คุณหนูห้าเจี่ยพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นถึงเล่าเรื่องของตัวเองอย่างละเอียดอีกครั้ง “…ท่านย่าของข้าคุยกับนายหญิงสามหยางผู้นั้น ข้าจึงรู้ว่าหากไม่หาวิธีผลักเรื่องนี้ออกไป ต่อให้ครั้งนี้ล้มเหลวก็ต้องมีครั้งหน้าอีกแน่ ไม่มีครอบครัวนี้ก็ยังมีครอบครัวนั้นอีก ตอนนั้นข้าโมโหจนเลอะเลือน เดินไปถึงเรือนชั้นนอกโดยไม่รู้ตัว…บังเอิญเจอคุณชายซ่งกำลังสั่งสอนคนอยู่ ให้คนอย่าวิ่งพล่านไปทั่ว ในงานเช่นนี้อย่าพูดถึงเรื่องทำตัวโดดเด่นเลย ขอเพียงไม่เกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็ดีแล้ว ข้ารู้สึกว่าเขาผู้นี้ไม่เลวเลย จึงลองคุยกับเขาดู ถามเขาว่ายินดีช่วยเหลือข้าหรือไม่”
กล่าวถึงตรงนี้ นางหน้าแดงไปถึงหู เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นเรื่องหาได้ธรรมดาสามัญอย่างที่นางพูด
นางกล่าวอย่างขัดเขินว่า “ถึงได้มีเรื่องเกิดขึ้นตามมา! ข้ามิได้ออกอุบายลวงเขา และเขาก็ไม่ได้ออกอุบายลวงข้า จะว่าไปแล้ว เป็นเขาที่ช่วยข้าเอาไว้”
หวังซีกับจินซื่อต่างมองหน้ากัน
คุณหนูห้าเจี่ยซาบซึ้งในบุญคุณที่พวกนางช่วยชีวิตเอาไว้ จึงวางใจพวกนาง ก็เลยรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่บอกพวกนางไม่ได้ จึงระงับความขัดเขินไว้กล่าวขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าการจับคู่ที่ผิดพลาดกลับกลายเป็นการแต่งงานที่ดีไปได้” จากนั้นกล่าวอีกว่า “แม้นตระกูลซ่งจะสามัญ ไม่มีคนเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อะไรนัก แต่คนตระกูลซ่งก็ซื่อตรง ไม่มีความทะยานอยากมากมายอะไร ทว่าครอบครัวมีชีวิตที่เป็นสุขดียิ่ง ข้าเองเป็นคนที่เคยคลุกคลีอยู่ในแวดวงคนชั้นสูงมาก่อน รู้ว่าชีวิตเช่นนั้นเป็นอย่างไร ผู้อื่นอาจอิจฉา แต่ข้ากลับรู้สึกเกร็ง มิสู้แต่งเข้าตระกูลซ่ง เป็นมนุษย์เดินดิน มีความมั่นใจ ทำอะไรก็สบายใจกว่า”
นี่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกของแต่ละคนแล้ว
อย่างไรก็ตาม ก็อย่างที่คุณหนูห้าเจี่ยกล่าวมา ผู้อื่นรู้สึกว่าเป็นชีวิตที่ขมขื่น แต่นางกลับยินดีกับความทุกข์ยากนั้น นั่นก็ถือเป็นชีวิตที่ดีแล้ว
จินซื่อแต่งเข้าบ้านที่สูงส่งกว่า จึงเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้มากกว่า นางจับมือคุณหนูห้าเจี่ยเอาไว้อย่างอดไม่อยู่ กล่าวอย่างอิ่มเอมใจว่า “เจ้าคิดเช่นนี้ได้ก็ดีแล้ว ต่อให้อนาคตมีอะไรที่ไม่เป็นดั่งใจหวัง ก็ต้องจำเอาไว้ว่าเจ้าเป็นคนเลือกชีวิตนี้เอง เจ้าต้องหาทางทำให้มันดียิ่งขึ้นไปให้ได้ อีกอย่าง ในบ้านมีญาติพี่น้องมากมายขนาดนี้ ยังกลัวไม่มีคนช่วยเหลืออีกหรือ สุดท้ายนับว่าดีกว่าชีวิตผู้อื่นมากมายแล้ว นอกจากนี้บุตรเขยก็หน้าตาหล่อเหลา เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีก”
คุณหนูห้าเจี่ยยิ่งหน้าแดงเถือกมากขึ้น พยักหน้าหงึกๆ เป็นแขกอยู่ที่ตระกูลหวังกว่าครึ่งค่อนวันถึงได้เดินทางกลับบ้าน ต่อมาก็ไปมาหาสู่กันเสมอจนกลายเป็นสหายสนิทของจินซื่อ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง
หวังซีกับจินซื่อส่งคุณหนูห้าเจี่ยกลับไปแล้ว นับวันอากาศก็ค่อยๆ ร้อนแผดเผาขึ้นทุกวัน เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์เนื้อบางเสร็จก็ต้องเริ่มเตรียมเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ร่วงแล้ว จินซื่อคิดว่าหากสิ้นปีนี้หวังซียังไม่ได้แต่ง อย่างไรฤดูไม้ผลิของปีหน้าก็ต้องได้ออกเรือนอย่างแน่นอน นอกจากช่วยเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับให้หวังซีแล้ว ยังต้องช่วยเตรียมให้ว่าที่น้องเขยด้วย ไม่อย่างนั้นพอใกล้วันแต่ง วุ่นเรื่องนี้เสร็จก็มีเรื่องนั้นมาจ่อ ไหนเลยจะมีเวลาว่างมาเตรียมเรื่องพวกนี้อีก
นางจึงจ้างอาจารย์จากห้องเสื้อเมฆาคำนึงมาช่วยเตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่บ้าน
คุณหนูหกปั๋วได้ยินข่าวแล้วก็ตั้งใจมาเยี่ยมดูเป็นพิเศษ ยังนำข่าวมาบอกหวังซีด้วย บอกว่าปั๋วหมิงเย่ว์เองก็หมั้นหมายเรียบร้อยแล้ว หมั้นหมายกับคุณหนูจากครอบครัวรองเจ้ากรมพิธีการท่านหนึ่ง บ้านเดิมอยู่จินหวา หน้าตาโดดเด่นเป็นที่สุด แค่เห็นฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขาก็ชื่นชอบเป็นอย่างยิ่งแล้ว ปั๋วหมิงเย่ว์เห็นแล้วก็รู้สึกดีเช่นกัน แลกอักษรแปดชะตากันแล้ว กำลังเตรียมวางของหมั้น
ตระกูลปั๋วกำลังอยู่ในช่วงวุ่นวาย ทำการหมั้นหมายในเวลานี้ เกรงว่าคงเกี่ยวพันกับเรื่องในราชสำนัก
หวังซีขบคิดอยู่ในใจ เมื่อเจอเฉินลั่วจึงอดไม่ได้ที่ถามสักสองสามประโยค
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าลองคิดดูว่ากรมพิธีการดูแลเรื่องอะไร ก็จะรู้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงต้องไปสู่ขอคุณหนูของรองเจ้ากรมพิธีการกลับมา อย่างไรก็ตามข้าได้ยินมาว่าคุณหนูท่านนี้ได้ชื่อว่ามีพรสวรรค์ไม่น้อย จับคู่กับปั๋วหมิงเย่ว์ก็น่าจะเหมาะสมกันดี”
กรมพิธีการดูแลเรื่องพิธีการและการศึกษาต่างๆ เรื่องชายาเอกอนุชายาเหล่านี้ มักจะให้พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย
ที่ตำแหน่ง ‘โอรสองค์โตจากชายาเอก’ ขององค์ชายรองถูกครหา โดยมากเป็นเพราะมารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายใหญ่เป็นชายาร่วมผูกผมคนแรกของฮ่องเต้ หากคิดจะหาข้อแก้ต่าง ก็ต้องสืบค้นจากพิธีการโบราณ ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในความดูแลของกรมพิธีการ
หวังซีเห็นว่าเรื่องราวเป็นอย่างที่ตนคาดเอาไว้ จึงโยนมันทิ้งไปด้านหลัง ถามเฉินลั่วว่า “หมี่เย็นนี้รสชาติเป็นอย่างไร ข้าไม่ได้ใช้น้ำส้มสายชูเก่าแก่ของซานซี แต่ใช้น้ำส้มสายชูหมักจากข้าวของร้านเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ซูโจวแทน ถูกปากเจ้าหรือไม่”
เฉินลั่วกล่าว “ข้าก็ว่าหมี่เย็นของวันนี้อร่อยและสดชื่นกว่าปกติ น้ำส้มสายชูหมักจากข้าวนี้รสชาติดีกว่าน้ำส้มสายชูเก่าแก่ของซานซี”
“นั่นเป็นเพราะเจ้ากินจืด” หวังซีกล่าวยิ้มๆ “พี่ใหญ่ของข้าชอบน้ำส้มสายชูเก่าแก่ของซานซีมากกว่า”
แต่หลังจากที่เขากล่าวเช่นนี้ นางก็รู้แล้วว่าควรจะเปลี่ยนตำราอาหารของที่บ้านอย่างไร
ทั้งสองคนผลัดกันเจ้าพูดประโยคหนึ่งข้าพูดประโยคหนึ่งคุยเรื่องทั่วไปกว่าครึ่งค่อนวัน ยังหารือเรื่องงานหมั้นของปั๋วหมิงเย่ว์ด้วยว่าเฉินลั่วควรส่งอะไรไปเป็นของขวัญแสดงความยินดีบ้าง และเมื่อเห็นว่าหวังซีไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่นิดเดียว จิตใจสงบ แสดงความยินดีกับการหมั้นหมายของปั๋วหมิงเย่ว์อย่างจริงใจ ไม่คิดเรื่องเหตุใดตนถึงเค้นสมองหาทางส่งข้อมูลไปให้จวนชิ่งอวิ๋นป๋ออย่างลับๆ เลยแม้แต่น้อยแล้ว เฉินลั่วก็ตัดสินใจว่าจะเพิ่มของให้ปั๋วหมิงเย่ว์จากธรรมเนียมปฏิบัติอีกเล็กน้อย ให้ปั๋วหมิงเย่ว์แต่งงานโดยเร็วถึงจะดี
ไม่นานตระกูลปั๋วก็ไปวางของหมั้นที่บ้านฝ่ายหญิง ส่วนหวังซีกลับได้รับข่าวดีเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือท่านปู่ท่านย่าและท่านพ่อท่านแม่ของนางร่วมทางมาด้วยกัน ออกเดินทางจากสู่จงมุ่งหน้ามาที่จิงเฉิงเรียบร้อย กลางเดือนเก้าก็มาถึงแล้ว
คนตระกูลหวังต่างดีใจเป็นอย่างมาก หวังซียิ่งแล้วใหญ่เก็บกวาดห้องหับต่างๆ ในบ้านกับจินซื่อไปตลอดทั้งหน้าร้อน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของตระกูลปั๋วเลย แม้แต่งานหมั้นของคุณชายห้าฉังกับคุณชายหกฉังที่จวนหย่งเฉิงโหว นางยังส่งไปแค่ของขวัญแต่ตัวคนไม่ได้ไปร่วมด้วย แต่หลังผ่านพ้นวันที่หกเดือนหกไปแล้ว จู่ๆ ก็ได้ข่าวว่าซือจูป่วยเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ทำให้หวังซีตกตะลึงไปกว่าครึ่งวัน รู้สึกเศร้าอย่างประหลาด จึงไปหาฉังเคอเพื่อสอบถามว่านางจะไปจุดธูปที่จวนเจิ้นกั๋วกงหรือไม่ ถึงเวลาช่วยจุดธูปให้ซือจูแทนนางด้วย
ผู้ใดจะรู้ว่าฉังเคอกลับตั้งครรภ์แล้ว ไม่มีความคิดจะไปจวนเจิ้นกั๋วกง
หวังซีดีใจเป็นล้นพ้น มองหน้าท้องที่ยังมองไม่ออกว่าตั้งครรภ์ของฉังเคอไม่หยุด ยังกล่าวด้วยว่า “ข้าได้ยินคนพูดกันว่าต้องสามถึงสี่เดือนถึงจะมองออกว่าตั้งครรภ์ เจ้าบอกข้าตอนนี้จะไม่เป็นอะไรหรือ”
“เจ้าหาใช่คนอื่นไกล” ฉังเคอเพิ่งจะตรวจพบว่าตั้งท้องลูก ยังไม่ได้ไปแจ้งข่าวที่จวนหย่งเฉิงโหวเลยด้วยซ้ำ หวังซีก็มาเยี่ยมนางที่บ้านเสียก่อน นางเม้มปากอมยิ้ม “เห็นได้ชัดว่าเจ้ามาได้ถูกจังหวะพอดี”
หวังซีพยักหน้าหงึก รีบถามนางว่า “เจ้ารู้สึกไม่สบายอะไรหรือเปล่า มีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษหรือไม่ ข้ากลับไปจะให้คนทำให้เจ้า จะคลอดประมาณเดือนอะไร ตอนนี้ที่บ้านเชิญช่างเย็บปักมาทำเสื้อผ้าพอดี ข้าจะถือโอกาสให้พวกนางช่วยเตรียมของบางส่วนให้เจ้าด้วย เจ้าอยากได้ผ้าอ้อมหรืออยากได้เสื้อคลุมกับเสื้อบุนุ่น? ถึงฤดูหนาว เจ้าก็คงใกล้คลอดแล้วกระมัง”
“ต้องรอถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า” ฉังเคอลูบหน้าท้อง สีหน้าดูอบอุ่นเต็มไปด้วยความหวัง กล่าวยิ้มๆ ว่า “อย่างอื่นไม่ต้องหรอก เจ้าทำผ้าอ้อมให้ข้าสักสองสามผืนดีกว่า”
เพื่อสร้างความหวังแก่ผู้อาวุโสแล้ว มักจะปักลายร้อยลูกพันหลานลงบนผ้าห่มผืนเล็กที่ใช้ห่อตัวทารก เด็กหนึ่งร้อยคนที่แตกต่างกันนั้น มิใช่อะไรที่ปักได้ง่ายๆ เลย
หวังซีรีบรับปากทันที
ฉังเคอจึงคุยเรื่องซือจูกันนาง กล่าวว่า “เรื่องนางดูไม่ปกตินัก มารดาข้าส่งข่าวมาบอกข้าว่าหากไม่มีธุระให้ข้าอย่าเพิ่งกลับจวนหย่งเฉิงโหว หากมีเรื่องอะไร นางจะให้ป้ารับใช้มาบอกข้าเอง เจ้าเองก็อย่าไปสอบถาม ทำเสมือนไม่รู้เรื่องดีกว่า ถ้าจวนหย่งเฉิงโหวไปแจ้งข่าวเสียชีวิตแก่เจ้า เจ้าหาข้ออ้างหนึ่งบอกปัดไปเสีย รั้งอยู่แต่ในบ้านดีกว่า”
หวังซีย่นคิ้ว ถามว่า “เจ้ายังรู้อะไรอีก?”
ฉังเคอคิดแล้วลดเสียงลงต่ำ กล่าวว่า “ข้าได้ยินมาจากมารดาข้า มารดาข้าเองก็มิได้เห็นด้วยตาตัวเอง เจ้าแค่ฟังเอาไว้ก็พอ ว่ากันว่านางเถียงจ่างกงจู่ จ่างกงจู่จึงให้นางไปสงบสติอารมณ์ที่บ้านหลังอื่น นางไม่ยอม พูดวาจาเลื่อนเปื้อน จนไปมีเรื่องปะทะกับเฉินเจวี๋ย ถูกเฉินเจวี๋ยหักหน้า หลังจากกลับไปแล้วคิดไม่ตกก็เลยกินยา”
หวังซีถอนหายใจ
ถ้าซือจูเป็นคนที่ชอบมุดเข้าไปในทางตัน ตอนเกิดเรื่องกับตระกูลซือนางคงมีชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว
เห็นได้ชัดว่าการตายของนางเป็นเรื่องมีเงื่อนงำเรื่องหนึ่ง
แต่ดึงจ่างกงจู่ไปเกี่ยวข้องด้วย นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
นางให้คนไปสืบเรื่องนี้ดูเป็นพิเศษ ยังสอบถามกับชิงกูโดยตรงอีกด้วย
ชิงกูคิดไม่ถึงว่าด้านนอกจะลือกันเช่นนี้ นางไม่พอใจมาก เอาไปรายงานจ่างกงจู่
จ่างกงจู่ยิ้มเย็น รู้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของเจิ้นกั๋วกงแปดถึงเก้าในสิบส่วน เมื่อก่อนนางไม่คิดจะอธิบาย แต่บัดนี้ไม่ยอมให้คนมาสาดน้ำโคลนใส่อีกแล้ว
ไม่นาน ก็มีข่าวลือในเมืองหลวงว่าการตายของซือจูมีความเกี่ยวข้องกับเฉินเจวี๋ย เฉินเจวี๋ยไม่พอใจที่น้องชายแต่งงานกับบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ ตอนที่กลับไปเยี่ยมน้องชายที่บ้านเดิมขณะตั้งครรภ์นั้น นางมีปากเสียงกับซือจู ซือจูพลั้งมือผลักเฉินเจวี๋ยจนเฉินเจวี๋ยเกือบแท้งลูก เนื่องจากครรภ์นี้เป็นครรภ์ที่เฉินเจวี๋ยได้มาอย่างยากเย็นหลังจากแต่งงานมาแล้วหลายปี เฉินเจวี๋ยจึงโกรธมาก ให้หมัวมัวข้างกายตบหน้าซือจูไปหลายครั้ง
สาวใช้ข้างกายซือจูล้วนแล้วแต่เป็นคนของจวนเจิ้นกั๋วกงทั้งสิ้น ไม่มีคนช่วยพูดให้นางได้แม้แต่คนเดียว
ด้วยอารามโมโหนางจึงดื่มยาเข้าไป
ไม่คาดคิดว่าจะใส่ปริมาณยามากเกินไป ข้ารับใช้ข้างกายก็ไม่ดูแลให้ดี กว่าจะสังเกตเห็นก็สายเกินไปแล้ว…
หวังซีได้ยินข่าวนี้ตอนที่นายหญิงสาม นางและจินซื่อมาเยี่ยมฉังเคอหลังจากที่ฉังเคอตั้งครรภ์ครบสามเดือนเต็มและแจ้งข่าวดีแก่บ้านเดิมแล้ว ทุกคนมาเจอกัน จึงไปนั่งดื่มชาที่ห้องโถงรับรองของตระกูลเวิน
จินซื่อตกใจมาก กล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าชื่อเสียงของกูไหน่ไนใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกงท่านนั้นคงจบสิ้นแล้ว”
นางสงสัยว่าจ่างกงจู่เป็นคนปล่อยข่าวนี้ออกมา
นายหญิงสามคิดแล้วรู้สึกเสียดายเล็กน้อย นางไม่ได้สงสัยจ่างกงจู่ แต่กระซิบกล่าวกับจินซื่อว่า “แม่นางเฉินเจวี๋ยผู้นั้นมีนิสัยประหลาดเล็กน้อย เวลาดีๆ ก็กินข้าวถ้วยเดียวกับเจ้าได้จริงๆ แต่ถ้าไม่ดีขึ้นมา ก็กลายเป็นศัตรูที่ไร้เยื่อใยต่อกัน ค่อนข้างทำให้คนหวาดกลัวไม่น้อย อนาคตอาซีแต่งเข้าไปแล้ว อยู่ให้ห่างจากนางไว้เป็นดีที่สุด เกิดไปชนไปปะทะเข้า ไม่คุ้มค่า”
จินซื่อกล่าวขอบคุณซ้ำๆ แต่ในใจกลับขบคิดว่าหลังจากหวังซีแต่งเข้าไปแล้ว ต้องคิดหาวิธีให้หวังซีแยกบ้านให้ได้ ทว่าปากยังคงสนทนาพาทีกับนายหญิงสามต่อว่า “ในบรรดากูไหน่ไนที่ออกเรือนไปแล้วทั้งสามท่าน มีเพียงอาเคอเท่านั้นกระมังที่ตั้งครรภ์ เป็นคนมีวาสนาดีผู้หนึ่งจริงๆ”
นายหญิงสามได้ยินแล้วอดรู้สึกปวดใจไม่ได้ กล่าวว่า “นางเองก็ถือว่าพ้นทุกข์พ้นโศก มีความสุขในบั้นปลายผู้หนึ่งแล้ว”
จากนั้นก็รำลึกถึงความอยุติธรรมที่ฉังเคอเคยได้รับตอนเด็กขึ้นมา
ฉังเคอจำไม่ค่อยได้แล้ว นางมองหวังซีอย่างไร้ทางเลือก
หวังซีได้แต่หัวเราะ
หวังซีกับฉังเคอล้วนไม่ได้ไปร่วมงานศพของซือจู หวังเฉินเป็นตัวแทนของตระกูลหวังไปจุดธูป ส่วนตระกูลเวินเวินเจิงเป็นคนไป เขาได้พบคุณชายหวงสามีของฉังเหยียนที่งานศพด้วย แม้นมิได้กระตือรือร้นแต่ก็ไม่นับว่าเย็นชาต่อกัน เนื่องจากเป็นคนรุ่นเด็ก จึงตั้งศพของซือจูเพียงห้าวันก็ฝังแล้ว คนทำหน้าที่โยนอ่างโบกธงคือหลานชายห่างๆ ท่านหนึ่งของจวนเจิ้นกั๋วกง
หวังซีจึงถามหวังเฉินว่า “เห็นเฉินลั่วหรือไม่เจ้าคะ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
นางเป็นห่วงเฉินลั่วเล็กน้อย หากนับวันกันอย่างจริงจัง เฉินลั่วไม่ได้มากินข้าวกับนางที่นี่มาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว นางส่งจดหมายไป ก็บอกเพียงว่ากำลังยุ่งอยู่ ผ่านช่วงนี้ไปได้ก็ดีเอง ถึงเวลาเขาจะเอาพลับแบนของไหวโหรวมาให้นาง
พลับแบนของไหวโหรวมีชื่อเสียงมากในจิงเฉิง
……………………………………………………..