บทที่ 180 ก็แค่ผู้เล่นที่ผ่านทางมา

จากแลงคาสเตอร์ใช้เวลา 2 วันในการไปถึงโคโดบอสร่าในกรณีที่ไม่ใช้บริการขนส่ง

แม้ว่าฤดูหนาวจะผ่านไปแล้ว หิมะหนาก็ยังคงปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ และก็บฮัมบีสต์จะจมลงไปในหิมะได้อย่างง่ายดาย ส่วนรถม้าเองก็ยากที่จะเคลื่อนไหวในสถานการณ์เช่นนี้ เนื่องจากพวกมันจะลื่นไถลบ่อยครั้ง

ไม่ต้องพูดถึงการเดินทางที่ล่าช้ากว่าปกติถึงหนึ่งในสาม

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาในการออกจากฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์ แม้แต่ในช่วงฤดูหนาว มาร์นี่ก็มักจะนําคาราวานพ่อค้าของเขาออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังแลงคาสเตอร์เพื่อทําการค้า

นั่นคือเหตุผลที่ฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์ มีรถลากเลื่อนขนาดเล็กจํานวนมากให้บริการในราคาถูก (ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ในสภาพที่ขายไม่ออก)

และสัตว์ลากเลื่อนก็ไม่ใช่ปัญหาเลย ผู้เล่นหลายคนในเมืองไร้ชื่อได้เลี้ยงสัตว์แปลก ๆ จํานวนมาก และส่วนใหญ่ถูกเลี้ยงอย่างปล่อยปละละเลย

เพราะพวกเขาคิดว่าการปล่อยพวกมันเป็นอิสระนั้น จะทําให้ความพยายามทั้งหมดที่พวกเขาใช้ไปกับพวกมันสูญเปล่า และเจ้าของเองก็ทนไม่ได้ที่จะฆ่าพวกมันเพื่อรับ EXP หลังจากที่ทําสัญญากับพวกมัน

นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไม หากผู้เล่นคนใดขอยืมสัตว์เลี้ยงของพวกเขามาใช้งานปกติเช่นการลากเลื่อน เจ้าของจะมอบสัตว์เลี้ยงที่พวกเขาไม่ต้องการให้อย่างมีความสุข

ดังนั้นซิมบ้าและเด็ก ๆ จึงใช้เหรียญเกมเพียงไม่กี่เหรียญที่พวกเขามีเพื่อแลกกับสัตว์เลี้ยง 3 ตัวที่คล้ายกับฮัสกี้น้ําลายยืดที่มีเขาแกะงอกอยู่เหนือหัว และเลื่อนขนาดเล็กที่ดูเหมือนพร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ

ขณะที่ซิมบ้ากังวลว่ารถเลื่อนจะอยู่ได้นานพอจนกว่าพวกเขาจะพบเกวนโดลินและคนอื่น ๆ หรือไม่ ชายที่ขายเลื่อนให้พวกเขาก็สาบานด้วยชีวิตว่า มันมีความทนทานเหมือนเรือที่เทพเจ้าแห่งเกมสร้างขึ้นในกิจกรรมเกาะมนุยษ์เงือก

ชายผู้ซึ่งเริ่มต้นจากธุรกิจขายผงกระดูกและเกราะส่วนอก ก็เต็มใจที่จะเซ็ตสัญญาว่าการรับประกันของเขาเป็นความจริง และให้เทพเจ้าแห่งเกมเป็นพยาน

เขาดูไม่เหมือนกําลังโกหกจริง ๆ นั่นเป็นสาเหตุที่เด็ก ๆ ตัดสินใจเชื่อเขา

หลังจากเซ็นสัญญา พวกเขาก็กุมบังเหียนของฮัสกี้ทั้ง 3 ตัว และมุ่งหน้าไปยังโคโดบอสร่า

ขุนนางหญิงมีเกวนโดลินอยู่ในอ้อมแขนขณะที่เธอวิ่งไปบนหิมะพร้อมกับสาวใช้ทั้งสอง

พวกเธอไม่ได้เตรียมตัวมาพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ เสื้อผ้าของพวกเธอไม่สามารถป้องกันความหนาวเย็นได้มากนัก ทําให้หิมะค่อย ๆ กัดกินความอบอุ่นในร่างกายออกไปอย่างช้า ๆ

การวิ่งในหิมะต้องใช้พลังกายอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของพวกเธอจึงช้าลง

ตอนนี้เธอสามารถได้ยินเสียงร้องของแรดบลันท์ไล่ตามมาจากด้านหลัง

“แย่แล้ว พวกมันใช้แรดบลันท์ที่สามารถล่าเหยื่อในหิมะได้!” ขุนนางหญิงรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งใจ

ในสองวันที่ผ่านมา เธอรู้สึกราวกับว่าเทพเจ้ากําลังเล่นตลกกับเธอ

โอ้เทพเจ้าแห่งแสงสว่างผู้ทรงอํานาจลินท์…หากท่านได้ยินคําอธิษฐานของผู้ศรัทธาคนนี้ โปรดส่งปาฏิหาริย์ลงมาเพียงเล็กน้อย และช่วยผู้ศรัทธาที่น่าสงสารของท่านด้วยเทอญ!

แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เป็นเรื่องจริงที่เทพเจ้าจะประทานพรให้แก่ผู้ศรัทธาของพระองค์ แต่มีเพียงผู้ศรัทธาส่วนน้อยเท่านั้นที่จะได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่นี้ ผู้ศรัทธาส่วนใหญ่ทําได้เพียงมองคนเหล่านั้นอยู่ห่าง ๆ และได้แต่ใช้ชีวิตตามปกติเท่านั้น

และขุนนางหญิงคนนี้ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

แม้ว่าเธอจะเกิดมาเป็นขุนนาง แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์สืบทอดตําแหน่ง

ครั้งหนึ่งเธอรู้สึกอิจฉาผู้ที่ได้รับเลือกจากศาสนจักรเหล่านั้นให้เป็นบุตรบุญธรรม ด้วยเหตุนี้เธอใช้ชีวิตอย่างสูงส่งและมองลงไปที่พวกเขา และจินตนาการว่าเธอเองก็เป็นคนที่ถูกเลือกเช่นกัน แต่เทพเจ้าคงจะประมาทและลืมเธอไปเพียงชั่วครู่

แต่คนเราต้องเติบโต เมื่อเธอเข้าใจว่าเธอเป็นเพียงคนธรรมดา การมีชีวิตที่ปกติธรรมดาก็ไม่ยากเกินไปที่จะยอมรับ

แล้วเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับเธอ?

ถ้าหาก…มีเทพเจ้าสักองค์ในโลกนี้ที่ปฏิบัติต่อผู้ศัรทธาทุกคนด้วยความอ่อนโยนและเมตตาล่ะก็…จะดีแค่ไหนกันนะ

“หยุด! เจ้าจะหนีไปไหนได้!”

ทหารของโคโดบอสร่าตะโกนไล่หลัง แต่หญิงสาวยังไม่ยอมหยุด

ลูกศรดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาถากข้างหูของเธอ พร้อมกับความรู้สึกแสบร้อนที่ตรงแก้ม

มันเจ็บ

ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่หยุด

หญิงสาวดรู้ดีว่าเธอคงหนีไม่พ้น แต่เธอก็รู้ด้วยว่าการหยุดหมายความว่าเธอจะถูกจับและตายอย่างสิ้นหวัง เธอจึงบังคับให้ตัวเองลืมความเจ็บปวดและก้าวต่อไป

“ข้าฆ่าไอ้เด็ก 3 คนนั้นไปแล้ว! แม้ข้าจะไม่รู้ว่าศพของพวกมันหายไปได้อย่างไร แต่ข้านี่แหละที่ตัดหัวของพวกมันเองกับมือ!”

ทหารที่ไล่ตามมาจากด้านหลังอาจจะแค่ใช้การตายของเด็ก ๆ มาข่มขู่เธอ แต่ก้าวของหญิงสาวก็ยุ่งเหยิงขึ้นเล็กน้อย

เธอคิดเสมอว่าซิมบ้าและเด็กคนอื่น ๆ วิ่งหนีไปในทิศทางตรงกันข้าม หรือไม่ก็ยอมจํานนต่อทหาร แต่เธอไม่เคยคิดว่าพวกเขาจะสู้ตายเพื่อซื้อเวลาให้พวกเธอหลบหนี

ในเวลานั้นเธอรู้สึกเสียใจมาก เธอทําตัวเฉยเมยต่อเด็ก ๆ ตลอดการเดินทาง เพราะการปรากฏตัวของฆาตกรที่ฆ่าบารอนในเจลาเนียทําให้เธอไม่แน่ใจในตัวพวกเด็ก ๆ

เมื่อเธอนึกถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็เป็นเด็กดีที่คอยดูแลเธอมาตลอด ถ้าเพียงแต่ข้าใส่ใจพวกเขามากกว่านี้

นั่นคือตอนที่เธอพบว่าสาวใช้ทั้ง 2 ของเธอกําลังมองมาที่เธอด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว

“นายหญิงต้องอยู่ต่อไปและปกป้องคุณหนูนะคะ”

“เดี๋ยวก่อน!” หญิงสาวเข้าใจว่าพวกเธอตั้งใจจะทําอะไร และพยายามที่จะหยุดพวกเธอ แต่ก็ทําได้เพียงส่งเสียงแหบแห้งแผ่วเบาเท่านั้น

วใช้ทั้ง 2 หันหลังกลับแล้ววิ่งเข้าหาทหารของเมืองโคโดบอสร่า ตั้งใจเสียสละตัวเองเพื่อให้นายหญิงมีเวลาหลบหนี

ความจริงทักษะดาบของพวกเธอมีพลังทําลายล้างมากกว่าพวกเด็ก ๆ เล็กน้อย แต่ทักษะเหล่านี้ต้องการความพร้อมทางร่างกายระดับสูง ตอนนี้แขนขาของพวกเธอถูกแช่แข็งจนการไหลเวียนของเลือดหยุดนิ่ง ดังนั้น ทักษะของพวกเธอจึงแสดงประสิทธิภาพออกมาได้ไม่เต็มที่

พวกเธอเกือบจะจนมุมด้วยจํานวนทหารที่มากกว่าหลายต่อหลายครั้ง

แต่พวกมหารไม่ได้ฆ่าสาวใช้ในทันที บางทีอาจเป็นเพราะหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนต้องการสินสงครามเพิ่มเติม

หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนตะโกนสาปแช่งแม่ในขณะที่เขาสั่งโจมตี “ยิงขาของอีเหี้ยนั้นซะ! ใครก็ตามที่ยิงโดนเธอจะได้รับรางวัล!”

นักธนูยิ้มออกมาขณะที่พวกเขาดึงสายธนู

นั่นคือตอนที่รถเลื่อนพุ่งออกมาจากข้างทาง ชนฮัมบีสต์หลายตัวล้มใส่สัตว์ขี่ของทหารตัวอื่น ๆ หันเหความสนใจของพวกทหารไปจากขุนนางหญิงที่กําลังหลบหนี

“ใครวะ?!” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนพยายามปลอบสัตว์ขี่ของเขา ขณะตะโกนใส่เลื่อนที่ซ่อนอยู่หลังเมฆหิมะที่ฟุ้งกระจายขึ้นมา

ความสําเร็จของเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อมกลับถูกคนอื่นหยุดกลางคัน หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนโกรธมาก เขารู้สึกเหมือนปล่อยให้เป็ดต้มในหม้อบินออกไป

“ก็แค่ผู้เล่นที่ผ่านทางมา” ซิมบ้าประกาศเสียงดังพร้อมกับแสยะยิ้มใส่เขา หลังจากที่คว้าสาวใช้ทั้ง 2 ออกมาจากด้านหลังของฝูงฮัมบีสต์ได้ “จําเอาไว้ซะ”