ตอนที่ 56 ความผิดปกติ

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ

ตอนที่ 56 ความผิดปกติ

「กวางตัวนี้ ข้าลงมือเองกับมือเลยนะ ทั้งสดและอร่อยจนอยากจะได้ให้ลองกันจริงๆ 」

เสียงนี้ดังขึ้นบนโต๊ะอาหารมื้อค่ำ

เบื้องหน้าของจานเนื้อกวางผัดซึ่งเป็นจานหลักของโต๊ะ ก็คือดยุกดรากูนอทที่กล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดี

ก็เหมือนที่เขาพูดเลย กลิ่นหอมของเนื้อกวางมันโชยมาเตะจมูกผมเข้าจังๆ ขนาดที่ว่าไม่ชิมผมก็รู้ว่าต้องอร่อยแน่ๆ

ชีล ซูซูเมะ กระทั่งสมาชิกของเคียวแห่งยมทูตที่ถูกเชิญมาร่วมโต๊ะก็ต่างตาเป็นประกายเมื่อเห็นโต๊ะอาหารมื้อค่ำนี้

เพราะนอกจากเนื้อกวางแล้วก็ยังมีอาหารอีกหลายอย่างถูกจัดวางไว้อยู่

สตูเนื้อแกะที่ได้มาจากฟาร์มาแกะในเขตท่านดยุกเอย หอยนึ่งที่นำมาจากทะเลทางเหนือ ปลาเทราต์จากทะเลสาบโทยะและผักตามฤดูที่ถูกต้มไว้ในหม้อ แตงโมหวานเนื้อแดงที่ราดด้วยซอสวอลนัท กับอื่นๆ อีกมากมาย

ขนาดขนมปังยังมีสีขาวราวกับอัญมณีเลย นี่ก็น่าจะเป็นเพราะมันทำมาจากข้าวสาลีคุณภาพสูงแน่

กระทั่งซุปผักที่ดูธรรมดา ผมก็ยังสามารถซดได้ไม่เบื่อเลย

อันที่จริงงานเลี้ยงฉลองที่วังก็มีอาหารเลิศรสเสิร์ฟหรอกนะ แต่ด้วยความหรูหราของมันที่มากจนเกินไป ก็เลยกลายเป็นว่าไม่เข้ากับรสนิยมผมเท่าไหร่

กลับกันถึงแม้บนโต๊ะอาหารของดยุกจะหรูหรา แต่ผมก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาพิจารณาถึงอาหารที่คนธรรมดาชอบเอาไว้แล้ว

เดิมทีพวกเขาอาจจะทำการเสิร์ฟ อาหารเรียกน้ำย่อย ซุป จานปลาและเนื้อ ก่อนจะตบท้ายด้วยของหวานตามลำดับ แต่ที่พวกเขาไม่ทำเช่นนั้นก็เพื่อสร้างบรรยากาศไม่ให้พวกเราจำเป็นต้องประหม่าในมารยาทอะไรนัก

จะกินอะไรก็ได้ตามที่ใจอยาก ความใส่ใจของพวกเขาช่างน่าชื่นชม ขนาดจานอาหารที่อยู่ตรงหน้าของลูนามาเรียก็ยังมีแต่จานประเภทมังสวิรัติ

ก็เรียกได้ว่าที่เป็นข้ารับใช้ระดับสูงแห่งอาณาจักรคานาเรียนนี่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

ด้วยเหตุนี้เอง มื้ออาหารมื้อค่ำนี้ก็จึงเริ่มด้วยความคาดหวังและความชื่นชมจากใจผมเลย

คนอื่นก็ไม่ต่างจากผม พวกผมสามารถเพลิดเพลินกับอาหารที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้อย่างมีความสุข

โหว สตูกับขนมปังนี้เข้ากันได้ดีจริงๆ แตงโมหวานเนื้อแดงนี่ก็ผสมกันกับวอลนัทซอสได้แจ่มสุดๆ พอผมมองไปที่ซูซูเมะซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ก็พบว่าเธอพยักหน้าให้กับผมขณะกลืนอาหารลงคอไป

หลังจากอาหารตรงหน้าเธอหมดลง เธอก็ทำสีหน้าเศร้าถึงทางนั้นจะบอกว่าไม่ต้องลังเลที่จะขอเติม แต่สำหรับซูซูเมะแล้วการจะเปิดปากบอกเมดเรื่องนี้ก็คงจะยาก ด้วยนิสัยของเธอ

เพราะผมเข้าใจว่าเธอเป็นคนแบบไหน ผมก็เลยทำการยกมือขออาหารเพิ่มแทนเธอ แต่ในวินาทีนั้นเอง

ก็มีเสียงจานแตกดังขึ้นภายในห้องรับประทานอาหาร

พอผมมองไปยังทิศที่เสียงมา ก็พบว่าคลอเดียกำลังทรุดลงกับพื้นก่อนจะกุมหน้าอกของเธอด้วยสีหน้าที่ความเจ็บปวด

เศษจานสีขาวแตกกระจายทั่วพื้น หอยนึ่งที่อยู่ในจานของเธอก็กระเด็นไปรอบๆ เธอ

「คลอว?!」

แอสทริดที่นั่งอยู่ข้างๆ คลอเดีย ก็ได้รีบเข้ามาหาน้องสาวของเธอ ไม่ใช่แค่นั้น พ่อและเหล่าเมดก็วิ่งเข้าไปยังจุดนั้นด้วย

「 …ข-ขอโทษนะคะ…พ-พอดีมือฉันมัน…ลื่นไป….อ๊าาาา!!」

มันคือน้ำเสียงแห่งความเจ็บปวด ที่ทำให้ร่างของคลอเดียกระตุกไปมาอย่างรุนแรง

ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว คลอเดียพยายามจะเปิดปากของเธอพูดถึง สอง สาม สี่ ครั้งเธอพยายามจะพูดเท่าที่เธอจะทำได้ แต่เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดก็ยังคงหลั่งไหลออกมาจากตัวเธอไม่หยุดหย่อน

แอสทริดที่เห็นแบบนั้น ก็ตัดสินใจประคองน้องสาวของเธอขึ้นด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว บางทีเธอน่าจะตัดสินใจพาคลอเดียกลับไปที่ห้องของเธอ

แต่ก่อนที่มือของพี่สาวคลอเดียจะสัมผัสเธอ

「อู…อาาาาา!!」

ร่างของคลอเดียที่งอเป็นตัว くก็พยายามจะส่งเสียงราวกับร่างกำลังถูกบดขยี้ออกมาจากริมฝีปากของเธออีกครั้ง

นี่น่าจะเป็นความพยายามของเธอในการอดทนต่อความเจ็บปวดที่จู่โจมร่างเธอ

…แต่ไม่ว่าเธอจะต่อต้านมันมากขนาดไหนก็เปล่าประโยชน์ เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็ทนมันไม่ไหว จนต้องส่งเสียงกรีดร้องอันสยดสยองออกมาแทน

「…อึก….กรี๊ดดดด! เจ็บ เจ็บ เจ็บเหลือเกินนนน!!」

「คลอว คลอเดีย! อดทนไว้ก่อนนะ!」

「กรี๊ดดดด….อ๊ะ อ๊าาาาาาา!!」

เธอกรีดร้องออกมาดังจนแทบคิดว่าคอของเธอจะพังเอาหรือเปล่า

เธอคือเจ้าหญิงทอมบอยที่ผมเจอในคอกจริงหรือเปล่า?

อะไรที่ทำให้คนคนหนึ่งต้องเจ็บปวดจนกรีดร้องออกมาขนาดนี้กัน?

แอสทริดได้หันไปพูดกับเมดคนหนึ่งสั้นๆ จากนั้นเธอก็ทำตามคำสั่งและวิ่งออกจากห้องรับประทานอาหารไปอย่างไม่เต็มใจนัก

「ท่านพ่อ..ถ้าเป็นแบบนี้ละก็…」

「อูมู」

แอสทริดพูดกับพ่อของเธอด้วยสีหน้าที่ดูหนักใจ ก่อนจะมองมาที่พวกผมและคนของเคียวแห่งยมทูต

ดยุกก็ตระหนักได้ว่าลูกสาวคนโตของเขาต้องการจะพูดอะไร จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้ก่อนจะแสดงสีหน้าที่เคร่งขรึมออกมา

「เรียนแขกทุกท่าน ข้าต้องขอโทษที่ทำให้ทุกท่านตกใจด้วย นี่คือสิ่งที่คอยโจมตีคลอวมาโดยตลอด ถึงแม้ช่วงนี้เธอจะดีขึ้นมาแล้วจนสามารถกลับมาร่วมโต๊ะอาหารกับเราได้…แต่ทว่าวันนี้เธอคงจะตื่นเต้นเกินไปหน่อย」

ดยุกกรากูนอทบอกกับพวกผมแล้วขอให้พวกผมกลับไปยังห้องพักกันก่อน จากนั้นพวกเขาจะนำอาหารมาเสิร์ฟที่ห้องของแต่ละคนแทน

ไม่มีใครในนี้ปฏิเสธคำขอ มันก็แน่อยู่แล้วนี่เนอะ ใครมันจะไปกินข้าวลงอีกพอเห็นคลอเดียอยู่ในสภาพนั้น

นอกจากนี้มันยังเป็นคำขอจากดยุกที่อยากจะเคลียร์พื้นที่ดังกล่าวด้วย

ถึงผมจะพยายามอยู่ต่อเพื่อทำอะไรสักอย่าง แต่ก็คงไม่มีประโยชน์เพราะผมไม่ใช่หมอหรือนักบวช ก็จริงว่าผมมีไพ่ตายนั้นอยู่แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า

ขณะที่พวกเมดกำลังทำความสะอาดจานที่แตก พวกผมก็รีบออกจากห้องอาหารไป

เสียงกรีดร้องของคลอเดียก็ยังคงดังอยู่เบื้องหลังของพวกผม

◆◆◆

「นายท่านคะ ฉันมีเรื่องอยากจะรายงานค่ะ」

พอผมกลับมาถึงห้อง ลูนามาเรียก็เปิดปากพูดออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง

ชีลกับซูซูเมะตอนนี้ก็อยู่ในห้องส่วนตัวของตน การที่เธอมานี่คนเดียวก็น่าจะเป็นเพราะมีเรื่องที่ไม่อยากให้สองคนนั้นได้ยิน

เพราะงั้น ผมก็เลยรู้ได้ทันทีว่าเรื่องที่เธอจะพูดไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

「ว่าไงล่ะ? 」

「ช่วงกลางวัน ท่านแอสทริดเข้ามาถามฉันถึงบางสิ่งค่ะ เธอถามว่าเป็นไปได้ไหมที่จะล้างพิษของหญ้าทานาเซียด้วยผลจิไรอาโอคุส」

「หญ้าทานาเซียหรือ…หื้ม วัตถุดิบที่ใช้ในการสร้างนอนหลับชนิดรุนแรงนั่นสินะ」

ทานาเซียเป็นชื่อของสมุนไพรที่รู้จักกันดี…ในชื่อของสมุนไพรที่มีพิษ

มันทำหน้าที่เหมือนกับยาแก้ปวด แต่สิ่งที่ทำจริงๆ ก็คือมันจะทำการทำลายสัมผัสความรู้สึกด้านการรับรู้ความเจ็บปวดของผู้ใช้ ให้พูดง่ายๆ ก็คือหญ้าพิษที่ทำให้ผู้ป่วยตายไปอย่างสงบ

การที่ปล่อยให้ผู้ป่วยจากไปโดยไร้ความเจ็บปวดและทรมาน ก่อนจะส่งผู้ป่วยลงสู้ห้วงนิทรา จนถูกเรียกกันว่า “นิทรามรณา”

ทางดยุกดรากูนอก็คงจะให้คลอเดียใช้หญ้าทานาเซียนี้เพื่อระงับความเจ็บปวดของเธอเอง

จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ มันก็เหมือนกับการ ให้คนคนนั้นกินแขนขาของตัวเองเพื่อไม่ให้อดตายไปเสียก่อน

หากผมได้ยินเรื่องนี้มาก่อนมื้อค่ำ ผมก็คงจะโกรธจนทานข้าวไม่ลงแน่

แต่หลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กสาวแล้ว ผมก็คงจะไปโทษแอสทริดกับพ่อของเธอที่เลือกทางนี้ไม่ได้หรอก

「แล้วเธอบอกไปว่าไงล่ะ? 」

「ฉันบอกท่านแอสทริดไปว่า “เนื่องจากตัวฉันไม่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เกี่ยวกับผลของจิไรอาโอคุสที่มีต่อหญ้าทานาเซีย ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถยืนยันข้อสงสัยดังกล่าวได้” ค่ะ」

ถึงเธอจะบอกว่าไม่แน่ใจ แต่ลูนามาเรียก็ค่อนข้างเป็นผู้ที่มีความสามารถซึ่งครอบครองความรู้ในฐานะเอลฟ์และปราชญ์อยู่

เธอก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าการล้างพิษนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของปัญหานี้เท่านั้นมันไม่ได้จัดการ ปัญหาทั้งหมดได้

ผลของจิไรอาโอคุสนั้นสามารถซื้อเวลาให้กับเธอได้อย่างแน่นอน แต่สุดท้ายเวลาที่คลอเดียเหลืออยู่ก็มีจำกัดไม่เปลี่ยน

ดยุกกับแอสทริดก็คงจะพยายามคิดหาทางจัดการกับคำสาปนี้ก่อนเวลาจะหมดลง

ผมก็ไม่ได้จะบอกหรอกว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันผิด

แต่พอผมเห็นคลอเดียต้องเจ็บปวดขนาดนี้ต่อหน้าแล้ว มันก็อดคิดไม่ได้ว่าพลังของจิไรอาโอคุสที่ซื้อเวลาให้เธอนั้นมันเพียงพอแล้วจริงหรือ

ช่างเป็นฉากที่ดูย้อนแย้ง หากมองว่าเด็กสาวที่เล่นกับคราว โซราสอย่างไม่เกรงกลัวต้องร้องไห้ออกมาเพราะความทรมานขนาดนี้…

เธอจะต้องทนกับความเจ็บปวดขนาดไหนอยู่กันนะ ผมได้แต่กัดริมฝีปากของตนเพราะความไม่รู้

「…คำสาปนี้ เน้อ….คงจะดีถ้าฉันเรียนพวกเรื่องของคำสาปมาบ้างหากรู้ว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น จริงสิ เธอสัมผัสอะไรได้ในฐานะผู้ใช้สปิริตไหม? 」

「น่าเสียดาย แต่เห็นไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมจากพวกวิญญาณเลยค่ะ แต่ก็มีเรื่องที่ฉันติดใจอยู่อย่างหนึ่ง」

「เรื่องที่ติดใจเหรอ อะไรล่ะ? 」

「ค่ะ ก่อนที่ท่านคลอเดียจะล้มลง ฉันรู้สึกมีแรงกดดันแปลกๆ เข้ามาในหู」

「แรงกดทัน…ในหูเธอเหรอ? มันเป็นเสียงแปลกๆ อะไรทำนองนั้นหรือเปล่า? 」

「ฉันก็บอกไม่ได้ค่ะว่ามันคืออะไร….แต่…นายท่านรู้จักสิ่งที่เรียกว่านกหวีดสุนัขไหมค่ะ? 」

「หืม เธอหมายถึงของที่เทมเมอร์เขาใช้กันเหรอ? 」

มันเป็นนกหวีดที่จะส่งเสียงเฉพาะให้พวกสุนัขหรือหมาป่าเท่านั้นที่ได้ยินเพื่อทำการควบคุมพวกมันให้ทำตามที่สั่งได้อย่างอิสระ

ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าพวกอัศวินมังกรก็ใช้ของทำนองนี้แต่จะเรียกกันว่านกหวีดมังกร ซึ่งมันช่วยให้พวกเขาสั่งการและเรียกพวกมันจากระยะไกลได้

แต่สุดท้ายมันก็เป็นความลับภายในของพวกเขาผมก็เลยไม่รู้อะไรเยอะหรอก

เอาเป็นว่า ลูนามาเรียบอกว่าเธอสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับนกหวีดสุนัขระหว่างที่รับประทานมื้อค่ำกันอยู่นั่นเอง

「แต่ฉันก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามันจะเกี่ยวข้องกับความผิดปกของท่านคลอเดียไหม แถมหากเป็นเช่นนั้นจริงทำไมคนอื่นถึงไม่ได้รับผลกระทบจากมันกัน…」

「ก็จริงอยู่ แต่จะให้ปักใจเชื่อว่าไม่เกี่ยวเลยก็คงไม่ได้ ชีลเป็นคนที่มีประสาทการได้ยินดีที่สุดในหมู่พวกเราด้วย บางทีคงต้องไปถามเธอว่าได้ยินเหมือนกันไหม」

「เข้าใจแล้วค่ะ เช่นนั้นเดี๋ยวฉันจะไปเรียนชีลมะ-」

「เดี๋ยว ก่อนอย่าเพิ่ง」

ผมหยุดลูนามาเรียที่กำลังจะเดินออกจากห้องไป

แล้วเอลฟ์คนนั้นก็หันกลับมาหาผม จากนั้นผมก็กวักมือเรียกเธอกลับมา

พอเธอเดินกลับมาหาผมอย่างเชื่อฟัง จากนั้นผมก็วางมือเอาไว้บนไหล่ที่เพรียวบางของเธอก่อนจะจับมันไว้แน่น จนเธอเริ่มสับสนขึ้นมา

「อะ-เอ่อ… นายท่านคะ ท่านอยากจะให้ฉันรับใช้อะไรหรือเปล่า? 」

「ช่วยมาทดลองอะไรบางอย่างหน่อย」

「ทดลองเหรอคะ…? 」

「ตามนั้น อันที่จริงฉันกะจะไปลองกับมิโรสลาฟหลังกลับอิชกะไป…แต่ดูเหมือนเวลาจะไม่มีมากขนาดนั้นแล้วสิ」

แน่นอนว่าการทดลองที่ผมบอกก็คือการลองเอาวิญญาณของผมฉีดเข้าไปในร่างของคนอื่น

ที่ผมอยากจะลองกับมิโรสลาฟในตอนแรก นอกจากเรื่องที่ผมกลัวว่ามันจะล้มเหลวแล้วก็มีเรื่องที่เธอนั้นเป็นมนุษย์เหมือนกับคลอเดีย

คลอเดียคือเป้าหมายที่ผมจำเป็นต้องแบ่งปันไม่ใช่กลืนกิน

แม้มันจะสำเร็จหากผลได้ลองกับลูนามาเรียที่เป็นเอลฟ์แต่ผลลัพธ์อาจจะแตกต่างก็ได้หากเป็นมนุษย์ ทางชีลที่เป็นมนุษย์สัตว์กับซูซูเมะที่เป็นคิจินก็ด้วย

ตามที่ว่ามาผมก็เลยกะจะลองกับมิโรสลาฟก่อน แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลาเหลือพอจะไปทำเรื่องแบบนั้นได้แล้ว ดังนั้นก่อนที่จะไปทำกับคลอเดีย ผมก็อยากจะหาตัวทดลองและผลคร่าวๆ ของมันก่อน ถึงแม้จะยังไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดเลยในทีเดียวก็ตาม

ตอนแรกผมก็คิดอยู่หรอกนะว่าลูนามาเรียจะต่อต้านผม เพราะผมดันบอกว่าจะทดลองอะไรก็ไม่รู้กับเธอ แต่เธอดันไม่ขัดขืนเลยสักนิดนี่สิ

เธอแสดงความผ่อนคลายออกมาก่อนจะจ้องมาที่ผม จนทำให้ผมเริ่มสับสนขึ้นมาเมื่อดวงตาของผมสะท้อนเข้ากับดวงตาสีมรกตของเธอในระยะประชิด

「ต้องการให้ฉันทำอะไรบ้างคะ? 」

「….ก็เหมือนกับทุกที」

จากนั้นลูนามาเรียก็กลับตาลงเพื่อตอบสนองความต้องการของผม

ผมขจัดความสับสนภายในใจออกไปและเริ่มประกบริมฝีปากเข้ากับเธอ

———

Note 1 : พ่อคนดีย์

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code