บทที่ 213 วัลเพอร์กิสรู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบ

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 213 : วัลเพอร์กิสรู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบ

มนุษย์ ใช่…อย่างน้อย…ก็รูปลักษณ์แหละที่ใช่…

เมื่อเธอฟื้นตัวจากความช็อกชั่วขณะ วัลเพอร์กิสก็มองไปที่หลินเจี๋ยผู้นอนหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราวท่ามกลางกองเนื้อเรืองแสง

ก่อนหน้านี้ ในตอนที่เธอยังถูกจำกัดบริเวณอยู่ในแดนนิมิต วัลเพอร์กิสนั้นทำได้เพียงทำความเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงผ่านคำบรรยายของมูเอนเท่านั้น

เธอรู้ว่ามูเอนคิดว่าหลินเจี๋ยแข็งแกร่ง หรือกระทั่งไม่อาจหยั่งได้ แต่เขาก็ยังเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย

วัลเพอร์กิสเห็นได้ว่าเขายังคงเป็นมนุษย์คนหนึ่ง และการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเขาก็เพิ่งจะมาเกิดขึ้นในภายหลัง

เหมือนที่อมนุษย์มากมายหวังจะหาเปลือกนอกที่เป็นมนุษย์ให้ตนเอง หรือเหมือนที่บางสิ่งที่ใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ในช่วงวัยรุ่น…

ส่วนเรื่องที่อะไรอยู่เบื้องหลังเปลือกนอกนี้…วัลเพอร์กิสเองก็บอกไม่ได้

นี่คือสิ่งเดียวที่ทำให้เธองุนงง ไม่ว่าเธอจะมองยังไง เจ้านี่ก็แค่มนุษย์คนหนึ่งแท้ ๆ

พูดโดยรวมแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ควรมีร่องรอยอะไรให้เห็นบ้าง

ซิลเวอร์นั้นเป็น ‘ผู้รังเกียจมนุษย์’ ความไม่ชอบมนุษย์ของเธอนั้นรุนแรงจนเรียกว่า ‘ดูถูก’ คงเป็นคำพูดที่น้อยเกินไป ในสายตาของเธอนั้น มนุษย์เป็นเพียงแค่แมลงไร้ค่า

ทุกพันธสัญญาที่เธอทำต่างมีคู่สัญญาเป็นสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์… ซึ่งรวมไปถึงมังกรโบราณ ยักษ์ เอลฟ์ และอื่น ๆ แต่ไม่มีมนุษย์เลยสักคน

นี่หมายความว่าเธอกับวัลเพอร์กิสที่เป็น ‘ผู้อาทรต่อมนุษย์’ นั้นไม่ถูกกัน และมักกระทบกระทั่งกันบ่อย ๆ

ทว่าซิลเวอร์ผู้รังเกียจมนุษย์มาตลอดได้สร้างพันธสัญญากับหลินเจี๋ยขึ้นมาแล้วในตอนนี้ และในที่สุดเธอก็มีผู้ได้รับการเจิมจากเผ่ามนุษย์

หลินเจี๋ยแข็งแกร่งเสียจนเปลี่ยนนิสัยของซิลเวอร์ได้จริง ๆ หรือที่จริงแล้วเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่ซ่อนมันไว้อย่างแนบเนียนกันแน่?

ดวงตาของวัลเพอร์กิสมองตามเถาดอกไอริส มองการที่มันเกี่ยวกระหวัดรอบนิ้วของหลินเจี๋ยแล้วสร้างเป็นแหวนก้านดอกไม้อันละเอียดอ่อน ก่อนที่เถาวัลย์จะขาดออกแล้วกลับเข้าไปในกำแพง

ในตอนนี้หลินเจี๋ยสวมแหวนสองวง มือซ้ายและมือขวาอย่างละวง และบังเอิญว่าเป็นนิ้วนางทั้งคู่

ดอกไอริสส่ายเล็กน้อย แล้วมันก็หันไปหาวัลเพอร์กิสที่ยังยืนอยู่หน้าทางเข้าที่ประตูเปิดอ้า มวลเนื้อเยื่อที่เหมือนใยแมงมุมรอบ ๆ ห้องเริ่มรวมตัวกันล้อมรอบก้านดอกไอริสแล้วก่อเป็นร่างตาข่ายของหญิงสาวร่างสูงผู้สง่างาม

ดอกไอริสที่ดูจะเรืองแสงได้ในตอนนี้กำลังพริ้วไหวอยู่ข้าง ๆ ขมับของร่างคล้ายมนุษย์นี้

แม้ว่าร่างคล้ายมนุษย์นี้จะค่อนข้างมีแต่โครงสร้างและขาดองค์ประกอบบนใบหน้า แต่วัลเพอร์กิสก็รู้ว่าคนรู้จักเก่าแก่คนนี้กำลังจ้องมองเธอตรง ๆ

แน่นอนว่าการถูกจับตัวได้นั้นเลี่ยงไม่ได้เลย และวัลเพอร์กิสก็ไม่ได้ถือสาอะไรด้วย เธอรู้ถึงการติดต่อระหว่างหลินเจี๋ยกับซิลเวอร์อยู่ก่อนแล้ว เธอจึงสรุปได้ว่าซิลเวอร์ก็รู้อยู่แล้วว่าเธออยู่แถวนี้

ไม่ช้าก็เร็ว พวกเธอก็ต้องโคจรมาเจอกันอยู่ดี

ทว่าวัลเพอร์กิสไม่ได้คิดเลยว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นสองเรื่อง

อย่างแรกคือการเปลี่ยนเจ้าของอย่างกะทันหันของแหวนแห่งพันธสัญญา แล้วในตอนที่เธอกำลังแอบย่องจะมารับมันคืน เธอก็ค้นพบว่าซิลเวอร์ก็ทำพันธสัญญาของเธอเช่นกัน

วัลเพอร์กิสคิดกระทั่งจะขอความช่วยเหลือให้ซิลเวอร์ช่วยกล่อมให้หลินเจี๋ยคืนแหวนให้เธอ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าซิลเวอร์จะให้แหวนกับหลินเจี๋ยอีกคน

เหมือนกับว่าเธอกำลังจงใจยั่วโมโหกันอยู่

วัลเพอร์กิสจ้องมองร่างคล้ายมนุษย์นั้นแล้วพึมพำเสียงต่ำ “เจ้าจงใจทำสินะ”

เธอจับตามองหลินเจี๋ยอยู่ตลอด กลัวว่าจะทำเขาตื่น

“ฮิ ๆ”

เสียงหัวเราะแผ่วเบาของซิลเวอร์สะท้อนไปทั่วห้อง ฟังดูเหมือนว่ากองเนื้อน่ากลัวทั้งก้อนนี้กำลังพูด

ร่างคล้ายมนุษย์ที่ทัดดอกไอริสไว้ที่หูยกชายกระโปรงของเธอถอนสายบัวอย่างสง่างาม

“ข้าพยายามขอให้เขาคืนมันให้เจ้าแล้วนะ แต่เขาปฏิเสธ แล้วเจ้าจะมาโทษข้าว่าจงใจทำได้อย่างไรกัน ข้าจะทำอะไรได้เล่า?”

ถ้าเขาไม่อยากมอบมัน เจ้าก็แค่ชิงมันมาไม่ได้หรือไง? มิใช่ว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในสี่แม่มดบรรพกาลเหรอ? เหตุใดเจ้าจึงพูดเยี่ยงสาวน้อยอ่อนแอที่ต้องให้ผู้ชายของนางตัดสินใจทุกเรื่องกัน? วัลเพอร์กิสคิดอย่างเดือดดาล

เรื่องมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว…

ซิลเวอร์ต้องตั้งใจให้เป็นแบบนี้แน่ การปรากฏตัวของเธอนั้นต้องเป็นการขวางแผนของวัลเพอร์กิสอย่างไม่ต้องสงสัย เธออยากให้แหวนพันธสัญญาของวัลเพอร์กิสคงอยู่บนนิ้วของหลินเจี๋ยเพื่อให้มันเป็นแต้มต่อให้กับผู้ได้รับการเจิมจากเธอ

พันธสัญญานั้นเป็นพินัยกรรมอย่างหนึ่ง การแสวงหาการอำนวยพรจากแม่มดบรรพกาลนั้นหมายความเช่นเดียวกับการสาบานตนต่อเธอและยอมเชื่อฟังในทุกคำสั่งของเธอด้วย

ผลประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายได้รับนั้นเท่าเทียมกัน

ในเมื่อเวลาผ่านมาแล้วหลายยุค ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่ายังมีผู้ได้รับการเจิมเหลืออยู่อีกเท่าไหร่ ทว่าผู้ที่สามารถผ่านการทดสอบของเวลามาได้ย่อมต้องเป็นสาวกผู้ภักดีและแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน

ซิลเวอร์ไม่มีผู้ได้รับการเจิมที่เป็นมนุษย์ และเพราะเช่นนั้นเธอจึงคิดขโมยจากวัลเพอร์กิส

ซิลเวอร์เอ๋ย เจ้าช่างเข้าใจคิดแท้…วัลเพอร์กิสบ่นกับตัวเอง

ทว่าสถานการณ์นั้นไม่ได้เป็นใจต่อเธอเลย ตัดสินจากการที่ซิลเวอร์สามารถปรากฏตัวนอกแดนนิมิตได้ แปลว่าเธอต้องมีพลังมากกว่าวัลเพอร์กิสที่ยังอ่อนแอในตอนนี้แน่ ๆ ยิ่งกว่านั้นยังมีภัยคุกคามที่ไม่ทราบแน่ชัดอย่างหลินเจี๋ยที่นอนหลับอยู่ใกล้ ๆ ด้วย

เธอเข้าสิงร่างมูเอนแค่เพื่อจะแอบขโมยแหวนกลับเท่านั้น แต่ตอนนี้แผนทั้งหมดของเธอโดนโยนออกหน้าต่างไปแล้ว

“ในเมื่อเขาช่วยข้าชิงสิทธิ์ของดวงจันทร์คืนไปแล้ว ข้าจะถือว่าการให้เขาถือแหวนไว้เจ๊ากันไปแล้วกัน” วัลเพอร์กิสพูดออกมาเหมือนพยายามปลอบใจตัวเอง

เธอหลับตาลงแล้วเยาะเย้ย “ยังไงเสียนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นให้เขาจัดการกับเรื่องปวดหัวนี่เอาเองแล้วกัน”

ทว่าความจริงที่ว่าพันธสัญญายังอยู่กับเขานั้นเป็นความจริง ในอนาคต ผู้ที่ได้รับการเจิมจากเธอจะถือคำพูดของเขาเป็นคำพูดของวัลเพอร์กิส

วัลเพอร์กิสรู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบด้วยเหตุผลแปลก ๆ บางอย่าง แถมยังรู้สึกเหมือนว่าเธอต้องช่วยปิดบังความจริงแล้วยอมให้คนผิดเดินลอยนวลด้วย…

ยิ่งคิดวัลเพอร์กิสก็ยิ่งขุ่นเคือง แล้วเธอก็ตัดสินใจว่าอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว

เธอกระทืบเท้าง้างประตูสุดแรง…แต่จู่ ๆ ก็ชะงักไปกลางคันก่อนจะปิดประตูอย่างนุ่มนวล

เสียงขำคิกคักของซิลเวอร์ยังคงดังออกมาจากข้างหลังเธอ

ในตอนนี้ พรีม่า ซานดร้ากำลังเตรียมพิธีการทำนายแห่งรัตติกาลอย่างลับ ๆ

เธอสำรวจของที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วพึมพำอย่างห้าว ๆ “ฉันจะช่วยพี่เองนะ พวกคนจากตระกูลเรามีเจตนาร้าย ไม่อยากให้พี่กลับมา เชื่อถือไม่ได้สักคนเลย…”

“ท่านวัลเพอร์กิสผู้ควบคุมกลางคืนน่าจะกลับมาแล้ว การเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต้องเป็นลางบอกเหตุแน่ ตอนนี้มีแต่ท่านเท่านั้นที่ปกป้องเราทั้งคู่ได้”

พี่สาวของพรีม่าก็คือมาร์กาเร็ต ซานดร้า หัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมจากสมาคมแห่งสัจธรรมที่เพิ่งจะถูกโจมตีแล้วหายตัวไปนั่นเอง

วัตถุดิบต่าง ๆ ต่างถูกตระเตรียมเรียงกันไว้บนโต๊ะแล้ว โอสถขวดแล้วขวดเล่าที่ถูกประกอบขึ้นอย่างระมัดระวังเปล่งประกายทรงเสน่ห์ ตรงกลางระหว่างพวกมันคือลูกแก้วคริสตัลที่รายล้อมด้วยโลหะอุกกาบาตปลุกเสกที่ทำเป็นรูปช่วงเวลาต่าง ๆ ของดวงจันทร์…ดิถีดวงจันทร์

โอสถที่กระเพื่อมไปมาในขวดนั้นสะท้อนแสงลงบนใบหน้าจืดชืดของพรีม่า เธอใส่แว่นตาหนา ๆ และมีเส้นผมสีดำดกหนาที่ถักเป็นเปียเส้นหนาเตอะ

เสื้อเชิ้ต เสื้อโค้ตและกางเกงที่เธอสวมล้วนแล้วแต่เป็นเสื้อผ้าผู้ชาย และมือของเธอก็สวมถุงมืออุตสาหกรรมคู่หนาสีขาว

หมวกเบเร่ต์ใบหนึ่งอยู่ที่ที่วางแขนของเก้าอี้ข้าง ๆ เธอ และถ้ามันถูกสวมล่ะก็ พรีม่าก็อาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กชายตัวเตี้ยได้

“เฮ้อ…” พรีม่าผ่อนลมหายใจแรง

หลังจากสลักวงแหวนคาถาเป็นร่องแล้ว พรีม่าก็เทโอสถตามลำดับขั้นด้วยมือนิ่ง ๆ และดวงตาแข็งกร้าว

วงแหวนคาถาเริ่มเปล่งแสง แล้วภาพมัว ๆ ก็ประกอบกันเหนือดิถี

“จากพันธสัญญาโบราณ ท่านวัลเพอร์กิสจะปกป้องผู้ที่ทุกข์ทนในยามค่ำคืน และเราก็จะเสนอความภักดีและการสนับสนุนของเราเป็นการตอบแทน”

“โปรดช่วยฉันด้วย!”

พรีม่าจ้องดิถีดวงจันทร์อย่างกระวนกระวาย แล้วเธอก็เห็นภาพมัว ๆ เปลี่ยนรูปร่างไป ก่อนที่ในที่สุดมันจะแสดงภาพร้านหนังสือที่ดูโกโรโกโสแห่งหนึ่ง

เข็มบนดิถีดวงจันทร์ชี้ไปที่มัน