ตอนที่ 180 เอาข้าไปขายให้ตระกูลหลินเถิด

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 180 เอาข้าไปขายให้ตระกูลหลินเถิด

หากต้องการทราบถึงสภาพความเป็นอยู่ภายในหมู่บ้านต้องให้ดูจากสภาพของบรรดาเด็กน้อย
ในมือของชาวบ้านฉือหลี่โกวไม่ขาดแคลนเงินและยังร่วมแรงร่วมใจกันทั้งหมู่บ้าน พวกเขาไปซื้อเสบียงจากอำเภอจิงหยุนกลับมา 2-3 ลำเกวียน กอปรกับผักป่าและอาหารอื่น ๆ แล้วก็สามารถทำให้อิ่มท้องได้ เด็กกลุ่มนี้ที่คอยติดตามเจ้าหนูน้อยยังได้กินเนื้อเป็นครั้งคราว จึงเป็นธรรมดาที่จะมีชีวิตชีวาต่างจากเด็กนอกหมู่บ้าน !
หลินเว่ยเว่ยลูบศีรษะเจ้าหนูน้อยแล้วกล่าวว่า “พ่อแม่ของเขาไม่อยู่แล้ว ข้างกายก็ไม่เหลือญาติสักคน ถ้าเราส่งเขากลับไปจะมีแค่จุดจบเดียว…”
เจ้าหนูน้อยมองเจ้าถั่วงอกน้อยอย่างเห็นใจ เมื่อลองคิดทบทวนอย่างตั้งใจแล้ว เขาก็กล่าวราวกับว่าตนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง “เอาเถิด ! ข้าเห็นใจเจ้าและจะให้อยู่ต่อก็ได้ ! ต่อไปเจ้าก็คอยติดตามข้า ไม่ว่าเป็นเรื่องใดก็ต้องฟังข้า เข้าใจหรือไม่ ? บ้านเราเลี้ยงคนว่างงานไม่ไหว ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีข้าวกิน จำไว้หรือยัง ? ”
เจ้าถั่วงอกน้อยถอนหายใจแสดงความโล่งอก จากนั้นก็ออกแรงพยักหน้ารับ
เจ้าหนูน้อยมองคู่หูคนใหม่ด้วยรอยยิ้มพลางถามว่า “เจ้ามีนามว่าอันใด อายุเท่าไหร่แล้ว ? ”
เจ้าถั่วงอกน้อยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าชื่อจางหนิวฮว๋า อายุแปดขวบแล้ว ! ”
เจ้าหนูน้อยมองร่างกายอันผอมแห้งของอีกฝ่ายแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจ “ว่าอย่างไรนะ ? เจ้าอายุแปดขวบแล้ว ? ไม่เหมือนเลย ท่าทางเหมือนยังอายุน้อยกว่าข้านะ ! ต่อไปเจ้าเป็นพี่น้องคนที่สี่ของเจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ดแล้วกัน เป็นตัวสีเขียวที่สามารถพ่นไฟได้ ! ”
ทันใดนั้นเด็กคนอื่นก็มองหนิวฮว๋าด้วยความอิจฉา เพราะเคยได้ยินเรื่องอภินิหารเจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ดจากเจ้าหนูน้อยมาแล้ว ความสามารถของพี่น้องน้ำเต้าทั้งเจ็ดในเรื่องเต็มไปด้วยจินตนาการน่าโหยหา ไม่ว่าใครก็อยากมีบทบาททั้งนั้น
วังตงเฉียงที่สนิทกับเจ้าหนูน้อยที่สุดก็ดีอกดีใจที่ตนได้สวมบทบาทเป็นตัวลิ่น ส่วนเด็กที่มีความสัมพันธ์ทั่วไปก็ได้เป็นค้างคาวหรือไม่ก็คางคก ฟากเด็กที่น่ารำคาญอย่างเจ้าอ้วนซานได้สวมบทบาทเป็นหัวหน้าวายร้ายอย่างสมเหตุสมผล…คือแมงป่องนั่นเอง
ส่วนบทพี่น้องน้ำเต้าทั้งเจ็ด เจ้าหนูน้อยทำใจให้คนอื่นเล่นไม่ได้เสียที คาดไม่ถึงว่าเด็กที่เพิ่งมาใหม่คนหนึ่งจะได้เป็นพี่น้องคนที่สี่…ไม่รู้ว่าที่บ้านเจ้าหนูน้อยยังขาดพี่น้องอีกหรือไม่ ?
หลังจากได้ยินพวกเด็ก ๆ เอ่ยพึมพำเรื่องเจ้าหนูน้ำเต้าแล้ว ดวงตาของจางหนิวฮว๋าก็เป็นประกายทันที เขาพูดกับเจ้าหนูน้อยว่า “ข้าอยากเป็นคนที่ห้าซึ่งสามารถพ่นน้ำได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นพืชผลในไร่นาก็จะไม่แห้งตาย มนุษย์ก็ไม่ต้องอดตาย…”
เจ้าหนูน้อยนึกถึงคำพูดของพี่รองที่เอ่ยเกี่ยวกับเด็กน้อยคนนี้ เขาจึงรู้สึกสงสารขึ้นมาทันทีและแสดงความใจกว้าง “ได้ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนที่ห้า ! แล้วคนที่สี่จะเป็นใคร ? ”
“ข้า ! ข้า ! ข้าก่อไฟเก่งมาก ข้ายินดีเป็นคนที่สี่ ! ” เด็กน้อยคนหนึ่งยกมือขึ้น
วังตงเฉียงทำเสียง ฮึ ใส่อีกฝ่าย “ตอนนี้ข้าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเอ้อร์ฮว๋า ข้าเองก็ก่อไฟเป็นเหมือนกัน คนที่สี่ควรเป็นข้าต่างหาก ! ”
เด็กคนนั้นจึงเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “เจ้าไม่เล่นเป็นตัวลิ่นแล้วหรือ ? เหตุใดยังมาแย่งเป็นคนที่สี่กับข้าอีก ? ”
วังตงเฉียงก็กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกัน “เจ้าก็เล่นเป็นคางคกเหมือนกัน ! ”
“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ! ข้าคิดว่าฉือถัวเล่นเป็นคนที่สี่เหมาะสมกว่าเพราะเขาสามารถก่อไฟได้ตั้งหลายเตา แถมไฟก็แรงมากด้วย ! ” ในที่สุดเจ้าหนูน้อยก็นึกถึงผู้ที่เหมาะสมได้แล้ว
ทว่าวังตงเฉียงไม่เห็นด้วย “ฉือถัวโตกว่าพวกเราตั้งเยอะ เขาไม่อยากมาเล่นแบบพวกเราหรอก ! ให้ข้าเป็นเถิด ต่อไปข้าจะช่วยบ้านเจ้าก่อไฟทุกวัน ไฟของข้าก็จะแรงมากเหมือนกัน ! ”
เจ้าหนูน้อยมองเขาอย่างไม่เชื่อ “แม่เจ้าบอกว่าเจ้าช่วยงานที่บ้านน้อยมาก เจ้ามาก่อไฟให้บ้านข้าแล้ว นางจะต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน ! เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด…”
“ข้ากลับบ้านไปแล้วก็จะช่วยท่านแม่ก่อไฟ เช่นนี้ก็ได้แล้วสินะ ? ” วังตงเฉียงรีบกล่าว
“เช่นนั้น…ให้เจ้าเป็นก็ได้ ถ้าไม่เหมาะสมค่อยเปลี่ยนคนใหม่แล้วกัน” เจ้าหนูน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจสักเท่าไร เพราะในสายตาของเขาคือวังตงเฉียงไม่ช่วยงานครอบครัว ถือเป็นเด็กที่ค่อนข้างเกียจคร้าน ไม่เหมาะกับบทพี่น้องคนที่สี่เลย
ในคืนนั้น พอถึงเวลาที่มารดาวังตงเฉียงต้องทำอาหารให้บ้านผู้ใหญ่บ้าน นางก็ต้องประหลาดใจที่พบว่า บุตรชายออกตัวจะช่วยก่อไฟและยังก่อได้อย่างคล่องแคล่วด้วย นี่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วหรือ ? หรือว่าบุตรชายจะโดนบางอย่างสิงสู่ ? จู่ ๆ ก็ขยันขึ้นมาเสียอย่างนั้น
พอถามก็ได้รู้ว่ามีเหตุมาจากเจ้าหนูน้อย ผู้ใหญ่บ้านจึงยิ้มอย่างมีความสุขทันที “เป็นอย่างที่คิด คบเพื่อนดีก็สามารถส่งผลดีต่อชีวิต เฉียงจื่อ ต่อไปเจ้าต้องเรียนรู้จากเอ้อร์ฮว๋าให้มาก ! ”
มารดาของวังตงเฉียงก็ดีใจเหมือนกัน แต่ยังไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร “เขาน่ะ ! ทำงานให้บ้านอื่นก็ทำได้ดีอยู่หรอก ทั้งออกไปตัดหญ้า จับตั๊กแตน ช่วยบ้านอื่นเลี้ยงกระต่ายเลี้ยงแพะทุกวัน แต่ไม่ได้สิ่งใดกลับมาสักอย่าง ! ”
“ใครบอกขอรับ ? คราวก่อนเอ้อร์ฮว๋ายังให้เนื้อกระต่ายข้าชิ้นหนึ่งแล้วก็นมแพะย่างอีกครึ่งหนึ่ง…ข้าไม่เคยกินเนื้อและขนมที่อร่อยเช่นนั้นมาก่อน ! ” วังตงเฉียงเคี้ยวเค้กข้าวโพด จากนั้นก็กล่าวอีกว่า “เค้กข้าวโพดของบ้านเอ้อร์ฮว๋าทั้งกรอบและหอม อร่อยกว่าของบ้านเราตั้งเยอะ ! ”
“ในเมื่อบ้านคนอื่นมีดีถึงเพียงนั้น เจ้าก็ไปเป็นลูกชายให้บ้านเขาเลยสิ ! ” มารดาของวังตงเฉียงผลักบุตรชายเพราะนางโมโหจะตายอยู่แล้ว ในสายตาของบุตรชาย แม้แต่อุจจาระบ้านคนอื่นยังหอมกว่า !
วังตงเฉียงถอนหายใจแล้วกล่าวอย่างคร่ำครวญ “ข้าก็คิดเหมือนกัน ! แต่แม่ของเอ้อร์ฮว๋าไม่ขาดลูกชาย…ท่านแม่ขอรับ ท่านขายข้าให้ตระกูลหลินเถิด วันนี้พี่รองหลินซื้อเด็กกลับมาคนหนึ่ง เจ้าหนูน้อยให้เขาเป็นเจ้าหนูน้ำเต้าธาตุน้ำ เพิ่งรู้จักกันก็ให้เป็นพี่น้องคนที่ห้าแล้ว ข้าอยากเป็นคนที่สี่ ต้องคุยกับเขาอยู่นานถึงจะยอมตกลง ท่านว่ามันน่าโมโหหรือไม่ ! ”
มารดาของวังตงเฉียงบิดหูและตีหน้าผากเขา “ข้าคิดว่าคนที่น่าโมโหคือเจ้าต่างหาก เพื่อของกินแล้วถึงขั้นจะขายตัวเป็นบ่าวรับใช้ให้บ้านอื่น ! ขายหน้าเขาหรือไม่ ? ”
ผู้ใหญ่บ้านจึงถามว่า “นางหนูรองซื้อคนกลับมาด้วยหรือ ? ”
ขณะร้องโอดโอย วังตงเฉียงก็รีบวิ่งเข้ามาซ่อนด้านหลังท่านปู่ “ใช่ขอรับ ! ซื้อเด็กผู้ชายอายุแปดขวบไม่มีพ่อแม่โดยบอกว่า…ต่อไปเวลาเจ้าหนูน้อยไปเรียนหนังสือจะให้ช่วยแบกกระเป๋า…ข้าเองก็ช่วยเอ้อร์ฮว๋าแบกกระเป๋าได้เหมือนกัน ! ”
ทันใดนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ถอนหายใจ “เด็กไม่มีพ่อแม่ข้างนอกมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง อยู่ต่อไปไม่ได้ถึงเอาตัวมาขายเป็นทาสให้คนอื่น แล้วพวกที่มีพ่อแม่แต่เลี้ยงไม่ไหวก็เอาลูกชายลูกสาวไปขาย…โชคดีที่หมู่บ้านเรามีบุตรสาวคนรองตระกูลหลินอยู่ ! ”
มารดาของวังตงเฉียงมุ่ยปาก “ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านชื่นชมบุตรสาวคนรองตระกูลหลินมากเกินไปแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดท่านก็ฟังนางหมด สรุปแล้วนางเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือท่านกันแน่ ? ”
ผู้ใหญ่บ้านถลึงตาใส่ลูกสะใภ้ “ถ้าเจ้าทำให้หมู่บ้านเรามีกินมีใช้ ไม่หิวตายในปีที่ประสบภัยแห้งแล้งนี้ได้ ข้าก็ฟังเจ้าเหมือนกัน ! บุตรสาวคนรองตระกูลหลินพาคนในหมู่บ้านขึ้นเขาไปเก็บผักป่า เมล็ดสน รับซื้อของป่ากับเมล็ดสนในราคาสูงแล้วยังช่วยหมู่บ้านสร้างโรงงานแปรรูปขึ้นมาอีก ถ้านางอยากเป็นผู้ใหญ่บ้าน ข้าก็จะให้นางเป็น ! ”
วังตงเฉียงจึงพูดแทรกทันที “ยังมีไม้ไผ่ที่ส่งน้ำลงจากเขา พี่รองหลินก็เป็นคนตัดขอรับ ! ”
“ใช่ ! ถ้าไม่มีบุตรสาวคนรองตระกูลหลิน เจ้าคิดว่าบัณฑิตเจียงจะสนความเป็นตายของคนในหมู่บ้านเราหรือ ? ” ทันใดนั้นผู้ใหญ่บ้านก็กวาดสายตามองทุกคนในครอบครัว “ต่อไปนี้ข้าไม่อยากได้ยินพวกเจ้าคนไหนพูดให้ร้ายบุตรสาวคนรองตระกูลหลินอีก ! โดยเฉพาะเจ้า ม่านเหนียง ! มนุษย์ต้องรู้จักสำนึกบุญคุณ ไม่อย่างนั้นจะไม่คู่ควรแก่การเป็นมนุษย์ รู้หรือไม่ ! ”
พวกบุตรชายและสะใภ้ไม่กี่คนของเขาต่างขานรับอย่างเชื่อฟัง แม้วังม่านเหนียงจะไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอย่างรู้กาลเทศะ
ตอนต่อไป