บทที่ 266 ข่าวร้าย

บทที่ 266 ข่าวร้าย

“เถ้าแก่ พอพูดรายละเอียดแบบนี้ ฉันก็นึกได้ว่ามีคนต้องการจองห้องส่วนตัวสำหรับงานเลี้ยงรุ่นเข้ามา เขาไม่ได้นามสกุลเมิ่ง แต่สกุลหม่าค่ะ” เฉินปิงเหยากล่าวตอบ

“สกุลหม่า? หม่าอิงเฟยเหรอครับ?” อู๋ฝานขมวดคิ้ว

ในชั้นเรียนมีสกุลหม่าเพียงคนเดียว ดังนั้นอู๋ฝานจึงนึกชื่อหม่าอิงเฟยออกมาโดยแทบไม่ต้องคิด

“เหมือนจะชื่อหม่าอิงเฟยจริง ๆ ค่ะ” เฉินปิงเหยาคิดอยู่ครู่แล้วจึงตอบ “แต่เขาจองห้องส่วนตัวค่อนข้างช้า ห้องส่วนตัวที่มีในคืนวันพรุ่งนี้ถูกจองเต็มหมดแล้ว เลยต้องจัดพื้นที่ตรงโถงให้พวกเขาแทนค่ะ”

แม้ว่าร้านโลกในแหวนจะเพิ่งเปิดได้ไม่กี่วัน แต่ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้นในช่วงเวลาไม่นานนั้น ดังนั้นจึงยิ่งมีลูกค้าแวะเวียนมามากขึ้น มื้อเย็นทุกคืน ห้องส่วนตัวชั้นสองจะถูกจองเต็มแน่น หากจองช้าเกินไป ก็อย่าคิดว่าจะมีโอกาสได้ห้องส่วนตัว

“เข้าใจแล้วครับ” อู๋ฝานครุ่นคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “หาทางจัดห้องให้พวกเขาสักห้องได้ไหมครับ”

บางคนที่จองห้องส่วนตัว ก็มีบางส่วนที่อาจไม่มา เหมือนหวังจื่อหมิง อีกฝ่ายเคยมีห้องส่วนตัวประจำที่ร้านคัลเลอร์แมน ดังนั้นจึงสามารถใช้งานได้ทุกเมื่อที่เดินทางมา ส่วนราคาของการจองห้องส่วนตัวระยะยาวเช่นนี้ย่อมไม่ถูก หากเป็นเพียงแค่คนรวยธรรมดาย่อมไม่อาจจ่ายไหว ทว่าหวังจื่อหมิงไม่ได้คิดใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น

และหวังจื่อหมิงเองก็มีห้องส่วนตัวประจำที่ร้านโลกในแหวนเช่นกัน นอกจากอีกฝ่ายแล้ว ก็ยังมีห้องส่วนตัวอื่นอยู่อีก ดังนั้นตราบใดที่คิดหาทางใช้ เขาก็ยังพอจะหาห้องส่วนตัวที่ว่างสักแห่งได้

“ได้ค่ะ” เมื่ออู๋ฝานเป็นคนสั่ง เฉินปิงเหยาย่อมตอบรับโดยไม่ถามให้มากความ

อู๋ฝานต้องดูแลเพื่อนร่วมชั้นเรียนตามที่ควรเป็น อย่างไรเขาก็ไม่ได้เจอใครเลยมานับปี หากจัดปาร์ตี้มื้อค่ำที่อื่น ชายหนุ่มก็คงไม่ออกหน้าถึงขนาดนี้ แต่ในเมื่อที่นี่เป็นสถานที่ของเขาเอง เขาก็ไม่อยากทำเป็นมองข้ามไม่ดูแล

หลังจัดการเรื่องห้องส่วนตัวเรียบร้อย อู๋ฝานก็มุ่งหน้าไปยังโรงงานเฟอร์นิเจอร์ หลายวันมานี้เขาต้องเดินทางไปมาระหว่างโรงงานเฟอร์นิเจอร์กับร้านอาหาร รับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนศิษย์ของทั้งสองกิจการ หลิวอี้เตาก็ดี ลู่หรงฮวาก็ดี ทั้งสองต่างมีพรสวรรค์และท่าทีที่ยอดเยี่ยม พวกเขาสามารถเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ทำให้ชายหนุ่มพึงพอใจไม่น้อย

ทว่าอู๋ฝานที่ตอนแรกอารมณ์ดีอยู๋นั้น หลังกลับมายังโลกแห่งเกมกลับได้ทราบข่าวร้าย เป็นข่าวร้ายที่ลั่วหยางและหลี่ว์ปินนำกลับมาจากเทศมณฑล

“นายท่าน ตอนที่พวกเรายังอยู่เทศมณฑล ได้ยินมาว่ามีกองทัพกบฏปรากฏตัวใกล้เทศมณฑลชิงหยวน พวกมันออกปล้นหมู่บ้านไปแล้วสองแห่ง แนวทางการเคลื่อนไหวไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่พวกมันยังคงอยู่ใกล้เทศมณฑลชิงหยวน” ทันทีที่หลี่ว์ปินเจออู๋ฝาน เขาก็รีบรายงานในทันที

อู๋ฝานขมวดคิ้ว มันไม่ใช่ข่าวดีเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อกองทัพกบฏออกอาละวาดในละแวกเทศมณฑลชิงหยวน ก็อาจเป็นไปได้ที่พวกมันจะบุกมาหมู่บ้านเร้นลับ เพราะหมู่บ้านเร้นลับเองก็ไม่ได้อยู่ไกลจากเทศมณฑลชิงหยวนมากนัก

เรื่องนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่ากองทัพกบฏนับวันยิ่งก่อการหนักข้อขึ้น วิธีการของพวกมันไม่เป็นมิตรแม้กับคนธรรมดา หากผู้คนยอมเข้าร่วมกับมันก็ไม่เป็นไร แต่หากว่าไม่ พวกมันจะพร้อมเผา ฆ่า และปล้นสะดมทุกสิ่งอย่างเพื่อช่วงชิงเอาไป

“พวกมันมีจำนวนเท่าไหร่? แล้วพวกอาวุธล่ะ? ใครเป็นผู้นำ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม

“เรียนนายท่าน พวกเราไม่ทราบข้อมูลเหล่านี้แน่ชัด” ลั่วหยางตอบกลับมา “สถานการณ์ของกองทัพกบฏ พวกเราพอได้ทราบมาจากละแวกใกล้เคียงจวนผู้ปกครองเทศมณฑล แต่ผู้ปกครองเทศมณฑลกัวคล้ายไม่มีความเห็นในเรื่องสถานการณ์ของทัพกบฏแม้แต่น้อย เขาไม่สนใจ ไม่สืบรายละเอียดของทัพกบฏ ดังนั้นข้อมูลที่พวกเราได้รับมาจึงมีอย่างจำกัดขอรับ”

อู๋ฝานเพิ่งขอให้ถังซานที่อยู่จวนในเทศมณฑลไปคอยรวบรวมข้อมูลข่าวสารได้ไม่นาน ระบบหน่วยข่าวกรองจึงยังไม่สมบูรณ์ดี ข้อมูลที่ได้รับมาย่อมมีอย่างจำกัด เรื่องนี้ถือว่าเข้าใจได้

แต่อู๋ฝานไม่ค่อยพอใจกับการกระทำของผู้ปกครองเทศมณฑลกัวสักเท่าใดนัก กองทัพกบฏออกปล้นหมู่บ้านไปแล้วถึงสองแห่ง แต่อีกฝ่ายกลับยังเมินเฉยไม่สนใจ กระทั่งจำนวนของศัตรู ใครเป็นผู้นำทัพ ในฐานะผู้ปกครองเทศมณฑลกลับไม่ทราบ เรียกว่าบกพร่องต่อหน้าที่ก็ไม่ผิด!

“แล้วทางสำนักปกครองเทศมณฑลมีความเห็นเรื่องการสยบกองทัพกบฏหรือไม่?” อู๋ฝานเอ่ยถาม

“ไม่เลยขอรับ กองทัพภายในเมืองไม่มีท่าทีจะส่งกำลังทหารออกมา เพราะด้านนอกเมืองนั้นมีผู้อพยพอยู่เป็นจำนวนมาก ทางผู้ปกครองเทศมณฑลกัวจึงออกคำสั่งให้ปิดประตูเมืองเสมอ ต่อให้คนที่คิดเข้าเมืองมาเป็นพวกเรา ก็ยังต้องใช้เวลาดำเนินการทุกครั้ง” หลี่ว์ปินกล่าวตอบ

“สารเลวดีจริง ๆ!” อู๋ฝานสบถออกมา

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ด่าหลี่ว์ปินหรือลั่วหยาง แต่เป็นผู้ปกครองเทศมณฑลกัว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่คิดที่จะหาทางปราบกบฏเลยแม้แต่น้อย พวกเขาปิดประตูเมืองเอาไว้แน่นอย่างแน่นหนา การกระทำนั้น ไม่เพียงแต่จะปล่อยผู้อพยพลี้ภัยเอาไว้นอกเมือง แต่ยังใช้เป็นกันชนกองทัพกบฏที่อาจบุกโจมตีเทศมณฑล เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทั้งยังไม่ต้องลงเรี่ยวแรงหรือทรัพยากรใดทั้งสิ้น ประหยัดทั้งเวลาและปัญหา คนที่น่าสงสารที่สุดคือชาวบ้านตามหมู่บ้านและเมืองใกล้เคียง

หมู่บ้านและเมืองที่อยู่ใกล้เคียง แม้จะทำตามคำสั่งของจักรพรรดิ ที่เริ่มจัดตั้งหน่วยรักษาการณ์ขึ้นมา แต่หน่วยรักษาการณ์ดังกล่าวก็เพิ่งจัดตั้งขึ้น พวกเขาไม่ได้ผ่านการฝึก ไม่มีอาวุธ ดังนั้นจึงแทบไม่มีกำลังสู้รบ เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะเอาอะไรมาต่อกรกับกองทัพกบฏ? เมื่อใดกองทัพกบฏบุกโจมตีเมืองและหมู่บ้าน พวกเขาจะไม่สามารถต่อต้านได้เลยด้วยซ้ำ

มีเพียงเทศมณฑลชิงหยวนที่สามารถพอปราบปรามกองทัพกบฏได้ แต่พวกเขากลับวางตัวเมินเฉย ทำตัวไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

โชคร้าย อู๋ฝานไม่มีคุณสมบัติพอจะไปสั่งการอะไรกับคนอย่างผู้ปกครองเทศมณฑลกัว ที่เขาทำได้ก็มีเพียงเตรียมความพร้อมเพื่อปกป้องตัวเอง

อู๋ฝานเรียกคนภายในหน่วยของตนเองมาพลางจัดแจง “ลั่วหยาง หลี่ว์ปิน ทั้งสองคนเดินทางไปเทศมณฑล บอกถังซานให้ใช้เงินได้เต็มที่ ให้เขาตั้งหน่วยข่าวกรองขึ้นมาโดยเร็วที่สุด ตอนนี้ให้เน้นสืบข่าวของเทศมณฑลชิงหยวนและหมู่บ้านใกล้เคียง ยึดเทศมณฑลชิงหยวนเป็นศูนย์กลางขยายวงหน่วยข่าวกรองออกไป ข้าต้องการให้เขาจัดตั้งหน่วยข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพและใช้งานได้จริง!”

ตอนนี้ไม่ใช่ยุคที่สงบสุข ไม่ว่าจะกองทัพจากโลกอสูร กองทัพกบฏ หรือกองทัพของอาณาจักรใกล้เคียง ทั้งหมดต่างก็อาจแสดงท่าทีเป็นภัยคุกคามต่อหมู่บ้านเร้นลับได้ ในฐานะคนของยุคใหม่ อู๋ฝานมีความรู้มากกว่าคนของโลกใบนี้ เขาทราบดีถึงความสำคัญของหน่วยข่าวกรองในยามศึกสงคราม ดังนั้นชายหนุ่มจึงยอมจ่ายเพื่อจัดตั้งหน่วยข่าวกรองขึ้นมา ไม่ใช่คิดหาทางครองโลก แต่เพื่อเป็นการปกป้องตนเองตามความจำเป็น หากรอจนศัตรูมาถึงหน้าประตูบ้าน แต่ไม่ทราบว่าศัตรูมีจำนวนเท่าไหร่ ผู้นำเป็นใคร มันจะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้าย เพราะรู้เขารู้เราจึงจะสามารถรบชนะ

ดังนั้นต่อให้ต้องจ่ายเงินจำนวนมาก อู๋ฝานก็พร้อมที่จะทุ่มเพื่อตั้งหน่วยข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพขึ้นมา

“ทั้งสองคนไปนอกเทศมณฑลชิงหยวน รับสมัครผู้ลี้ภัยมาเพิ่ม เทศมณฑลชิงหยวนไม่ได้ต้องการพวกเขาเหล่านั้น แต่ข้าต้องการ!” อู๋ฝานกล่าวบอก

ทรัพยากรของหมู่บ้านเร้นลับมีมากมายอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะภูเขา น้ำ พื้นที่เพาะปลูก หรือว่าป่า สิ่งเดียวที่ขาดแคลนคือกำลังคน หากอู๋ฝานต้องการขยับขยายครั้งใหญ่ เขาก็จำเป็นต้องมีคนจำนวนมาก และผู้อพยพที่นอกเทศมณฑลชิงหยวนถือเป็นตัวเลือกที่ดี