คลื่นความยาวของพลังงานที่สวนลอยฟ้าของแฟรี่ที่ตายแล้วแห่งนี้ปล่อยออกมานั้นเทียบเท่ากันแรงค์ S ซึ่งสําหรับดันเจี้ยนแรงค์ S แล้วมันไม่เคยเป็นสิ่งที่ง่ายเลย โดยปกติแล้ว มันจําเป็นที่ทีมจะต้องประกอบไปด้วยยอดมนุษย์แรงค์ S หลายคนรวมมือกันเคลียร์ ทําให้ฉันไม่สามารถที่จะการันตีความสําเร็จได้เลยถ้าหากว่าฉันเข้ามาในตันเจี้ยนนี้เพียงลําพัง

ต้องขอบคุณ ที่ฉันมีเทเลอร์ไนน์แรงค์ S+ และฮาซุนยังแรงค์ SS+ ดังนั้นมันเลยไม่มีปัญหาอะไร

<ดูเหมือนว่าเดิมที่แล้วโลกใบนี้น่าจะมีพลังงานที่ปล่อยออกมาเทียบเท่ากับแรงค์ SS หรือไม่ก็สูงกว่าหากเทียบกับมาตรฐานของโลกมนุษย์นะคะ>

อย่างไรก็ตาม ด้วยเวลาที่ได้ผ่านไป มิติแห่งนี้ก็ได้ค่อยๆสูญเสียพลังงานของมันไป ต้องขอบคุณเรื่องนั้น มันเลยทําให้เรื่องมันง่ายกว่าเดิมสําหรับฉัน ยังไงก็ตามฉันก็น่าจะได้รับสวนลอยฟ้านี้มาอย่างง่ายๆอะนะ

“อย่าฆ่าจิตวิญญาณพวกนี้นะ”

“ทําไมหละ? ไม่ว่าฉันจะมองยังไงนี่มันก็กองคริสตัลอีเทอร์ชัดๆเลยนะ”

“หลังจากแปลงพวกมันไปแล้ว มันก็ไม่ได้มีจํานวนที่มากอะไรหรอก พวกเขาดูราวกับโคมไฟเวทมนตร์ในสวยตาของฉันมากกว่า”

“อย่างงั้นเหรอ?”

เทเลอร์ไนน์และฮาซุนยังยังคงดูราวกับว่าพวกเธอไม่ได้เข้าใจอยู่ดี แต่พวกเธอก็ยังคงทําตามที่ฉันบอกและพวกเราก็เคลื่อนขบวนไปข้างหน้าในขณะเดียวกันก็ปราบจิตวิญญาณเหล่านี้ลงโดยที่ไม่ฆ่ามัน เพราะเหตุนั้นเองที่ทําให้ การลงดันครั้งนี้ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด และหลังจากที่ผ่านไปช่วงหนึ่ง พวกเราก็มาถึงจุดที่ราชาจิตวิญญาณอยู่ที่ที่บอสมอนสเตอร์ของสวนลอยฟ้าแห่งนี้อาศัยอยู่

สถานที่แห่งนี้ถูกสับเละไปกองอยู่ด้านข้างทั้งหมดด้วยฝีมือของไม้เบสบอลและดาบ ดังนั้นที่นี่เลยกว้างมากพอแล้วที่มันจะไม่ตายลงไป

– ตายซะ!! เจ้าพวกปีศาจร้าย!!

มันไม่เหมือนกับเหล่าจิตวิญญาณตนอื่นๆ ราชาจิตวิญญาณของสวนลอยฟ้าตนนี้ยังคงมีสตินึกคิดของตนเองอยู่ เป็นเรื่องที่ดีที่มันทําให้การสนทนาของพวกเราเป็นไปได้ด้วยดี

“อะนี่”

– นี่มันอะไร…?

“มันเป็นข้อตกลง ฉันจะจัดหาพลังงานที่จําเป็นให้กับมิติแห่งนี้ เพราะงั้นแล้วก็ส่งเอกสารที่ดินของนายมาซะดีๆ”

– น..นั้น!

“ฉันจะช่วยเหลือคนของนายเช่นกัน ดังนั้นในอนาคต ทํางานให้กับฉันซะ”

– ……!

สําหรับการทําแบบนั้น ฉันไม่ได้มีพลังใดๆที่จะทํามันได้หรอก

แต่ว่าไม่ใช่ว่าฉันมี “อายุขัย” ที่สามารถจบปัญหาทุกอย่างได้ไม่ใช่หรือไง?

[อายุขัย 3,000 วันถูกหักออกไป]

[มอบพลังงานแห่งชีวิตนี้ให้กับสวนลอยฟ้าแห่งจิตวิญญาณ]

มันเคยมีช่วงเวลาที่ฉันต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่นานกว่าเดิมแบบวันต่อวัน แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้ฉันสามารถที่จะได้รับอายุขัยของตัวเองได้ทุกๆเวลาที่ฉันต้องการและมันก็ได้กลายมาเป็นสกุลเงินที่สองของฉันเองเมื่อไม่นานมานี้

ในตอนแรก ฉันสามารถที่จะได้รับสํานักงานกิลด์ขนาดเล็กมาได้ด้วยเงินที่ฉันมีอยู่ แต่การใช้พลังชีวิตออกไปสําหรับมิติทั้งหมดนี้เป็นการทําธุรกิจที่ได้กําไรมากกว่าเห็นๆ

– เออ…

– นี่มัน….

– ท่านราชาจิตวิญญาณ!

เหล่าจิตวิญญาณทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่ในสวนลอยฟ้าแห่งนี้มี 100 ตน ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้จําเป็นที่จะต้องคืนชีพพวกมันทั้งหมดขึ้นมาหรอก แต่อย่างไรก็ดี มันกลับเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทํา เพราะว่าฉันจําเป็นที่จะต้องใช้แรงงานคนจํานวนมากสําหรับ “การตกแต่งภายใน” ของสํานักงานในอนาคตอันใกล้นี้

ในขณะที่เหล่าจิตวิญญาณเริ่มที่จะตื่นขึ้นมากทีละตนๆ ราชาจิตวิญญาณตนนี้ก็ได้คุกเขาของตนเองลงต่อหน้าของฉันด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข

– ขอบคุณ ขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก

“ไม่ต้องพูดแบบนั้นหรอก เพราะว่านายจะต้องทํางานหนักนับจากนี้ไป”

บางทีมันอาจเป็นเพราะว่าพลังงานที่ฉันได้ให้กับพวกเขาไป จิตวิญญาณเหล่านี้เชื่อฟังฉันเป็นอย่างดี และด้วยความช่วยเหลือของ “ห้องสมุดของแม่มดขาว” ฉันก็สามารถที่จะเรียนรู้ว่าจะยืดอายุของเหล่าจิตวิญญาณที่ฉันคืนชีพขึ้นมาพวกนี้ออกไปได้อย่างไร

[จิตวิญญาณเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภท “จิตวิญญาณธาตุ” พวกเขาเติบโตขึ้นด้วยการรับเอาพลังงานจากธรรมชาติมาด้วยตัวของพวกมันเอง ตัวอย่างก็เช่น จิตวิญญาณแห่งสายน้ําจะได้รับพลังงานของพวกมันมาผ่านสายฝน จิตวิญญาณแห่งสายฟ้าจะได้รับพลังงานของพวกมันมาผ่านสายฟ้าฟาด และเหล่าจิตวิญญาณแห่งไฟก็จะได้รับพลังงานของพวกมันมาผ่านเปลวไฟ..]

แหล่งสารอาหารของพวกเขาก็คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ อย่างไรก็ดี หลังจากที่โลกใบนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว เหล่าจิตวิญญาณทั้งหลายที่ได้หลบหนีมายังสวนลอยฟ้าแห่งนี้นั้นไม่สามารถที่จะได้รับพลังงานเช่นนั้นได้และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้จบชีวิตลงโดยสมบูรณ์

ฉันไม่ใช่พระเจ้าที่สามารถจะเสกสายฟ้าลงมาได้ทันทีทันใดแต่ว่าอย่างน้อยที่สุดเจ้ากระถางดอกไม้ก็สามารถที่จะสร้างสวนดอกไม้เล็กๆ , ป่าหรือไม่ก็แม่น้ำเทียมขึ้นมาได้

“…ดังนั้นในดันเจี้ยนแห่งนี้ พวกเราจะต้องปลุกดอกไม้ ต้นไม้และก็สร้างแม่น้ำเทียมขึ้นมา”

“นายยังวางแผนที่จะสร้างตัวเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต,เสาสัญญาณวิทยุ และก็ห้องน้ำไว้ที่นี่ด้วยเหมือนกันใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว ฮาซุนยัง เธออยากได้อะไรรึป่าวหละ? หรือว่าพวกเราควรที่สร้างสระว่ายน้ำขึ้นมาด้วยดี?”

“ไม่นะ บ้าหรือไง นายไม่ต้องทําอย่างนั้นเลยนะ”

“มันโอเคน่า ค่าบ้านที่นี่ถูกจะตายไป ไม่ต้องคิดมากและพูดมันออกมาได้เลย”

“ฉันไม่ได้อยากได้มัน…”

ดังนั้น ฉันเลยเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงที่ดินด้านในดันเจี้ยนแห่งนี้โดยสมบูรณ์ สิ่งก่อสร้างทั้งหมดถูกเหลือทิ้งไว้ในขณะที่พื้นที่ว่างถูกนํามาใช้งานเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเพื่อให้อย่างน้อยที่สุดเหล่าจิตวิญญาณก็สามารถที่จะได้รับพลังงานธรรมชาติได้ และแม้แต่บ้านพลาสติกถูกสร้างขึ้น

แถมฉันยังจ่ายพลังชีวิตไปเพิ่มอีก 500 วันเพื่อที่จะสร้างช่องทางที่ทําให้สามารถจะสื่อสารกับโลกภายนอกจากด้านในนี้ได้ และสร้าง “บัตรผ่าน” ที่ใช้ในการเข้ามายังมิติแห่งนี้ก็ได้ถูกประทับลงไปยังหญิงสาวทั้งหมดนี้แล้ว

“ถ้าหากว่าเธอมีรอยสักนี้ เธอก็สามารถที่จะเข้ามาที่นี้ได้ทุกเวลาที่เธอต้องการ โดยเข้ามาผ่าน “จุดนั้น” ที่อยู่ใกล้กับกังนัมสแคว”

“โอ้ว…สุดยอดดด”

ถึงแม้ว่ามันจะกินพลังชีวิตของฉันไปเป็นจํานวนที่เห็นได้ชัด มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ การสร้างประตูเชื่อมเป็นสิ่งที่จําเป็นเพื่อที่สมาชิกทั้งหมดของกิลด์จะได้เข้าออกสํานักหลักแห่งนี้ได้ อย่างอิสระรวมไปถึงการเข้าเน็ต,เครื่องใช้ไฟฟ้า และคลื่นวิทยุก็จะถูกส่งผ่านมา

ในตอนแรก เทเลอร์,ฮาซุนยัง และยีซาฮเยแสดงปฏิกิริยากลับมาแค่เพียงความเฉยชาเท่านั้น แต่หลังจากสามเดือนให้หลัง

“ฉันโคตรชอบมันเลย! ฉันคิดว่ามันโรแมนติกสุดๆไปเลย!”

ในตอนนี้ การก่อสร้างที่จําเป็นทั้งหมดเกือบที่จะเสร็จสมบูรณ์ดีแล้ว สิ่งก่อสร้างทั้งหมดด้านในสวนลอยฟ้าแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในรูปแบบของสิ่งก่อสร้างสไตล์โมเดิร์นเรียบร้อยแล้ว และยีซาฮเยก็เป็นหนึ่งในคนที่แสดงความชื่นชมออกมาเป็นคนแรก

หลังจากยีซาฮเย อีกสองคนที่เหลือก็ได้แสดงการยอมรับออกมาผ่านการแสดงออกของพวกเธอด้วยเช่นกัน

“หึม…ถ้าหากเป็นที่นี่หละก็ มันสมบูรณ์แบบเลยที่จะใช้ฝึกฝน มันไม่มีผู้คนและไม่จําเป็นที่จะต้องกังวลเรื่องเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเลย”

“เยี่ยม นี่มันสะดวกสะบายกว่าอาคารสหภาพเก่าๆนั้นซะอีก”

ยีซาฮเยเคยบอกไว้ว่าเธออยากที่จะทํางานในสถานที่แห่งนี้ ฮาซุนยังก็เคยพูดไว้ว่ามันเป็นที่ที่ดีสําหรับการฝึกฝน ส่วนเทเลอร์ก็ชอบวิวกลางคืนของมัน มันกลายมาเป็นฐานกิลด์ที่ดีมากๆ ด้วยประการฉะนี้เอง

มันยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องเพิ่มเข้ามาเช่น สิ่งที่สร้างจําพวกใช้ในการสร้างความสะดวกสะบายแต่ว่านั้นไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย เพราะไม่ว่ายังไงซะ พวกเราก็ไม่สามารถที่จะใช้พื้นที่ในสวนแห่งนี้ให้หมดไปได้ในเร็วๆนี้อยู่แล้ว ทั้งหมดที่ฉันจําเป็นที่จะต้องทําก็แค่ใช่พื้นที่ที่ยังเหลืออยู่ไปเรื่อยๆ

“เฮ้ ซอดัม ฉันไม่ได้เป็นสมาชิกของกิลด์นายนะ มันโอเคจริงๆใช่มะที่จะใช้บัตรผ่านกับฉันนะ?”

“คิดว่ามันเป็นคําเชิญด้วยความห่วงใยก็ได้”

“ไอ้เจ้าบ้าน นายไม่รู้เลยใช่ไหมว่าฉันเป็นฮันเตอร์ปราบปรามมานานเท่าไหรแล้ว?”

“เอาน่าๆ แค่ค่อยๆคิดเกี่ยวกับมันดู”

เทเลอร์ถอนหายใจออกมาแล้วพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มของฆาตกร

“โอเค ไอ้สารเลวนี้ เมื่อไหร่ที่ฉันกลับไปจัดการกับปัญหาบางอย่างที่บ้านเสร็จ แล้วฉันจะคิดเกี่ยวกับมันดู”

หลังจากที่เธอได้พูดออกมาแบบนั้นแล้วเธอก็กลับไปที่รัสเซีย ฉันก็นึกถึงเยคาเทริน่าขึ้นมาได้

นับตั้งแต่ที่พวกได้ฐานกิลด์ขึ้นมาแล้ว พวกเราก็สามารถที่จะปฏิบัติงานต่างๆได้เหมือ นกับกิลด์จริงๆแล้ว เวลาครึ่งปีที่เยคาเทริน่าได้สัญญาเอาไว้ก็เกือบที่จะถึงเวลาแล้ว ดังนั้นมันเป็นถึงเวลาที่จะต้องได้รับตัวเธอมาแล้ว

“แต่ก่อนหน้านั้น ฉันควรที่จะไปอเมริกาก่อน”

วอชิงตัน ดีซี ยูเอสเอ

ซอลจองยอน รับงานอยู่ที่สหรัฐอเมริกาด้วยการเป็นหัวหน้าของพันธมิตรมูริม เป็นยอดมนุษย์แรงค์ SSS ที่ได้แสดงตัวออกมาพร้อมกับความทะเยอทะยานที่เต็มเปี่ยม!

ยอดมนุษย์แรงค์ SSS เคยปรากฏตัวออกมาเพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทําไมการปรากฏตัวของซอลจองยอนถึงได้ดึงดูดความสนใจจากสาธารณชนเป็นจํานวนมาก ส่วนมากของฮันเตอร์แรงค์ SSS ที่ได้ปรากฏตัวขึ้นก่อนหน้าเธอก็เกษียณอายุไปเรียบร้อยแล้วแถมก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อใดๆเลยเนื่องจากเหตุผลอย่างเช่น ความไม่เสถียรของความสามารถหรือนิสัยส่วนตัว

นอกจากนี้ ซอลจองยอนก็ไม่ได้หลบเลี่ยงแสงสปอร์ตไลน์ที่สาดส่องมาที่เธอ เธอเปิดเผยตัวเองสู่โลกใบนี้และแสดงตัวตนที่แข็งแกร่งของเธอในโลกใบนี้ ให้พวกเขาได้รับรู้ถึงตัวตนของ “ยุทธภพจุงวอน”

โลกที่เหล่าผู้คนจากมูริมสามารถที่จะดําเนินการได้อย่างอิสระโดยปราศจากการแทรกแซงจากประเทศใดๆ

ซึ่งมันก็ยังเป็นสิ่งที่ได้แสดงหน้าตาของพวกเขาและการกระทําออกไปได้เป็นอย่างดี

“ท่านปรมาจารย์ครับ มีเหล่าผู้คนมารอข้างนอกอีกแล้วครับ”

“เกิดเรื่องบ้าแบบนี้ขึ้นอีกแล้ว”

ต้องขอบคุณ การลงมือของเธอในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซอลจองยอนก็เลยสามารถที่จะตั้งสําหรับงานกิลด์ขนาดใหญ่ที่วอชิงตัน ดีซี ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ไร้ซึ่งปัญหา ใดๆไปซะทีเดียว เพราะผู้คนต่างพากันมาแคมปิ้งอยู่ภายนอกเพื่อที่จะได้เห็นความงดงามของเธอ

ด้วยเส้นผมสีแพลตตินั่มของเธอที่ให้ความรู้สึกที่มืดมนบวกกับดวงตาสีชมพูราวกับดอกบัวของเธอ ทําให้รูปลักษณ์ของเธอช่างแสนแตกต่างเต็มไปด้วยความลึกลับและความงดงามในเวลาเดียวกัน บวกกับเรื่องที่ว่าเธอเป็นนักรบชาวมูริมที่มีแรงค์ SSS ด้วย เช่นกันกับเป็นผู้หวนคืนต่างมีติ แล้วจะไม่ให้เธอเป็นหญิงสาวที่ขโมยหัวใจของใครต่อใครได้ยังไงกันหละ?

หัวหน้าของชาวมูริมเป็นตําแหน่งที่ศักดิ์สิทธิ์ ความจริงที่ว่าผู้คนบนโลกใบนี้นั้นมองว่าซอลจองยอนเป็นดาราทําให้ชาวมูริมอาวุโสบางคนถึงกับควันออกมาหูด้วยความโกรธ

ถ้าหากว่ามันเป็นก่อนหน้านี้หละก็ พวกอาวุโสเหล่านี้คงไม่ลังเลใจที่จะฆ่าคนพวกนี้เลยด้วยนิสัยที่เย่อหยิ่งของพวกเขา แต่ด้วยที่นี่นั้นเป็นโลกในยุคปัจจุบันและพวกเราก็ต้องอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไป ดังนั้นผู้อาวุโสเหล่านี้จึงได้แต่อดทนเอาไว้อย่างไม่มีทางเลือก พวกเขาไม่ได้เป็นชาวมูริมที่โลกใบโน้นอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นชาวมูริมยุคปัจจุบัน

“ไปกันเถอะ”

ในขณะที่ซอลจองยอนพูดออกมาด้วยสายตาที่เหนื่อยล้าของเธอ ซินฮเยจีก็ได้ผงกหัวของเธอ

ด้วยการที่เธอเป็นคนที่รู้จักกฏของโลกในยุคสมัยใหม่ดีกว่าทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ เธอเลยได้ติดตามซอลจองยอนภายใต้คําสั่งของฟังซงโฮ เธอได้ทํางานด้วยการเป็นเลขาของกิลด์พันธมิตรมูริม และเธอก็ได้เชื่อฟังคําพูดของซอลจองยอนโดยสมบูรณ์ เธอได้แสดงออกถึงจิตใจที่แน่วแน่ออกมาว่าถ้าหากว่าซอลจองยอนต้องการที่จะให้เธอฆ่าตัวตายเมื่อไหรก็ตามเธอจะทํามัน

“พวกเขามาที่นี่ก็เพราะว่าพวกเขาชอบฉัน…”

ที่ด้านนอกหน้าต่าง มีคนบางส่วนที่ได้ถือแบรนเนอร์ที่มีรูปหน้าของซอลจองยอนอยู่ บางคนก็แม้แต่กร็ดร้องออกมาเพื่อที่จะทําให้ขอลจองยอนมองมาที่พวกเขา

ผู้คนเหล่านี้ปกติแล้วก็เป็นพวก “แฟนคลับสายฮาร์ดคอร์

“ถ้าหากว่ายุทธภพจุงวอนแยกตัวออกมาเป็นอิสระ พวกเราก็จะไม่ต้องเห็นพวกเขาอีกต่อไป…”

โชคไม่ดีเลย ที่เหล่าผู้คนชาวมูริต่างกระจัดกระจายตัวไปโดยรอบโลกใบนี้เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะรวมตัวกันได้และก็ไม่มีที่ให้พวกเขาได้มารวมตัวกัน

มันคือความเป็นจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาได้แต่ยอมรับมันและใช้ชีวิตอยู่ต่อไป

และในทันใดนั้นเอง

“ท่านปรมาจารย์ครับ มีแขกมาเข้าพบครับ”

“ใครกัน?”

“เป็นฮันเตอร์ยูซอดัมครับ”

“…! ให้เขาเข้ามา”

ยูซอดัมเป็นคนที่ได้นั่งอยู่ในตําแหน่งของที่ปรึกษาทางการทหารให้กับกิลด์พันธมิตรมริม เขามีอํานาจที่จะเข้าร่วมไม่ว่าจะเป็นการประชุมใดๆก็ตาม อย่างไรก็ตามก่อนที่เหล่าผู้อาวุโสจะได้ตอบสนองใดๆ ซอลจองยอนก็ได้ปล่อยให้เขาเข้ามาแล้วหลังจากที่ได้ยินชื่อของเขา มันเป็นการกระทําที่หยาบคายต่อเหล่าผู้อาวุโสและพวกเขาก็ได้แสดงออกถึงความไม่ชอบใจออกมา ซอลจองยอนก็ได้แสดงสีหน้าที่เป็นอายออกมาเช่นกัน

เธอรู้ว่าเธอทําพลาดไป

ยูซอดัมที่ได้เดินผ่านประตูเข้ามา สังเกตเห็นได้ว่าคนที่อยู่ในหอประชุมขนาดใหญ่นี้กําลังมองมาที่เขาด้วยใบหน้าที่บูดบึงอยู่

“พวกเขาเป็นอะไรกันนะ?”

ซอลจองยอนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงในขณะเดียวกันก็กุมขมับของเธอ

“วันนี้ก็จบแค่นี้แหละ เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายเชิญกลับ”

“ได้ยังไงกัน พวกเรายังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องการเข้าร่วมรอยแยกลึกลับแรงค์ SS ที่กําลังจะมาถึงเลยนะครับ และ ยังเรื่องการปราบมอนสเตอร์แรงค์ SS อีก”

“คุณจัดการเรื่องนั้นเลย”

“ครับ? ได้ครับ!”

ซอลจองยอนที่ดูเหมือนว่าจะอยู่ในอารมณ์ไม่ดีจากอะไรก็ไม่ทราบ ทําให้พลังคิของเธอได้ค่อยๆปกคลุมไปทั่วทั้งหอประชุม เหล่าผู้อาวุโสต่างมองหน้ากันและเดินออกไปจากหอประชุม แต่ชินฮเยจีก็ยังอยู่ติดกับซอลจองยอนเช่นเดิมด้วยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ

ซอลจองยอนพูดกับเธอ

“เธอเหนื่อยมามากแล้ว ไปพักสักหน่อยเถอะ”

“ขอบคุณค่ะ”

ในที่สุด เมื่อทุกคนได้ออกไปจากหอประชุมแห่งนี้แล้วและมีเพียงแค่พวกเขาสองคนที่เหลืออยู่ยูซอดัมก็ได้ถอนหายใจออกมาในขณะเดียวกันก็ลอบมองไปที่เธอ

“ด้วยสายตาแบบนั้นของเธอ เธอพยายามที่จะฆ่าคนหรือไง…”

“ฟูว…เดิมที่มันก็เป็นอย่างนี้แหละ นอกจากนี้แล้วนายมาที่นี่ทําไมกัน?”

อารมณ์ของซอลจองยอนเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด เธอยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและพูดกับเขา ยูซอดัมที่นั่งลงตรงข้ามเธอ

“ฉันได้ยินมากว่ามันมีปัญหาหลายอย่างเลยนเกี่ยวกับการแยกตัวเป็นอิสระของยุทธภพจุงวอน”

“…ใช่แล้ว”

การแสดงออกของซอลจองยอนชะงักไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตามยูซอดัมไม่ได้สังเกตุเห็นมันและพูดต่อไป

“ฉันคิดว่าฉันสามารถช่วยเธอได้นะ บางทีฉันน่าจะสามารถหาที่ที่มีสภาพแวดล้อมคล้ายกับยุทธภพจุงวอนให้กับเธอได้”

“มันมีที่แบบนั้นบนโลกนี้ด้วยหรือไง?”

“ใช่แล้วหละ แต่ว่ามันก็ไม่ได้มีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ซะทีเดียว มันเป็นในต่างโลกนะ”

“หืม?”

ซอลจองยอนแสดงออกมาราวกับว่าบอกให้เขาขยายความต่อ ยูซอดัมก็ได้อธิบายให้เธอฟัง

“มันมีโลกใบเล็กๆที่อยู่เหนือมิติแห่งนี้และมันก็ตั้งอยู่ในมิติซ่อนเร้นระหว่างโลกใบนี้ ชาวโลกจะไม่สามารถมองเห็นมันและจดจํามันได้”

“เยี่ยม…เอาเป็นสมมุตินะว่ามันยังมีที่แบบนั้นอยู่และมันก็มีพื้นที่ที่ใหญ่เป็นอย่างมาก เป็นสถานที่ซึ่งไม่มีใครสักคนสามารถจะค้นพบมันได้และฉันสามารถจะไปที่ฉันแล้วสร้างประตูขึ้นมาได้ มันเจ๋งเลยใช่ไหมหละ? เธอว่าดีมะ?”

“ฉันชอบมันนะ”

ซอลจองยอนเข้าใจไม่ถึงครึ่งของสิ่งที่เขาพูดเลย อย่างไรก็ตาม ท่าทางของยูขอดัมที่กําลังอธิบายออกมาอย่างกระตือรือร้นในขณะที่ทําไม้ทํามือไปในอากาศเป็นสิ่งที่เธอสนใจและดูน่ารัก ซอลจองยอนฟังคําอธิบายของเขาอย่างเงียบๆพร้อมกับชอนมือไว้ที่คางของตัวเอง

“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ไว้ฉันจะโชว์ให้เธอดูในเร็วๆนี้นะ มันน่าจะเป็นไปได้ถ้าหากว่าเราวางทางออกเอาไว้หลายๆทาง ชาวมูริมจากทั่วทุกมุมโลกก็คงสามารถที่จะมารวมตัวกันได้ในเวลาเดียวกัน”

“…ช่ายย ขอบคุณนายมากเลยนะ”

ซอลจองยอนรู้สึกขอบคุณซอดัมด้วยใจจริงกับสิ่งต่างๆที่เขาได้คิดเผื่อเอาไว้ให้กับเธอแม้ว่าเธอจะไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดจริงๆ ยังไงซะสิ่งที่เธอสามารถที่จะเข้าใจได้จากคําพูดของเขาก็คือเขาจะมอบพื้นที่ให้กับชาวมูริมให้ได้ทําสิ่งต่างๆได้อย่างอิสระ

ด้วยสิ่งนี้ อย่างน้อยที่สุดชาวมูริมน่าจะสามารถกู้คืนความเชื่อมั่นในตัวเองกลับคืนมาได้และทํางานได้อย่างอิสระดังเช่นก่อนหน้านี้

แน่นอนว่า ยูซอดัมยังไม่ได้พบพื้นที่ที่จะให้พันธมิตรมริมใช้ได้จริงๆหรอก ดังนั้นเขาเลยอยากที่จะพาซอลจองยอนไปด้วยและค้นหาพื้นที่ที่สามารถใช้งานได้

ตามคําพูดของระบบ มันค่อนข้างที่จะมีมิติที่ตายแล้วอยู่เป็นจํานวนมากบนโลกมนุษย์

พันธมิตรมริมก็เป็นขุมกําลังส่วนหนึ่งของตัวยูซอดัมเองเช่นกัน ดังนั้นมันจะเป็นเรื่องที่ ยอดเยี่ยมเลยหากว่าเขาสามารถที่จะช่วยให้คนพวกนี้สามารถทํางานอย่างอิสระได้

หลังจากเรื่องนั้น ยูซอดัมก็ได้ขยายความเกี่ยวกับเรื่องพื้นที่แห่งใหม่ที่จะถูกใช้โดย ชาวมูริมและหลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง พวกเขาทั้งคู่ก็ได้หยุดพูดลงพร้อมกัน

หลังจากความเงียบเข้าปกคลุมอยู่สักพักหนึ่ง ซอลจองยอนก็ได้พูดขึ้น

“แล้ว นายมีเรื่องอื่นที่จะพูดอีกไหม?”

“หืม? เกี่ยวกับเรื่องคําร้องการปราบปรามมอนสเตอร์…”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น”

“อืมมม…สําหรับเรื่องการสร้างศิลปะการต่อสู้ขึ้นมาใหม่ในสังคมยุคปัจจุบันนั้น…”

“ไม่ใช่เรื่องนี้”

“ อากาศวันนี้เป็นยังไง?”

“อันนั้นก็ไม่ใช่”

ซอลจองยอนลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอและค่อยๆเข้าหายูซอดัมอย่างช้าๆ แล้วค่อยกวาดของที่อยู่บนโต๊ะออกไป แล้วจากนั้นเธอก็วางมือของตนเองลงบนที่อกของเขาและบีบหน้าของเขา ยูซอดัมกลืนน้ำลายลงไปเมื่อใบหน้าของเธออยู่ห่างเพียงแค่ระยะที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจของเธอ

“นายมองเห็นว่าฉันเป็นเพียงแค่ผู้นําของชาวมูริมหรือไง?”

“อ้า ไม่อยู่แล้ว”

“ฉันโยนชื่อของชอนมาทิ้งไปก็เพราะนาย แล้วที่ฉันมานําพันธมิตรมูริมก็เพื่อประโยชน์ของนาย ไม่ใช่เพื่อพวกเขา ฉันดีใจมากนะกับความช่วยเหลือทั้งหมดที่นายได้ทําให้กับชาวมูริม”

ซอลจองยอนพาดขาของเธอลงบนตักของเขา เธอเป็นหญิงสาวที่ตัวเล็กน่ารัก ยูซอดัมไม่สามารถที่จะสัมผัสน้ําหนักใดๆจากเธอได้เลย

“มันนานแล้วนะที่พวกไม่ได้เจอกัน และนายก็เอาแต่พูดเรื่องงาน อย่างน้อยที่สุดในตอนที่พูดเรื่องพวกนั้นจบแล้ว ทําไมถึงไม่พูดเรื่องส่วนตัวกันบางหละ? นายนี่เป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักสถานการณ์อะไรเช่นนี้”

“..ขอโทษ”

“นายแน่ใจนะว่านายขอโทษจริงๆ ?”

แล้วซอลจองยอนก็ยิ้มออกมาอย่างสดใสและคล้องคอของเขา

ซอลจองยอนเป็นคนๆหนึ่งที่มักจะมีสีหน้าที่เย็นชาเสมอไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็ตาม อย่างไรก็ดี มันไม่ได้เป็นตัวตนที่แท้จริงของซอลจองยอน ความเย็นชา,ความดุร้าย,ความหนักหน่วง และความมืดมนที่เธอได้แสดงออกมาก็ไม่ถือว่า

เป็นอะไรเลยนอกไปจากเปลือกนอกของเธอ

มันเป็นหน้าที่ของผู้ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในพันธมิตรมริมที่จะต้องรักษาบรรยากาศที่เยือกเย็นและหนักแน่นเอาไว้ เพราะว่าการที่ทําแบบนั้น นิกายของผู้นํามูริมก็จะได้ไม่โดนดูถูกเอา

แต่เมื่อเธอมายังที่ที่เธอสามารถที่จะโยนทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเปลือกนอกพวกนั้นทิ้งไปได้ ที่ที่เธอจะไม่ต้องสนใจเกี่ยวกับสายตาของใครก็ตามที่มองมาที่เธอ

“เมื่อไหรก็ตามที่ฉันอยู่กับนาย ฉันไม่ใช่ปรมาจารย์ของมูริมหรอกนะ”

“ฉันก็แค่ซอลจองยอน คนที่เหงาที่สุดเลยต่างหาก”

เธอสามารถที่จะโยนเปลือกพวกนั้นทิ้งไปทั้งหมดได้ตลอดเวลาที่มีเขาอยู่