คำพูดของเจียงซื่อดึงดูดความสนใจจากทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์
เจินซื่อเฉิงถามออกไปด้วยความกระตือรือร้น “แม่นางเจียงจะพิสูจน์อย่างไร”
“ใต้เท้าตามข้าไปที่ริมทะเลสาบจวีสยาได้หรือไม่” เจียงซื่อถาม
เจินซื่อเฉิงพยักหน้า “ได้สิ”
เดิมเขาก็จะไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียดหลังจากซักถามเสร็จเช่นกัน
ฝูงชนเคลื่อนตัวกลับไปที่ริมทะเลสาบจวีสยาอีกครั้ง
เจียงซื่อยื่นมือชี้ออกไป “ใต้เท้าเจินดูนี่สิ พื้นที่ตรงนี้แม้จะมีรอยเท้าปนกันเต็มไปหมด ทว่ามีรอยเท้าอยู่รอยหนึ่งที่ชัดเจนมาก”
เจินซื่อเฉิงมองดูอย่างละเอียด พลางชี้ไปยังรอยเท้าขนาดใหญ่แล้วถามขึ้น “แม่นางเจียงพูดถึงรอยเท้านี้ใช่หรือไม่”
เจียงซื่อพยักหน้า “ใช่ รอยเท้ารอยนี้เป็นของน้องรอง หากใต้เท้าไม่เชื่อ สามารถนำรองเท้าที่น้องรองสวมอยู่ตอนนี้มาเทียบดูได้”
ซูชิงอี้รูปร่างอ้วนท้วม เท้าทั้งสองข้างจึงมีขนาดใหญ่ตามจนน่าตกใจ มีครั้งหนึ่งที่เจียงซื่อมาค้างคืนที่จวนโหว บังเอิญได้ยินสาวรับใช้บ่นว่ารองเท้าของคุณชายรองนั้นทำยาก ก็เลยจำได้ขึ้นใจ
เมื่อครู่มีฝูงชนแห่กันมายังที่เกิดเหตุ เจียงซื่อรู้ดีว่ามันทำให้เรื่องลำบากขึ้น จึงได้แต่แอบหาเบาะแสอยู่เงียบๆ มาโดยตลอด ซึ่งไม่นานก็เจอเข้ากับรอยเท้ารอยนี้
“นำรองเท้าที่คุณชายรองซูเอ้อร์สวมอยู่ออกมาเทียบ” เจินซื่อเฉิงออกคำสั่งกับลูกน้อง
ไม่นานลูกน้องก็ถอดรองเท้าออกมาข้างหนึ่ง หลังจากเปรียบเทียบดูอย่างจริงจังแล้วก็เอ่ยขึ้น “ใต้เท้า รอยเท้านี้เป็นรอยที่เจ้าของรองเท้าทิ้งไว้จริงด้วยขอรับ”
เจียงซื่อก้าวไปข้างหน้าสามสี่ก้าว แล้วยืนนิ่งอยู่ที่ริมทะเลสาบจวีสยา “รอยเท้าสุดท้ายอยู่ตรงนี้ ปลายรองเท้าชี้หันหน้าไปในทะเลสาบ แสดงว่าก่อนที่น้องรองจะตกน้ำได้หันหน้าเข้าทะเลสาบจวีสยา หากน้องรองถูกคนผลักลงไปในน้ำ เช่นนั้นฆาตกรก็ต้องยืนอยู่ข้างหลังเขาแน่นอน ใต้เท้าว่าที่ข้าพูดมีเหตุผลหรือไม่”
เจินซื่อเฉิงพยักหน้า “ที่แม่นางเจียงพูดก็มีเหตุผล เพียงแต่ว่านอกจากรอยเท้าของคุณชายซูนั้นก็มีรอยเท้าคนอื่นเต็มไปหมด หากจะหาตัวฆาตกรจากรอยเท้าพวกนี้คงเป็นไปไม่ได้”
เจินซื่อเฉิงพูดไป พร้อมกับแอบถอนหายใจในใจ
นี่มันคล้ายกับสถานที่เกิดเหตุหลายๆ ที่เลย มันมักจะถูกทำลายเบาะแสสำคัญหลายๆ อย่าง เพียงเพราะคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวพวกนี้ที่นำพาความลำบากอันใหญ่หลวงมาให้ เดิมคดีที่ไขได้ง่ายกลับกลายเป็นยาก แต่ก็ไม่อาจเอ่ยตำหนิเพราะเรื่องพวกนี้ได้
เจียงซื่อจ้องมองรอยเท้าที่เต็มพื้นไปหมด ได้แต่รู้สึกหนักใจ
ท่ามกลางรอยเท้าพวกนี้จะต้องมีรอยหนึ่งที่เป็นของฆาตกรแน่นอน แต่น่าเสียดายที่มีทั้งคนเข้ามาช่วยและมุงดู จึงทำให้ไม่สามารถแยกแยะออกได้ตั้งแต่แรกแล้ว
เจียงซื่อถอนหายใจออกมาเบาๆ “ใต้เท้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้บอกว่าจะใช้สิ่งนี้เป็นตัวหาฆาตกร เพียงแต่อยากให้ทุกคนรู้จุดที่ฆาตกรยืนอยู่ในเวลานั้น หากมีฆาตกรอยู่จริงๆ เขาก็ควรจะยืนอยู่ตรงนี้ ทุกท่านเห็นด้วยกับข้าหรือไม่”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่รู้ตัว
เจียงซื่อจับชายกระโปรงยกขึ้นมา “น้องรองรูปร่างอ้วนท้วม ตกลงไปในน้ำก็ต้องมีละอองน้ำกระเซ็นออกมาแน่นอน เช่นนั้นเสื้อผ้าของฆาตกรก็ต้องเปียกมากแน่ๆ”
“แล้วอย่างไรล่ะ แดดแรงขนาดนี้ เปียกได้ไม่นานก็คงแห้งไปแล้ว” โหยวซื่อโต้กลับ
เจียงซื่อมองไปที่โหยวซื่อ “ตอนที่ข้ากลับไปยังเวทีแสดงงิ้วได้ไม่นาน ผู้ที่เห็นข้าต่างก็พิสูจน์ได้ว่าเสื้อผ้าข้าสะอาดอยู่ อีกอย่าง ป้าสะใภ้ใหญ่ดูไม่ออกหรือว่าชุดข้าเป็นเนื้อผ้าอะไร”
โหยวซื่อจ้องมองดู สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ชุดที่เจียงซื่อสวมอยู่เป็นชุดสีเขียวสดใส ถูดตัดเย็บจากวัสดุราคาสูงชื่อว่า ‘ปี้อิ๋งซา’ เมื่อนำเนื้อผ้าชนิดนี้มาทำชุดใส่ในฤดูร้อน เวลาสวมใส่มันจะเย็นสบาย ไร้เหงื่อ สบายตัวมาก สตรีผู้ร่ำรวยหลายๆ คนต่างชอบสวมใส่ ทว่ากลับมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง หากถูกน้ำหยดใส่ไม่ว่ากี่หยดมันก็จะกลายเป็นรอย คล้ายกับคราบน้ำมัน แต่ที่กระโปรงของเจียงซื่อกลับใสสะอาดหมดจด ไม่มีคราบอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
อย่างที่เจียงซื่อพูด แม้ฆาตกรจะระวังขนาดไหน แต่หากยืนอยู่ข้างซูชิงอี้ก่อนที่จะผลักลงไปในน้ำ ไม่มีทางที่จะไม่ถูกน้ำกระเด็นโดนใส่แน่ นางใช้ชุดกระโปรงสีเขียวพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้อย่างไร้ข้อกังขา
เจียงซื่อไม่ได้มองโหยวซื่อที่สีหน้าย่ำแย่อีกต่อไป นางมองไปที่เจินซื่อเฉิงพลางอมยิ้มออกมาเล็กน้อย “น่าเสียดายที่ข้าน้อยทำได้เพียงแค่แสดงความบริสุทธิ์ของตัวเอง ส่วนเรื่องหาตัวฆาตกรนั้น คงต้องรบกวนใต้เท้าเจินแล้ว”
เป็นการยากมากที่จะปิดบังความชื่นชมในสายตาเจินซื่อเฉิงที่มองเจียงซื่อ “แม่นางเจียงทำได้ดีมาก”
เจียงซื่อย่อเข่าลงเล็กน้อย แล้วถอยไปอยู่ด้านข้าง
เจียงจั้นดึงเจียงซื่อไว้เบาๆ แล้วยกนิ้วโป้งให้นาง
เจียงซื่อยิ้มตอบ แล้วหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็ว
บางทีอาจเป็นเพราะชาติภพที่แล้วซูชิงอี้จากไปด้วยอาการป่วยอย่างรวดเร็ว นางจึงทำใจยอมรับเรื่องนี้ไปแล้ว เช่นนั้นแม้เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้ามันจะหนักหน่วง ทว่ามันกลับไม่รู้สึกจัดการความรู้สึกยากเหมือนกับตอนที่เผชิญหน้ากับการตายของคู่สามีภรรยาหย่งซังปั๋วเลย
“ถ้าเช่นนั้น เป็นไปได้ว่าฆาตกรอาจจะเปลี่ยนชุด?” โหยวซื่อถามโพล่งออกมา
เจินซื่อเฉิงพยักหน้า “มีความเป็นไปได้”
โหยวซื่อกวาดสายตาออกไปช้าๆ สุดท้ายก็หยุดลงที่เอ้อร์ไท่ไท่
ทุกคนหันมองตามโหยวซื่อ สาวรับใช้สองสามคนสีหน้าเปลี่ยนทันที ในขณะเดียวกันพวกนางก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดเอ้อร์ไท่ไท่สวี่ซื่อสวมชุดลายกลีบลูกพลับสีน้ำเงิน จากนั้นก็ลุกออกจากงานไปกลางคัน ทว่าตอนนี้กลับสวมชุดผ้าทอลายดอกไม้สีกานพลูแทน
“เหตุใดน้องสะใภ้ถึงเปลี่ยนชุด” โหยวซื่อเดินไปตรงหน้า จ้องมองสวี่ซื่อด้วยสายตาเคียดแค้น
ก่อนหน้านี้ขณะที่กำลังดูการแสดงงิ้วบนเวทีนางชำเลืองเห็นสวี่ซื่อรีบเดินออกไปกลางคันอย่างไม่ตั้งใจ ในใจเกิดความสงสัยขึ้นมา เพียงแต่ไม่ได้คิดมาก แต่พอมาคิดดูตอนนี้ หากสวี่ซื่อเป็นคนลงมือกับลูกคนรอง เวลามันก็ประจวบเหมาะพอดี
สวี่ซื่อมองโหยวซื่ออย่างเย็นชา “ข้าเปลี่ยนชุดก็ต้องรายงานพี่สะใภ้ด้วยหรือ”
“ปกติเจ้าจะเปลี่ยนกี่ชุดข้าก็ไม่สนใจหรอก ทว่าตอนนี้อี้เอ๋อร์ตายแล้ว เจ้าเปลี่ยนชุดจึงน่าสงสัยไงล่ะ!” โหยวซื่ออารมณ์เดือดขึ้นมา “ใต้เท้าเจิน ก่อนหน้านี้ขณะที่ดูการแสดงงิ้วนางออกไปกลางคัน นับเวลาดูแล้ว มันพอดีกับตอนที่ลูกคนรองของข้าถูกฆาตกรรม นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแน่!”
“ซื่อจื่อฮูหยินใจเย็นๆ ก่อนอย่าเพิ่งรีบร้อนไป” เจินซื่อเฉิงพูดปลอบ
สวี่ซื่อเอ่ยปากพูดน้ำเสียงเรียบเฉย “พี่สะใภ้อย่ามาใส่ร้ายคนอื่นมั่วซั่วนะ ที่ข้าออกไปกลางคันก็เพราะสาวรับใช้มารายงานว่าเป่าเอ๋อร์ตื่นแล้ว ข้ากลับไปป้อนยาให้เป่าเอ๋อร์ ยาเลอะเปื้อนชุดข้า แน่อนว่าข้าต้องเปลี่ยนชุดใหม่ เรื่องนี้สาวรับใช้ข้ายืนยันได้”
เมื่อได้ยินสวี่ซื่อยกซูชิงเป่าขึ้นมาพูด น้ำเสียงของโหยวซื่อก็เดือดพล่านขึ้นอีก “เลิกเถียงข้างๆ คูๆ ได้แล้ว เจ้าต้องทำไปเพื่อแก้แค้นให้เป่าเกอเอ๋อร์แน่ๆ ถึงได้ลงมือทำร้ายอี้เอ๋อร์!”
“หุบปาก!” นายท่านซูตะโกนลั่นออกมา สีหน้าเคร่งขรึม “พูดจาเหลวไหลต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่รู้จักอายบ้างรึ”
“ข้าไม่ได้พูดจาเหลวไหล! ท่านพี่ แม้ท่านจะไม่อยากให้ตระกูลอับอาย แต่ก็คงไม่อยากทำให้อี้เอ๋อร์นอนตายตาไม่หลับหรอกใช่หรือไม่!”
เจินซื่อเฉิงกระแอมเสียงออกมา “ซูซื่อจื่อข้าอยากฟังว่าเหตุใดซื่อจื่อฮูหยินถึงพูดเช่นนี้”
ความเศร้าจากที่เสียลูกไปบวกกับคาดเดาเรื่องเจียงซื่อผิด ทำให้โหยวซื่อยากที่จะควบคุมอารมณ์ได้ นางจึงพูดความในใจออกมาอย่างไม่ลังเล “อี้เอ๋อร์สติปัญญาไม่สมประกอบ ทั้งยังชอบเล่นกับผู้อื่น สองวันก่อนขณะที่ชวนเป่าเกอเอ๋อร์เล่นซ่อนแอบอยู่ไม่ระวังผลักเขาตกลงมาจากภูเขาจำลอง เป่าเกอเอ๋อร์บาดเจ็บที่หัว หมดสติอยู่นาน สวี่ซื่อคงแค้นใจถึงได้ลงมือกับอี้เอ๋อร์แน่!”
พอได้ยินโหยวซื่อพูดถึงเรื่องลูกชาย สวี่ซื่อก็ตาแดงก่ำ แค่นเสียงหัวเราะพลางเอ่ยขึ้น “พี่สะใภ้คิดผิดแล้วล่ะ หลังจากเป่าเกอเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บข้าก็รู้สึกเสียใจมาก เช่นนี้จึงยิ่งไม่กล้าลงมือกับลูกคนอื่น ในฐานะแม่คนหนึ่ง ข้าคงทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้หรอก!”