บทที่ 214 ผู้อาวุโสใหญ่ถูกจับตัวไป

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 214 ผู้อาวุโสใหญ่ถูกจับตัวไป

เพียงแค่การทรมานเค้นความจริง ให้เขาจัดการจะดีกว่า หลานเยาเยาเป็นเพียงหมอ ถึงแม้บางครานางจะดูดุร้าย แต่เขาไม่มีทางเชื่อว่านางจะทรมานอย่างโหดร้ายถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อได้หรอก

ในเวลานั้นเอง !ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา อีกทั้งเสียงเท้านั้นยังเป็นของคนถึงสองคน จากระยะไกลก็ใกล้เข้ามาแล้วสุดท้ายเสียงก็หยุดลงตรงหน้าห้อง

“ก็อกๆๆ……”

“ผู้อาวุโสใหญ่ ทุกสิ่งได้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว จะลงมือกับพวกเขาจริงหรือ? กลุ่มของพวกเขามีสองคนที่มีวิชาวรยุทธ์ชั้นสูง ยากที่จะจัดการได้ ”

ผู้ที่กำลังพูดอยู่คือผู้อาวุโสสาม น้ำเสียงของเขาสามารถรับรู้ได้ถึงความกังวล

ทั้งสองที่ไม่รู้สิ่งใด ยังไม่ทันรอให้ผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ในห้องตอบกลับ ผู้อาวุโสรองก็กล่าวต่อด้วยความรู้สึกตื่นเต้น

” กลัวอันใดเล่า เพียงแค่หลอกล่อให้พวกเขาเข้าไปยังหุบเขาจิ้น ต่อให้มีความสามารถเพียงใดก็ตายสถานเดียวมิใช่หรือไงกัน? ”

“ท่านคิดว่าพวกเขาโง่เช่นนั้นหรือ ที่จะหลอกก็หลอกได้อย่างง่ายดาย? ”

ผู้อาวุโสสามคิดว่าเรื่องเช่นนี้ควรจะมีการปรึกษากันสักระยะ ที่จะคิดหาหนทางจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบถึงจะจัดการได้

แต่แล้ว ! ผู้อาวุโสรองกลับยิ้มเยาะออกมา เขารู้สึกว่าผู้อาวุโสสามนั้นขี้ขลาดเกินไป ยามจะทำสิ่งใดก็ต้องรอบคอบอยู่ตลอด พอถึงคราต้องลงมือก็เป็นเขาและผู้อาวุโสใหญ่ที่ต้องลงมือมิใช่หรือไร

” ท่านคงไม่เข้าใจ ! ท่านชายที่มีความสามารถวิชาการรักษากำลังสนใจเรื่องคนโดนมนต์ดำไม่ใช่หรือไร? เราเพียงแอบเผยยาต้นกำเนิดให้เขาสักหนึ่งตัวยา มีหรือที่พวกเขาจะไม่เข้าไปในหุบเขาจิ้น ? ”

แต่หารู้ไม่ว่า……

ผู้อาวุโสสามกลับจ้องผู้อาวุโสรองอย่างหนัก พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีมากนัก

” ท่านโปรดระวังคำพูดจาด้วย ท่านมัวแต่กล่าวอย่างไม่พลั้งปาก ระวังจะเกิดปัญหาใหญ่ ”

หืม ?

มีบางอย่างผิดปกติ !

พวกเขาพูดนานถึงเพียงนี้ ไม่มีเหตุผลใดที่ผู้อาวุโสจะไม่ได้ยิน แต่เหตุใดเขาถึงยังไม่ออกมากัน ?

“ผู้อาวุโสใหญ่?ผู้อาวุโสใหญ่ ?”

ผู้อาวุโสสามตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ คิ้วของเขาจึงยิ่งขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ

” คงจะหลับไปแล้ว ! ” ผู้อาวุโสรองก็เกิดความสงสัยเช่นกัน เลยเคาะประตูอีกครั้ง ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับใดๆ

ทั้งสองจึงเริ่มตงิดใจขึ้นมา สุดท้ายผู้อาวุโสรองก็ใช้เท้าถีบประตูจนเปิดออก พวกเขาเดินเข้าไปอย่างไม่ไตร่ตรองสิ่งใดทั้งสิ้น

แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเข้าไปอยู่กลุ่มควันหนาแน่น

“แคะๆๆๆ……”

“แคะๆๆๆ……”

กลุ่มควันหนาแน่จนทำให้สำลักออกมาอย่างหนัก ทั้งยังสามารถบดบังถึงขนาดที่ยื่นมือออกมาก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ? นี่มันค่ายกลแบบใดกัน? ”

” ไม่ใช่ค่ายกล ถ้าหากเป็นค่ายกลจริง พวกเราคงเกิดอาการหลอนไปนานแล้ว นี่เป็นเพียงควันพิษเท่านั้น”

เมื่อคิดได้ว่าอาจจะเป็นควันพิษ ทั้งสองก็รีบปิดปากและจมูกทันที จากนั้นก็ถอยหลังออกจากห้องไป รอจนกลุ่มควันในห้องจางหายไปจึงได้กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งแต่กลับไร้วี่แววของคน

“ผู้อาวุโสใหญ่หล่ะ? ”

“ข้าไม่ทราบ แต่ดูจากท่าแล้วคงจะถูกลักพาตัวไปแล้ว”

ผู้อาวุโสสามเป็นคนมีความคิดรอบคอบ เมื่อมองเห็นเตียงที่ว่างเปล่าก็สามารถคิดเชื่อมโยงถึงกลุ่มควันเมื่อสักครู่นี้ จากนั้นจึงได้ข้อสรุปนี้ในทันที

” จะเป็นผู้ใดกันเล่า?” ผู้อาวุโสรองขมวดคิ้วแน่น เพียงไม่นานก็นึกถึงคนที่ฮัวหยู่อันพากลับมา

” ต้องเป็นพวกเขาแน่”

ผู้อาวุโสสามสายตานิ่งลึกโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด

จนพวกเขาเดินหอบมาถึงห้องของหลานเยาเยา หลานเยาเยาก็กำลังทำการศึกษาคนโดนมนต์ดำอยู่

หลังจากที่รู้ว่ามีคนเข้ามาในห้อง นางก็หันหลังไปยังพวกเขา

” พรบค่ำเช่นนี้ ท่านอาวุโสทั้งสองมีธุระอันใดเล่า? ”

นางแสดงสีหน้าสงสัย ราวกับไม่รู้สาเหตุที่ผู้อาวุโสทั้งสองเข้ามาที่นี่จริงๆ

” ท่านชายก่อนหน้านี้ไม่ได้ออกไปไหนหรือ ? ”

ผู้อาวุโสรองเป็นคนค่อนข้างตรงไปตรงมา พูดจาไม่อ้อมค้อม เพราะยังไงเสียเขาก็มั่นใจว่าผู้อาวุโสใหญ่ถูกนางลักพาตัวไปแน่นอน

” ท้องฟ้ามืดค่ำเช่นนี้ ข้าจะออกไปทำสิ่งใดเล่า? ข้ากำลังคิดว่าจะศึกษาคนโดนมนต์ดำอีกสักระยะ จากนั้นค่อยไปอาบน้ำเข้านอน ! ใครจะรู้ว่าจู่ๆพวกท่านจะเข้ามา ยังดีที่ข้าไม่ใช่สตรี ไม่เช่นนั้นข้าคงจะขวัญหาย ! ”

หลานเยาเยาเองก็เป็นคนที่มากเรื่อง

ในตอนที่พักอยู่ที่จวนแม่ทัพนางก็คุ้นชินกับการพลิกผันสิ่งที่ผิดให้ถูกต้องได้ ดังนั้นตอนนี้นางจึงใช้กลยุทธ์นี้ได้อย่างใจสั่ง นอกจากนี้ยังทำให้ผู้อื่นไม่สามารถจับพิรุธได้อีกด้วย

“เจ้าๆๆ……”

ผู้อาวุโสรองพูด’เจ้า’อยู่นานสองนาน สุดท้ายก็ไร้คำจะกล่าวต่อ

หลานเยาเยาวางอุปกรณ์ในการศึกษาคนโดนมนต์ดำในมือลง แล้วพูดอย่างเอือมระอา

“ข้าจะทำไมเล่า? การศึกษาคนโดนมนต์ดำจนลืมวันลืมคืนก็มีความผิดด้วยหรือ? หากจะให้กล่าวอีกข้าเป็นแขกของพวกท่าน ทั้งข้ายังเป็นหมออัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงอีกด้วย พวกท่านไม่สามารถนำเรื่องใดๆทั้งสิ้นมาใส่ร้ายให้เท็จกับหมออัจฉริยะอย่างข้า ! ข้าไม่อยากที่จะเสียชื่อเสียงหมออัจฉริยะของข้า”

” เจ้าเป็นคนช่างพูด ข้าคงจะดวลวาทะกับเจ้าไม่ไหว แต่ว่าเรื่องที่ผู้อาวุโสใหญ่หายตัวไปคงจะเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าเป็นแน่ ”

เมื่อเห็นหลานเยาเยานิ่งสงบ ขนาดสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงก็จับพิรุธใดๆไม่ได้

น้ำเสียงนั้นของผู้อาวุโสรองดูเกลียดชังจนอยากเข้าไปจัดการหลานเยาเยาสักครั้ง เพื่อระบายความเกลียดชังที่อยู่ในใจ

ได้ยินเช่นนั้น !

หลานเยาเยาก็ทำทีประหลาดใจ

” ผู้อาวุโสหายตัวไปงั้นรึ? เกิดขึ้นเมื่อไหร่กัน? ”

” เจ้าไม่ทราบงั้นรึ? เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าไม่ทราบเช่นนั้นหรือ? ”

น้ำเสียงของผู้อาวุโสรองราวกับกำลังกัดฟันพูด เขากำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ก่อนจะยกขึ้นไปยังพุ่งฝั่งหลานเยาเยา

เมื่อเห็นเช่นนั้น!

หลานเยาเยาจ้องไปอย่างไม่กระพริบตา นางยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่หลบหนีไปไหน ด้วยความรู้สึกที่แสดงว่าตนนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์

สุดท้ายหมัดของผู้อาวุโสรองก็ไปไม่ถึงนาง เพราะเขาถูกผู้อาวุโสสามที่นิ่งเงียบอยู่ข้างห้ามเอาไว้ก่อน

คราวนี้ผู้อาวุโสรองก็เริ่มร้อนรนเสียแล้ว

” ท่านจะห้ามข้าทำไม? ให้ข้าสั่งสอนเขาเสียหน่อย มีหรือที่เขาจะไม่พูดอะไรออกมา? ”

” ผู้อาวุโสรอง ความใจร้อนของท่านเมื่อใดจะเปลี่ยนกัน? ไร้ซึ่งหลักฐาน จะลงมือก่อนได้อย่างไร ?

” ท่าน ท่านช่วยพูดให้เขางั้นหรือ? ”

ความโกรธที่มีอยู่แล้วของผู้อาวุโสรอง ตอนนี้ความโกรธก็ยิ่งเดือดหนักขึ้นไปอีก แต่แล้วเขาก็กลับถูกผู้อาวุโสสามกล่าวตำหนิอย่างหนัก

“พอเถอะ ท่านไปอยู่ข้างๆสงบอารมณ์เสียก่อน”

ถึงแม้ผู้อาวุโสรองจะรู้สึกไม่พอใจ แต่เขาก็รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้อาวุโสสามมีความสามารถในการเจรจามากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นผู้อาวุโสสามในยามลงมือนั้นรุนแรงกว่าเขาเสียอีกด้วย

ดังนั้น ! จึงทำได้เพียงอยู่นิ่งๆไม่กล่าวสิ่งใด

จากนั้น ผู้อาวุโสสามก็หันหน้ามาสบตากับหลานเยาเยา ด้วยสีหน้าที่รู้สึกขอโทษ

” ท่านหมออัจฉริยะอย่าได้เคืองไป ผู้อาวุโสรองเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียว แต่นี่คงจะโทษเขาไม่ได้ เพราะอยู่ๆผู้อาวุโสใหญ่ก็หายตัวไป เขาเพียงเกิดความกังวลมากเกินไป ”

สักครู่นี้ที่เขายืนนิ่งอยู่ข้างๆโดยไม่กล่าวสิ่งใด ก็เพียงเพื่อดูการตอบโต้ของนาง แต่คาดว่าเขาคงจับพิรุธใดๆไม่ได้ ดังนั้นจึงได้ออกมือห้าม

หึ!

คนประเภทนี้เป็นผู้ที่ไม่น่าไว้ใจมากที่สุด

ยากแก่การรับมือมากกว่าคนที่พูดจาตรงไปตรงมาอย่างผู้อาวุโสรองเป็นหลายเท่า

” ไม่เป็นไร แม้การหายตัวไปของผู้อาวุโสใหญ่จะไม่เกี่ยวข้องกับพวกข้า แต่ยังไงเสียพวกข้าก็เป็นคนนอก พวกท่านจะสงสัยก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา เอาเช่นนี้เถอะ! พวกท่านทำการค้นหาได้เลย ถ้าหากหาเจอผู้อาวุโสใหญ่อยู่ในห้องของข้า เช่นนั้นข้าก็พร้อมจะให้พวกท่านลงโทษ แต่หากหาไม่เจอ ข้าต้องการให้ผู้อาวุโสรองกล่าวขอโทษข้า เช่นนี้เป็นเยี่ยงไร ? ”

หมอให้ความสำคัญอย่างมากกับชื่อเสียง หากตกเป็นผู้ต้องสงสัยชื่อเสียงของพวกเขาก็จะเสื่อมเสียไปด้วย ดังนั้นคำขอของนางก็คงไม่ได้มากเกินไป

ถึงแม้ผู้อาวุโสรองจะคัดค้าน แต่หลังจากที่ถูกผู้อาวุโสสามเหลือบตาใส่ เขาก็นิ่งเงียบ

จากนั้นก็การค้นหาก็เกิดขึ้น ทุกซอกทุกมุมในห้องล้วนถูกค้นหาจนหมด แม้แต่พื้นที่ระยะสิบเมตรด้านนอกห้องก็ถูกค้นหา แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้อาวุโสใหญ่เลย ส่วนหานแสและเย่แจ๋หยิงที่พักอยู่ในห้องอื่น ก็ถูกพวกเขาเข้าไปตรวจค้นจนทั้งสองต้องมารวมตัวอยู่ในห้องของหลานเยาเยา

หลังจากที่หาไม่เจอคน ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามก็เดินตามกันเข้ามาในห้อง โดยที่สีหน้าของผู้อาวุโสรองนั้นดูไม่ดีราวกับไปกินแมลงมาเป็นพันๆตัว

หลังจากที่ถูกผู้อาวุโสสามใช้ข้อศอกสะกิดเตือน เขาถึงได้ระงับอารมณ์โกรธพลางกล่าวขอโทษ

“ขออภัยด้วยที่ข้าเข้าใจท่านชายผิดไป”

“ไม่เป็นไร ผ่านเรื่องนี้แล้วหวังว่าผู้อาวุโสรองจะเข้าใจ ว่าจะจับคนจะต้องมีหลักฐานเสียก่อน ” น้ำเสียงที่เรียบเฉยและสีหน้าที่นิ่งสงบของหลานเยาเยาทำให้ความโกรธของผู้อาวุโสรองแทบจะกระอักอยู่ในใจ

ผู้อาวุโสสามที่เห็นเช่นนั้น ก็รีบพูดแทนผู้อาวุโสรองอยู่หลายประโยค พลางดึงผู้อาวุโสรองเพื่อที่จะออกไป แต่เหมือนกับจะคิดบางอย่างได้ เขาจึงหยุดเท้าแล้วหันหลังกลับมา

จากนั้นจึงหยิบกระดาษสีเหลืองออกมาแล้วส่งให้กับหลานเยาเยา