเดียวลำพัง ยังมีตระกูลอื่นๆอีกหลายตระกูลที่มีปรากฎการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ดังนั้นนี้ไม่ได้ถือเป็นเรื่องที่ผิดแปลกอะไรในทุกวันนี้

ท่ามกลางเด็กๆทั้งเก้าคนของตระกูลบลิสแตน เทเลอร์ บลิสแตนหรือเทเลอร์ไนน์ เธอคือคนที่เด็กที่สุดจากพวกเขาทั้งหมด แล้วเธอก็ยังเป็นคนที่ครอบครองความสามารถที่อ่อนแอที่สุดท่ามกลางพวกเขาทั้งหมดด้วยเช่นกัน

ความสามารถของเธอมันตรงไปตรงมามากๆ

‘สร้างมวลพลังงานแสงขึ้นมาลอยอยู่บนฝ่ามือของเธอ’

จากวันที่เธอได้ปลุกพลังของตนเองให้ตื่นขึ้นมา ความสามารถที่เธอได้ครอบครองค่อนข้างจะเป็นการปล่อยพลังงานที่แข็งแกร่งออกไปดังนั้นเธอเลยได้รับความสนใจจากทั้งตระกูลแต่ว่าโชคไม่ดีเลยที่นั้นเป็นสิ่งที่เดียวที่ความสามารถทั้งหมดของเธอสามารถที่จะทำได้แล้ว

เธอไม่สามารถแม้แต่จะเคลื่อนไหวเจ้าก้อนแสงนั้นทำไม่ได้ทั้งการมอบพลังงานนี้ให้กับใครสักคนหรือสิ่งไหนก็ตาม ทั้งหมดที่เธอสามารถที่จะทำได้ก็แค่ทำให้มันลอยอยู่ราวกับว่าเป็นโคมไฟโง่ๆที่มีพลังงานอันทรงพลัง

พลังพิเศษของเธอซึ่งสามารถที่จะเป็นอันตรายอย่างมาหากสัมผัสโดย ไม่นับว่าเป็นอะไรเลยนอกไปจากแสงแฟลชเท่านั้นเอง

“เธอจะทำงานภายใต้นามแฝงตลกๆนั้นไปอีกนานแค่ไหนกันแล้วหะ? เธอทำให้ตระกูลของพวกเราเสื่อมเสียจริงๆ”

“หูว! โทดทีนะ คุณป้าค่ะ แค่พูดออกมาประโยคเดียวก็ย้อนแย้งในตัวเองซะขนาดนี้แล้ว ฉันไปทำให้ตระกูลเสื่อมเสียตรงไหนกันในตอนที่ฉันทำงานภายใต้นามแฝงนี้นะ?”

“…เทเลอร์ คนทั่วๆไปรู้นะว่าเธอคือบลิสแตนนะ เพราะงั้นแล้วหยุดมันซะต้องแต่ตอนนี้จะดีกว่านะ”

“เออเฮ้ ยัยป้านี้เริ่มที่จะพูดเรื่องไร้สาระอีกแล้ว ในเมื่อเราเป็นมนุษย์ พวกเราก็จำเป็นที่จะต้องกล้าๆหน่อยสิ! ฉันทำงานนี้มาตั้งแต่อายุ 16 ปีแล้วนะ ฉันควรที่จะหยุดมันก่อนที่จะถึงปีที่ 20 หรือยังไงกัน?”

“เห้อ…วิธีการพูดที่หยาบคายของเธอก็ยังเป็นเหมือนเดิม เพราะเธอเอาแต่อยู่กับคนชั้นต่ำพวกนั้นไง เธอถึงได้เป็นแบบนี้”

“อ่อเหรอ คุณ ‘อัศวิน’ ที่อยู่หน้าฉันนี้ก็ช่างดูสง่างามและรกลูกตาเสียจริงๆเลยนะคะ”

นับตั้งที่ที่เกิดการขยายวงกว้างของสงครามกับพวกมอนสเตอร์เมื่อ 31 ปีก่อนพลังพิเศษส่วนมากที่เหล่าผู้คนมีไว้ในครอบครองก็จะถูกใช้ในการล่ามอนสเตอร์เป็นส่วนใหญ่แต่แน่นอนว่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด

ยกตัวอย่างได้หนึ่งเลยก็คือเหล่ายอดมนุษย์ที่ไม่ได้ใช้พลังของตนเองในการล่ามอนสเตอร์ซึ่งก็คือตระกูลบลิสแตน พวกเขาไม่ได้ทำงานภายใต้สมาคมฮันเตอร์แต่เอนเอียงไปทางด้านการฝึกฝนพลังพิเศษของตัวเองเพื่อจุดประสงค์ทางการทหารเสียมากกว่า เอาไว้ใช้สำหรับสงครามในการต่อกรกับสิ่งที่มิใช่มอนสเตอร์

อย่างไรก็ตาม มันผ่านว่าหลายทศวรรษแล้วนับตั้งแต่ที่สงครามครั้งสุดท้ายได้เกิดขึ้น ตระกูลบลิสแตนในตอนนี้เป็นตระกุลยอดมนุษย์พิเศษที่มีความสามารถในการจัดการกับแสงได้ เป็นกลุ่มคนที่ได้อุทิศทั้งชีวิตของตนเองให้กับประเทศรัสเซียและทำงานอยู่ภายใต้คำเรียกขานว่า ‘อัศวิน’

เป็นตระกูลของอัศวินแห่งแสงอันทรงเกียรติที่ได้อุทิศชีวิตของตนให้กับประเทศชาติ! ช่างเป็นคำพูดที่ดูสวยหรูซะจริง

ในความเป็นจริงแล้วเมื่อคำเรียกขานของ ‘อัศวิน’ ได้เฟื่องฟูขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับการพุ่งทะยานขึ้นของพลังพิเศษ ทำให้มียอดมนุษย์นับไม่ถ้วนเลือกที่จะเข้าร่วมในระบอบนี้และพวกเขาทั้งหมดก็ได้พูดในสิ่งเดียวกันออกมา

‘ฮันเตอร์เป็นงานชั้นต่ำ’

เทเลอร์ได้แต่ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้น นี้พวกเขาคิดว่าใครกันนะที่ต้องไปสู้กับมอนสเตอร์ที่มันโพล่ขึ้นมาที่โลกใบนี้กันนะ? แล้วแถมทำไมคนพวกนี้ถึงได้มีหน้าด้านหน้าทนมาแกล้งทำตัวเป็นอัศวินหลังจากที่ปลุกตื่นพลังพิเศษของตนเองขึ้นมาอีกด้วยนะ?

แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมาต่อหน้าพวกเขาเพราะว่าคนพวกนี้ได้เติบโตขึ้นจนเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งไปเรียบร้อยแล้ว ไม่เหมือนกับเหล่าฮันเตอร์ที่เติบโตขึ้นมาด้วยการล้มลุกคลุกคลานท่ามกลางสนามรบ เหล่าอัศวินสามารถที่จะครอบครองพลังความสามารถที่ทรงพลังเป็นอย่างมากได้ผ่านการฝึกฝนที่เป็นระบบและการได้รับการฉีดอีเทอร์คุณภาพสูงเข้าไปในร่างกายของตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะให้ร่างกายของตนเองอยู่ในสภาพที่ปลอยภัยมากที่สุด

“ทำไมเธอมาขอให้ฉันกลับไปตอนนี้ด้วยในเมื่อพวกแกเป็นหนึ่งในคนที่เตะฉันออกมาตั้งแต่แรกนิ? หา?”

“พวกเราไม่ได้เตะเธอออกไป เธอออกไปด้วยตัวของเธอเองต่างหาก”

มันเป็นเรื่องราวจากในอดีตเมื่อนานมาแล้ว

ในตอนที่เหล่าพี่น้องทั้งแปดคนยกเว้นเธอได้ปลุกตื่นพลังแห่งแสงของตนเองขึ้นมาและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน เธอก็ได้วิ่งหนีไปจากตระกูลนี้เพราะว่าเธอไม่สามารถที่จะใช้พลังของเธอได้อย่างดี

มันไม่ใช่ความทรงจำที่ดีเลยแต่เมื่อเธอคิดเกี่ยวกับมันในตอนนี้แล้ว เธอเชื่อว่านั้นเป็นการตัดสินใจที่ดี ต้องขอบคุณการตัดสินใจครั้งนั้นที่ทำให้เธอสามารถที่จะได้เจอกับคนที่ล้ำค่ามากที่สุดในชีวิตของเธอเอง

“…ท่านพ่อต้องการให้เธอกลับไป มันยังมีตำแหน่งที่เว้นว่างไว้ให้กับเธอในตำแหน่งอัศวินแห่งชาติประจำรัสเซีย อาชีพของเธอในการเป็นฮันเตอร์เป็นเพียงแค่ความล้มเหลวของเธอ แต่ว่าท่านพ่อก็ได้รับรู้ถึงความสามารถในระดับแรงค์ S ของเธอแล้วเช่นกัน ดันนั้นกลับมาเถอะ ในตอนนี้มันถึงเวลาที่จะสิ้นสุดชีวิตชั้นต่ำแบบนั้นและกลับไปยังสถานเดิมของเธอได้แล้ว”

พูดออกไปแบบนั้นแล้ว โจยาก็ได้เอารูปถ่ายของชายคนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของตนและวางมันลงไว้บนโต๊ะ

“ท่านพ่ออยากให้เธอแต่งงานกับเขา เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล โรมานอฟ ไม่เหมือนกับไอ้เพื่อนพวกนั้นที่อยู่กับเธอ เขาเป็นขุนขางโดยกำเนิด”

ชายคนที่อยู่ในรูปภาพนี้เป็นคนๆหนึ่งที่เทเลอร์เองก็รู้จัก เขาเป็นอัจฉริยะในหมู่เหล่าอัจฉริยะ เป็นฮันเตอร์แรงค์ SS ที่ครอบครองทั้งความสามารถด้านพลังจิตและความแข็งแกร่งด้านร่างกาย

“ว้าววว เธออยากให้ฉันไปแต่งงานกับคนแบบนี้อะนะ? เขาดูยังกับใครสักคนที่กินแต่ถั่วงอกในทุกๆวันแนะ”

“เธอไม่สามารถที่จะดูหมิ่นใครก็ตามด้วยด้วยเพียงแค่รูปลักษณ์เขาได้หรอกนะ เทเลอร์”

เทเลอร์คีบรูปนั้นไว้ด้วยนิ้วของเธอและส่งมันกลับไปหาโจยา

“ฉันตั้งท้องแล้วนะ ตอนนี้ก็ 4 เดือนได้แล้ว”

“…จริงจัง?”

“ฟุ-ฮ่าฮ่าๆ แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว จริงๆแล้ว รสนิยมของฉันเป็นผู้ชายเกาหลีนะดังนั้นแล้วถ้าเธออยากที่จะให้ฉันแต่งงานกับใครสักคน ก็พาหนุ่มเกาหลีมาให้ฉันดีกว่านะ”

“เทเลอร์ เธอไม่อาจที่จะต่อต้านสิ่งที่ท่านพ่อบอกได้หรอกนะ”

“งั้นเหรอ?”

“เธอจะยังมีทัศนคติที่มั่นใจแบบนี้อยู่อีกไหมนะถ้าหากว่าท่านพ่อเรียกเรียกประชุมสภาและเสนอการประลองอัศวินขึ้นมานะ?”

เมื่อได้ยินคำของโจยา ดวงตาของเทเลอร์ซึ่งสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลาก็ได้สั่นไหวเล็กน้อย

นับตั้งแต่เริ่มยุคของเหล่ายอดมนุษย์ขึ้น เหล่าตระกูลที่ความสามารถพิเศษแบบนี้ก็ได้เริ่มที่จะปกป้องความลับในพลังของพวกเขาเองในมากเท่าที่จะมากได้ พวกเขาเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าพลังพิเศษเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในยีนของพวกเขา เช่นเดียวกันกับบลิสแตน ถ้าหากว่าคนใดคนหนึ่งในตระกูลต้องการที่จะแยกตัวออกไปจากตระกูลหละก็พวกเขาก็จะถูกท้าประลอง

อย่างไรก็ตาม เทเลอร์ได้ข้ามกระบวนการพวกนี้มาในอดีต ในเวลานั้น เธอไม่สามารถที่จะใช้พลังความสามารถทั้งหมดของเธอได้

“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆกับคนที่แสนอ่อนแออย่างเธอ แต่เธอก็ยังสามารถที่จะหามุมซ่อนตัวอยู่ได้ด้วยคนพวกนั้นแม้เธอจะชอบเอาพวกเขามาเป็นข้ออ้างแต่ฉันไม่ยอมรับมันหลอกนะ…ฉันอยากที่จะรู้นักว่าท่านพ่อต้องการอะไรจากเธอกันแน่นะ คนที่ยังคงอ่อนแอและไม่สามารถที่จะใช้พลังของตัวเองออกได้เต็มประสิทธิภาพอยู่ดีหากว่าเธอขาดตัวปล่อยอีเทอร์พวกนั้นไป”

เมื่อพูดออกไปแบบนั้นแล้ว โจยาก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอ

“เพราะงั้นแล้วก็กลับไปด้วยเท้าของตัวเธอเองนะ เทเลอร์”

เมื่อเธอได้จางหายไป เทเลอร์ ที่กำลังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไปสักพักหนึ่ง ก็ได้เกาหัวของตัวเธอเอง

“อ้าาาาา นี้มันวันบัดซบอะไรกันเนี่ย…”

แล้วเธอก็หันหน้าของเธอไปในทันทีและเห็นว่ามีเด็กสาวมัธยมปลายคนหนึ่งกำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอยู่

“เฮ้ ทำไมเธอมองมาที่ฉันแบบนั้นหละ? มันเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นใครต่อสู้กับทางการเมืองหรือไง?”

“พี่สาว! มองมาทางนี้ด้วยสิค่ะ”

“พี่สาว! ได้โปรดด่าอีกสักครั้งได้ไหมคะ!”

เทเลอร์ถึงกับกอดแขนของเธอตัวเธอเองในทันทีและขนลุกขึ้นมา

“นี้มันโลกบ้าอะไรกันแน่เนี่ย? คนพวกนี้ไม่ได้บ้าไปแล้วหรอกนะ?”

……………………………………………………..

หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ

……………………………………………………..

ณ โรงยิมกึมกัง สถานที่ที่ฉันมักจะไปเป็นประจำเมื่อไหรก็ตามที่ฉันต้องการที่จะฝึกฝนความแข็งแกร่งด้านร่างกายของตัวเอง แน่นอนว่าในอดีตที่ผ่านมา ฉันทำแบบนั้นก็เพื่อที่จะเอาตัวรอดไปวันๆด้วยความสิ้นหวัง แต่ในทุกวันนี้ฉันใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆที่อยู่ในนั้นเพื่อทดสอบความสามารถลึกลับของตัวฉันเอง

พรสวรรค์หนึ่งอย่างที่ฉันได้รับมาจากล่าเลสคาปี้ในตอนนั้น

[คุณได้ดูดกลืนพรสวรรค์ของตัวเอก เลสคาปี้ ‘เชาวน์ปัญญา (B)’]

[เลเวลของคุณไม่ได้รับการเพิ่มระดับขึ้นเนื่องจากว่าคุณได้ล่าตัวเอกที่มีระดับต่ำ]

[ 780 วันของอายุขัยได้ถูกเพิ่มเข้ามา]

ในที่สุด ฉันก็จะได้ดูดกลืนความสามารถของอีดงจุนที่ถูกเลื่อนมานานมากๆนี้แล้วเสียที

[คุณได้ดูดกลืนสกิลของตัวเอกอีดงจุน ‘พุทธชุงชอนโบ (SS)’]

[สกิลนี้ได้ทำการสอดประสานเข้ากับสกิล ‘ทำอย่างไรถึงจะราวกับเป็นสายลม(S)’และเกิดการรวมกัน]

[ได้รับทักษะ ‘เทคนิคเทพเจ้าสายลมแห่งพุทธสวรรค์(SS+)’]

มันดูเป็นเรื่องน่าดีใจมากเลยนะที่ได้รับสกิลแรงค์ SS แบบนี้มา มองไปที่มันครั้งแรกฉันก็คงคิดแบบนั้นอยู่หรอกแต่ว่า…

ในความเป็นจริงแล้ว ฉันโคตรโชคร้ายเลย เดอมาร์เป็นผู้เชี่ยวชาญเลเวล 500 เขามีสกิลเป็นร้อยๆอัน ส่วนมากของพวกนั้นทั้งหมดเป็นสกิลที่เกี่ยวข้องกับศิลปะการต่อสู้ ส่วนมากที่สุดเป็นระดับ SS และส่วนที่น้อยที่สุดเป็นระดับ S และทักษะดังเดิมของเดอมาร์ทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นระดับ SSS

มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าฉันอยากที่จะได้สกิลระดับ SSS สุดหัวใจแต่ว่าฉันก็ค่อนข้างที่จะพอใจอยู่กับความจริงที่ว่าสกิลนี้มันได้รวมเข้ากับสกิลที่ฉันมีอยู่แล้วและกลายมาเป็นสกิลระดับ SS+ อะนะ

และอย่างทุกท้าย

[ 5,000 วันของอายุขัยได้ถูกเพิ่มเข้ามา]

[อายุขัยคงเหลือ : 10,386 วัน 14 ชั่วโมง 28 นาที]

ในทันทีที่ฉันได้รับอายุขัยเพิ่มเข้ามา ร่างกายทั้งร่างของฉันก็มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ไม่เหมือนกับการผลัดเปลี่ยนไขกระดูกที่เถือกเขาหิมาลัยจากการเลเวลอัพพลวดพลาดเหมือนในครั้งที่แล้ว ในครั้งนี้มันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบง่ายๆ อย่างเช่นผิวหนังที่นวลขึ้นและการมองเห็นที่ได้รับการปรับปรุงในดีขึ้น

“อะไรกัน…”

ฉันเดินเข้าไปหากระจกที่อยู่ตรงมุมของโรงยิมแห่งนี้อย่างช้าๆและมองไปที่ใบหน้าของตนเอง ฉันรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม หน้าของฉันในตอนนี้ก็ดูราวกับตัวฉันเองในช่วงอายุยี่สิบต้นๆและผิวของฉันก็นวลยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

<นี่เป็นผลลัพธ์ของการที่มีอายุขัยเกิน 10,000 วันค่ะ>

<มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ร่างกายนี้จะดูเยาว์วัยขึ้นจากการที่อายุขัยได้เพิ่มขึ้นค่ะ>

“อย่างงั้นเหรอ? แล้วถ้ามันเพิ่มมากขึ้นกว่านี้อีก 10 เท่าฉันจะไม่กลายไปเป็นทารกเลยหรือไงกัน?”

<…ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นหรอกค่ะ คุณจะไม่เด็กลงไปมากกว่าช่วงอายุที่ร่างกายของคุณอยู่ในจุดที่ดีสุดค่ะ>

“หืม…”

ในตอนแรก ฉันได้แลกเปลี่ยนอายุขัยพวกนี้มาก็เพื่อที่จะต่อชีวิตที่กำลังจะตายของตัวเอง อย่างไรก็ตามฉันได้เติบโตแข็งแกร่งมากขึ้นและฉันก็ได้ล่าเหล่าตัวเอกเพื่อที่จะให้เป้าหมายของฉันให้ประสบความสำเร็จในตอนนี้ ความหมายอะไรจริงๆของอายุขัยพวกนี้คืออะไรกันแน่นะ? แล้วถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ใช่ว่าฉันจะอยู่ต่อไปได้โดยไม่มีวันตายเลยไม่ใช่หรือไงกัน?

<อายุขัยเป็นสิ่งที่ถูกมอบให้เนื่องจากการแปลงความเป็นไปได้ที่ถูกดูดกลืนมาจากตัวเอกค่ะ>

<นับตั้งแต่ที่มันมีค่าเกินหนึ่งหมื่นหน่วยแล้วในตอนนี้ คุณสามารถที่จะใช้มันด้วยจุดประสงค์อื่นได้แล้วค่ะ>

“ยังไง?”

<คุณสามารถที่จะใช้อายุขัยส่วนมากของคุณในการรักษาบาดแผลหรือว่าแลกเปลี่ยนกับการสร้างพลังอำนาจที่ทรงพลังขึ้นมาได้ในทันทีเลยค่ะ แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นการใช้ที่มีประสิทธิภาพมากนักดังนั้นฉันจึงไม่แนะนำใช้คุณใช้มันบ่อยครั้งนักนะคะ>

“อืม…”

คุณสามารถที่จะใช้อายุขัยของตัวเองเพื่อจุดประสงอื่นได้งั้นหรือ อืม มันอาจจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เป็นอย่างมากเลยถ้าหากว่าฉันต้องเจอเข้ากับสถานการณ์เป็นตายเข้า

“ถ้างั้นแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่าครั้งนี้เราได้อะไรมาบ้าง”

ในขณะที่ฉันสะบัดเท้าของตัวเองเบาๆและสปริงตัวขึ้นไป ฉันรู้สึกได้ว่าบางสิ่งที่ฉันเคยรู้สึกมันได้เบาขึ้นมากนัก ในตอนก่อนหน้าที่ได้รับการอัพเกรด ฉันรู้สึกราวกับว่ากำลังขี่ไปกับสายลมแต่ว่าในตอนนี้ฉันฉันกลับกำลังรู้สึกว่าตัวเองกำลังวิ่งผ่านส่วนหนึ่งของสายลมที่ฉันสร้างขึ้นเองไป

ถ้าหากว่าจะให้เปรียบเทียบกันหละก็ มันควรที่จะบอกว่าก่อนหน้าที่จะอัพเกรด มันรู้สึกราวกับว่าฉันกำลังขับรถไปบนพื้นดินที่ไม่มีความสม่ำเสมอแต่ในตอนนี้ฉันรู้สึกราวกับว่ากำลังขับรถไปบนถนนที่ถูกปูเอาไว้เป็นอย่างดี

มันสามารถที่จะพิจารณาได้ว่าเป็นความแตกต่างระหว่างความลื่นไหลของการเคลื่อนที่และความเร็ว

ทุกอย่างมันดียิ่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตามมันไม่สำคัญว่าฉันจะได้ถูกกลืนสกิลเข้าไปแล้วมากเท่าไหรก็ตาม ไม่มีอันไหนเลยสักอันที่ฉันสามารถใช้มันออกไปได้อย่างง่ายดายหลังจากที่ได้รับมันมา อย่างสกิลเทคนิคเทพเจ้าสายลมแห่งพุทธสวรรค์ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ง่ายๆ มันคล้ายกับสกิลห้องสมุดของแม่มดขาวนั้นแหละ

เทคนิคเทพเจ้าสายลมแห่งพุทธสวรรค์จะถูกเปิดใช้งานได้ก็ต่อเมื่อฉันได้คำนวณการเคลื่อนไหวของตนเอาไว้อย่างเหมาะสมและอยู่ในแง่มุมองศาและต่ำแหน่งที่แน่นอนเท่านั้น

ฉันพลาดนับครั้งไม่ถ้วน ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพลาดไปกี่ครั้งแล้ว ฉันวิ่งและก็ล้มจนเจ็บหัวเข่าไปหมดแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้หยุดมัน เพื่อที่จะสามารถใช้มันในการต่อสู้จริงๆได้ ไม่สำคัญว่าจะต้องพยายามมากแค่ไหน,ยากมากแค่ไหนและฉันจะลำบากมากแค่ไหนก็ตาม ฉันก็จะฝึกฝนมันซ้ำต่อไปจนกว่ามันจะกลายมาเป็นสิ่งที่กล้ามเนื้อฉันจดจำมันเท่านั้นเอง

หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง

[สกิล ‘เทคนิคเทพเจ้าสายลมแห่งพุทธสวรรค์ (SS+)’ ถูกเปิดใช้งาน]

ย่างก้าวของดีกว่าเดิมขึ้นเล็กน้อยจากก่อนหน้านี้

“พรึด…..”

ในขณะที่ฉันลงไปกองอยู่ที่พื้นและหอบออกมาด้วยความพึงพอใจ ใครคนหนึ่งก็ได้เข้ามาหาและเอาน้ำมาให้ฉัน เมื่อฉันรับมันและเงยหน้าของตัวเองไปมอง มันกลับเป็นเทเลอร์ไนน์

“เออ? เธอมาทำอะไรที่นี้กัน?”

“ก็มีคนบางคนส่งข้อความมาให้ฉันนะ มันไม่ใช่นายหรือไงกันที่บอกว่านายอยากจะล่านะ? แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้นายจะหมดแรงข้าวต้มแล้วนะ มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นหรือไง?”

“อ้าโทดทีๆ ฉันลืมไปเลย”

คิดดูแล้ว ฉันก็ส่งข้องความไปหาเทเลอร์ก่อนหน้าที่ฉันจะไปต่างโลกจริงๆ ในตอนนี้ความแตกต่างระหว่างโลกใบนี้และต่างโลกมันไม่ได้มากดังเดิมอีกแล้วเพราว่าฉันสามารถที่จะจัดการกำหนดความแตกต่างระหว่าง 3-5 เท่าได้ด้วยตัวฉันเอง ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ฉันไปยังต่อโลกด้วยใช้เวลาไปน้อยกว่าครึ่งวันในโลกนี้ซะอีก

“ฉันว่าจะไปล่าเร็วๆนี้แหละ ฉันก็แค่อยากทดสอบพลังของตนเองที่ฉันพึ่งจะได้รับมาเมื่อเร็วๆนี้นะ”

“งั้นเหรอ? หืม”

เทเลอร์รู้ว่าฉันได้รับพลังเพิ่มขึ้นจากการไปต่างโลก ดังนั้นเมื่อฉันบอกเรื่องแบบนี้กับเธอไป เธอไม่เคยที่จะแสดงปฏิกิริยาอะไรกับมันเลย แต่ว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง เทเลอร์เกาแก้มของเธอและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

“เยี่ยมเลย…งั้นจากพลังทั้งหมดที่นายได้รับมากจากต่างโลกแล้ว…มันมีพลังไหนที่ไว้ใช้ในการจัดการกับแสงบางไหม?”