บทที่ 237 เหิมเกริมยิ่งนัก

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 237 เหิมเกริมยิ่งนัก
บทที่ 237 เหิมเกริมยิ่งนัก

เมื่อเขาลังเลและไม่รู้ว่าจะอุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขนอย่างไร ฉินปู้เข่อก็เดินออกมาจากห้องชั้นในด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“หม่อมฉันจะสอนวิธีอุ้มให้” นางเดินไปที่ตะกร้าใบเล็กอย่างแช่มช้า แล้วอุ้มลูกโดยเอามือข้างหนึ่งช้อนใต้ก้นเล็ก ๆ ของเขา และอีกมือหนึ่งจับที่ด้านหลังคอของเขา

หมี่โม่หรู่รีบวางตะกร้าเปล่าในอ้อมแขนของเขาไว้ด้านข้าง แล้วรับเด็กน้อยด้วยท่าอุ้มนั้น เด็กน้อยมองพ่อแม่ใหม่ทั้งสองอย่างเงียบ ๆ และกลอกตาเล็ก ๆ ด้วยความสงสัย

“เหตุใดตัวเบาจัง เขาคงยังตัวเล็กเกินไป” มือใหญ่ของหมี่โม่หรู่จับใต้ก้นเล็ก ๆ ของเขาและเกือบจะพยุงทั้งตัวของเด็กน้อยไว้ได้เกือบทั้งตัว ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงเกร็งแขนและไม่กล้าขยับ

“ตอนที่เขาเพิ่งเกิดตัวเล็กกว่านี้อีกเพคะ ตอนนี้ใกล้จะหนึ่งเดือนเต็มแล้ว หม่อมฉันได้ยินจากแม่นมว่าเดือนนี้น้ำหนักของเขาขึ้นมาสองจินแล้วเพคะ” ฉินปู้เข่อแหย่หน้าลูกแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านดูหน้าจ้ำม่ำนี่สิ”

เมื่อมีลูกน้อยตัวนุ่มอยู่ในมือ หัวใจของหมี่โม่หรู่ก็ปลื้มปริ่มยิ่งนัก เขาลืมความคิดเดิมที่ว่า ‘การไม่มีลูกก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่’ ไปหมดแล้ว เขาแค่อยากจะอุ้มเจ้าตัวเล็กคนนี้ไว้ในอ้อมแขนของเขาเท่านั้น

เมื่อเขาเริ่มเป็นธรรมชาติขึ้นเล็กน้อยก็กล้าที่จะเดินไปรอบ ๆ ห้องโดยมีลูกอยู่ในอ้อมแขนของเขา ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงหมี่อี้เหิงขึ้นมาได้

“เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

ฉินปู้เข่อเท้าเอวพลางตอบด้วยสีหน้าค่อนข้างเจ้าเล่ห์ “หลับไปแล้วเพคะ ฮ่า ๆ”

“เจ้าไม่กลัวเขาคิดบัญชีย้อนหลังหรือ?” หมี่โม่หรู่เห็นว่านางถือตะกร้าใบเล็กมา เพราะหมี่อี้เหิงไม่ยอมให้เขาเจอลูก

ฉินปู้เข่อโอบไหล่ของเขาแล้วลูบเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงแผ่ว “ใครจะสน ท่านไม่ต้องการอยู่กับเราสองแม่ลูกเพียงลำพังหรือเพคะ”

“ทำไมจะไม่อยากล่ะ! ข้าต้องการพาเจ้ากลับไปตลอดเวลา” เขามองดูลูกที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนโยน “และข้าก็ต้องการพาเขากลับไปด้วยเช่นกัน”

“อีกไม่นานเพคะ” ฉินปู้เข่อหอมแก้มของเขา “อย่างน้อยตอนนี้พวกเราสามคนก็ปลอดภัยและสามารถแอบมาเจอกันได้ ซึ่งถือว่าดีทีเดียว”

ขณะที่ห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“นายท่าน ข้าได้ยินมาว่าท่านไม่สบาย โปรดให้ข้าเข้าไปดูเถิด”

ฉินปู้เข่อจงใจให้เฟิงเหรินเยี่ยมาที่นี่ด้วย เมื่อนางรู้เรื่องของเฟิงเหรินเยี่ยก็อ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่ไก่เข้าปากได้ทั้งฟอง หลังจากที่ซือต๋าตามหาพ่อของเขามานานกว่าสิบปี ในวันนี้นางเพิ่งบังเอิญได้พบกับคนที่ควรจะพบ

หมี่โม่หรู่อุ้มลูกส่งกลับเข้าไปในอ้อมแขนของฉินปู้เข่อ และเปิดประตูห้องจากด้านใน

ขณะที่เฟิงเหรินเยี่ยมองมาที่ประตูและเห็นหมี่โม่หรู่ เขาก็ตกใจมากจนสามารถเอาไข่ไก่ยัดเข้าปากได้ทั้งฟอง

หมี่โม่หรู่พูดนำ “ท่านลุงซือเข้ามาก่อนสิ”

“ข้าน้อยเฟิงเหรินเยี่ย เกรงว่านายน้อย…”

“ไม่สำคัญว่าแซ่ของท่านจะเป็นเฟิงหรือซือ มาคุยกันก่อนเถิด” ฉินปู้เข่อรู้สึกไม่ชอบเมื่อเจอคนหัวแข็งที่ปฏิเสธหัวชนฝา จนถึงตอนนี้หมี่อี้เหิงไม่ได้ปฏิเสธแล้ว แต่เขายังคงปฏิเสธอยู่อีก

เฟิงเหรินเยี่ยได้สติจากอาการตกใจและนึกถึงภารกิจของตนขึ้นมาได้ “เกิดอะไรขึ้นกับนายท่าน ข้าจะไปตรวจดู”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ท่านแค่สำลักและไอ ตอนนี้ท่านเหนื่อยและพักผ่อนไปแล้ว”

เมื่อเฟิงเหรินเยี่ยได้ยินคำอธิบายของฉินปู้เข่อก็วิตกกังวล เขาจึงรีบเข้าไปตรวจชีพจรด้วยตนเอง หลังจากที่เขาออกมาแล้วฉินปู้เข่อก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่”

“ชีพจรเป็นปกติ ดูเหมือนว่าท่านจะเหนื่อยจริง ๆ” เฟิงเหรินเยี่ยรู้สึกแปลกใจมาก เป็นไปได้อย่างไรที่นายท่านจะพบปะกับนายน้อย แล้วสามีภรรยาหนุ่มสาวยังคงคุยกันอยู่ที่นี่ แต่นายท่านกลับเข้าไปหลับด้านใน

เกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ท่านเฟิง นี่คือจดหมายของท่าน โปรดรับเอาไว้ด้วย” หมี่โม่หรู่หยิบจดหมายออกมาแล้วยื่นให้

เนื่องจากเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าเขาเป็นคนแซ่ซือ ดังนั้นหากจะเรียกเขาว่าท่านเฟิงก็ไม่สำคัญหรอก

เฟิงเหรินเยี่ยจับกล่องยาในมือแน่นขณะจ้องไปที่จดหมายแล้วพูดว่า “ใครเป็นคนเขียนสิ่งนี้ ข้าเกรงว่าข้าจะไม่อาจรับมันไว้ได้…”

ฉินปู้เข่อแทบจะกระอักเลือดออกมา นางหยิบจดหมายแล้วยัดมันเข้าไปในเสื้อของเฟิงเหรินเยี่ย “ข้าขอถามหน่อยเถิดว่าท่านเฟิงคิดถึงตัวเองในขณะที่กำลังรักษาคนอื่นตามหน้าที่หมอบ้างหรือไม่? ท่านดูสิ วันนี้โม่หรู่มาที่นี่และท่านจะได้ติดต่อกับซือต๋าอย่างแน่นอน”

เฟิงเหรินเยี่ยหยิบจดหมายออกมาถือไว้ในมือแล้วพูดอย่างลังเลว่า “ก็ใช่ แต่ว่า…”

“ท่านเฟิงมีปัญหาอะไรหรือ ท่านเป็นคนที่ทรงคุณค่ายิ่งนัก หากท่านพ่อสามีไม่มีอะไรผิดปกติร้ายแรงที่นี่ เราก็จะไม่รั้งท่านไว้แล้ว” เมื่อพูดจบนางก็ชี้ให้หมี่โม่หรู่เปิดประตู และผลักเฟิงเหรินเยี่ยที่ยังคงสับสนอยู่ออกไป

เฟิงเหรินเยี่ยเริ่มรู้สึกใจหวิวตั้งแต่เขารับจดหมายมา เขาคิดว่าในจดหมายนี้ซือต๋าคงจะด่าพ่อที่ขาดความรับผิดชอบเช่นเขาอย่างแน่นอน และเขาคิดว่าการกระทำของนายท่านในวันนี้ค่อนข้างกะทันหัน แต่เนื่องจากนายน้อยมาปรากฏตัวที่ตำหนัก เขาจึงทำอะไรมากไม่ได้นอกจากรับจดหมายมา

เมื่อถึงเวลาที่เขาพยายามจะฟื้นคืนสติตัวเองได้ เขาก็เกือบจะออกไปจากตำหนักแล้ว

ในห้องนั้นหมี่โม่หรู่นำลูกกลับมาหยอกล้ออีกครั้ง ดวงตาที่อ่อนโยนมีน้ำตาเอ่อคลอ แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าลูกน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาจะเข้าใจหรือไม่ แต่เขาก็ยังคงพูดไปเรื่อยและเล่าสิ่งที่เขาเห็นให้ลูกฟัง

ฉินปู้เข่อเอนตัวอยู่บนเก้าอี้และหมั่นไส้เล็กน้อย “หม่อมฉันไม่เคยเห็นท่านพูดมากถึงเพียงนี้มาก่อนเลย”

“จะมากกว่านี้อีกในอนาคต” หมี่โม่หรู่ไม่ละสายตาจากลูก “ข้าคิดว่าข้าเป็นพ่อมานานกว่ายี่สิบวันแล้ว และตอนนี้ข้าแค่อยากจะชดเชยให้เร็วที่สุด”

“แล้วเหตุใดท่านไม่บอกว่าท่านไม่ได้เป็นสามีมานานกว่ายี่สิบวันแล้วบ้างล่ะเพคะ”

สัญญาณนั้นชัดเจนมากจนในที่สุดหมี่โม่หรู่ก็เต็มใจที่จะละสายตาจากลูก แล้วนั่งลงข้างฉินปู้เข่อก่อนจะพูดว่า “สองหน้าที่นี้แตกต่างกัน ในฐานะพ่อข้าไม่จำเป็นต้องค้างคืน แต่ในฐานะสามีต้องรอเวลากลางคืน ดังนั้นดูเหมือนว่าข้าจะต้องชดเชยให้เจ้าเป็นเวลายี่สิบวันติด”

“แง~ แง ~แง~” เด็กน้อยในอ้อมแขนของเขาส่งเสียงร้องไห้เหมือนลูกแมว ฉินปู้เข่อจึงเอื้อมมือไปแตะผ้าอ้อมและพบว่ายังแห้งอยู่

“เกรงว่าเขาจะหิวแล้ว หม่อมฉันพาลูกกลับไปก่อนนะเพคะ” ฉินปู้เข่ออุ้มลูกใส่ลงในตะกร้าใบเล็กแล้วกระซิบข้างหูของหมี่โม่หรู่ว่า “คืนนี้ท่านจะมาหรือไม่”

“ผู้หญิงของข้าชวนข้างัดหน้าต่างหรือ? เช่นนั้นก็ย่อมได้”

“คนบ้า~” ฉินปู้เข่อชม้ายตามองเขาแล้วหยิบตะกร้าใบเล็ก “ไปเถิดเพคะ”

เมื่ออีฮ่วยที่อยู่หน้าประตูเห็นนางออกมาก็ทำความเคารพแล้วเดินตาม

หมี่โม่หรู่อยู่ในห้องต่ออีกเพียงชั่วหนึ่งก้านธูปแล้วผลักเปิดประตูเดินออกไป เมื่อเอ้อร์ฮ่วยเห็นเขาออกมาก็รีบก้าวเข้ามาเพื่อนำทางไปส่งเขาออกจากตำหนัก

หลังจากที่ฉินปู้เข่อส่งลูกให้แม่นมแล้ว นางก็รีบกลับไปที่ห้องของหมี่อี้เหิง ก่อนจะคุกเข่าอย่างสุภาพอยู่ในห้องโถงใหญ่รอให้เขาฟื้น

ประมาณหนึ่งเค่อเศษต่อมา จู่ ๆ หมี่อี้เหิงก็ลืมตาและผุดลุกขึ้นนั่ง ทันทีที่เขานั่งเขาก็คำรามทันที “ฉินปู้เข่อ! พานางมานี่ รีบ…”

“ท่านพ่อสามี หม่อมฉันยังไม่ได้ออกจากห้องเลยเพคะ” ฉินปู้เข่อปรับท่าทางของตนเพื่อให้คุกเข่าได้ง่ายขึ้น

หมี่อี้เหิงเดินออกจากห้องชั้นในมาไม่กี่ก้าวและกำลังจะโกรธ แต่เมื่อเห็นนางคุกเข่าลงที่จุดนั้นอย่างสุภาพเรียบร้อยและดูน่าสงสาร เขาก็ไม่อาจปลดปล่อยความโกรธในใจออกมาได้

“เจ้าช่างเหิมเกริมยิ่งนัก เจ้ากล้าวางยาข้าที่นี่!”

ฉินปู้เข่อแสดงท่าทียำเกรง “เมื่อวานหม่อมฉันใช้ความกล้าหมดไปแล้ว และสิ่งนี้ก็ไม่อันตรายถึงชีวิตหรอกเพคะ”

………………………………………………………………………….