บทที่ 268 ตัวปัญหา

บทที่ 268 ตัวปัญหา

“ยามนี้พวกผู้อพยพลี้ภัยนอกเมืองรู้สึกเป็นยังไงกันบ้าง?” ผู้ปกครองเทศมณฑลกัวเอ่ยถาม

เขาทราบดีว่านอกเมืองมีผู้อพยพลี้ภัยมารวมตัวกันอยู่ และเขาเป็นคนออกคำสั่งให้ปิดประตูเมืองอย่างแน่นหนาด้วยตนเอง เขาไม่อนุญาตให้ผู้อพยพเหล่านั้นเข้าเมือง จนอาจเป็นสาเหตุของการทำลาย ‘ความมั่นคงและความสงบ’ ภายในเมืองได้

แท้จริงแล้วหลายคนในเมืองทราบดีว่านอกเมืองมีกลุ่มผู้ลี้ภัยมาตั้งค่ายกันอยู่ พวกเขาต่างก็เป็นกังวล ในขณะที่ผู้ปกครองเทศมณฑลกัววางตัวนิ่งเฉย บรรดาผู้คนที่อยู่อาศัยในเมืองกลับไม่อาจสงบลงได้ ทว่ากัวจื่อหมิงหาได้ทราบความคิดของผู้คนไม่ เขาคิดว่าการปกครองเทศมณฑลของตนเอง เพียงยึดมั่นอาศัยความรู้สึกของตนเองก็พอแล้ว สถานการณ์แท้จริงเป็นอย่างไรก็ช่างมัน

“ท่าทีของพวกเขาค่อนข้างมั่นคงแล้วขอรับ เหตุการณ์บุกโจมตีประตูเมืองก่อนหน้า ในช่วงนี้คงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว” พ่อบ้านกล่าวตอบกลับมา

“เหอะ พวกคนป่าเถื่อน! หากพวกเราไม่แสดงอำนาจให้พวกมันเห็น พวกมันก็คงไม่ทราบว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นไร!” ผู้ปกครองเทศมณฑลกัวตอบด้วยเสียงเย็นชา

“แต่นอกเมืองก็มีอะไรให้ใช้ทานได้น้อยอยู่แล้ว ยามนี้ยังมีคนหิวโซจนอดตายเพิ่มขึ้นทุกวันขอรับ” พ่อบ้านกล่าวกระซิบบอก

“กลุ่มคนขอทานเหล่านี้ ทำได้ก็เพียงเป็นตัวปัญหา คงต้องทำให้ตายแล้วค่อยสะสาง” ผู้ปกครองเทศมณฑลกัวกล่าวอย่างเฉยชา

แม้ผู้อพยพเหล่านั้นจะไม่บุกโจมตีประตูเมืองอีก แต่ทุกวันก็จะต้องคอยสกัดเอาไว้นอกเมือง กัวจื่อหมิงค่อนข้างรำคาญ ใจของเขาปรารถนาที่จะให้ผู้อพยพเหล่านั้นหิวจนอดตายไปเสียให้สิ้น! มีแต่ทำเช่นนั้นเมืองจึงจะสามารถกลับมาสงบและมั่นคงดังเดิม

ในความเห็นของกัวจื่อหมิง การที่เขาไม่ได้ส่งกองทัพออกไปกวาดล้างผู้อพยพเหล่านั้น แค่นี้ก็ควรสำนึกขอบคุณเขาแล้ว

“ขอรับ คนเหล่านั้นมีชีวิตหรือว่าไม่มี ตายไปก็ไม่ได้น่าเสียดายอันใด” พ่อบ้านขานคำตอบรับ “แต่ข้าได้ยินมาว่าคนของหนานเจี๋ยอู๋รับผู้อพยพเหล่านั้นไปบางส่วน พวกเขาน่าจะถูกนำตัวไปราวสองหรือสามร้อยคนได้แล้วขอรับ”

“หนานเจี๋ยอู๋?” กัวจื่อหมิงชะงักงันไปเล็กน้อย

“อู๋ฝานที่เพิ่งได้เป็นหนานเจี๋ยเมื่อไม่นานมานี้ขอรับ” พ่อบ้านกล่าวบอกด้วยเสียงเบา

“เขางั้นหรือ? เหตุใดเขาจึงเกณฑ์ผู้ลี้ภัยไป? คิดว่าครอบครัวตัวเองมีอาหารมากเกินไปหรือไง? หรือคิดไม่ซื่ออันใดกันแน่?” กัวจื่อหมิงขมวดคิ้ว

ในใจของกัวจื่อหมิง เทศมณฑลชิงหยวนเป็นของเขา ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถสั่นคลอนอำนาจการปกครองของเขาได้ แต่เมื่อมีหนานเจี๋ยขึ้นในพื้นที่ของตน กัวจื่อหมิงก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ตอนนี้ที่ได้ยินว่าอู๋ฝานถึงขั้นเกณฑ์ผู้ลี้ภัยจำนวนมากไป เขาย่อมมีความคิดเห็นในแง่ร้าย

โดยเฉพาะกับช่วงนี้ที่กองทัพกบฏกำลังอาละวาด หรืออู๋ฝานก็คิดกบฏเช่นเดียวกัน?

คิดได้ดังนั้น กัวจื่อหมิงก็ทั้งตื่นเต้นและร้อนรนขึ้นมา

หากอู๋ฝานกบฏ และเขาสามารถปราบปรามลงได้ เช่นนั้นก็คือความดีความชอบ เขาอาจได้เลื่อนขั้นสักหนึ่งหรือสองขั้น แต่เพียงแค่นั้นก็มากพอจะทำให้เขาตื่นเต้นยินดีแล้ว

แต่ตัวเขาไม่เคยออกนำกำลังทหารออกไปสู้รบมาก่อน หากต้องเผชิญหน้ากับกองทัพกบฏเขาเองก็ลนลานไม่ใช่น้อย

“อาจไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ” พ่อบ้านปฏิเสธข้อสันนิษฐานของกัวจื่อหมิง “เขารับผู้อพยพลี้ภัยเหล่านั้นไปยังหมู่บ้านเร้นลับ อย่างไรเขาก็เป็นหนานเจี๋ยและสามารถจัดตั้งกองทัพส่วนตัวได้ อีกทั้งองค์เหนือหัวยังได้ออกพระราชโองการให้ทุกเมืองและหมู่บ้านจัดตั้งหน่วยรักษาการณ์ของตนเองขึ้นมา นายท่านน่าจะพอทราบสถานการณ์ทางด้านหมู่บ้านเร้นลับ ที่นั่นมีคนไม่มาก หากต้องการจัดตั้งหน่วยรักษาการณ์ ก็จำเป็นต้องหาคนนอกมาเป็นกำลังเสริมขอรับ”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” กัวจื่อหมิงทั้งโล่งอกและนึกเสียดาย “ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล ดีเสียอีกที่เอาพวกมันไปบ้าง สมควรเอาไปให้หมดเลยเสียด้วยซ้ำ ช่วยตัวปัญหาเหล่านั้นที่ขวางทางเข้าออกเมืองไปให้หมด ไม่ว่าใครมองต่างก็รู้สึกขวางหูขวางตากันทั้งนั้น”

เดิมกัวจื่อหมิงไม่อยากเห็นผู้อพยพเหล่านั้น มันไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่ผู้ปกครองที่ดีควรมีติดตัว ผู้อพยพจำนวนมากที่รายล้อมเทศมณฑลที่เขาปกครอง ไม่ใช่หมายความถึงความสามารถทางการปกครองของตัวเขาบกพร่องหรอกหรือ?

เขาไม่คิดให้คนเหล่านั้นได้เข้ามายังเทศมณฑล ในความเห็นของกัวจื่อหมิง กลุ่มคนเหล่านั้นเป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอน อีกทั้งหากปล่อยให้เข้าเมืองมา แล้วเกิดพวกเขาลุกขึ้นต่อต้าน จะกลายเป็นการทำให้ทั้งเมืองเสียหาย ดังนั้นเขาจึงกังวลอยู่ว่าจะจัดการกับพวกผู้อพยพเหล่านั้นอย่างไรดี กระทั่งคิดว่าจะหาโอกาสในยามราตรีกำจัดทิ้งเสียให้หมดด้วยซ้ำไป

ตอนนี้อู๋ฝานอ้าแขนต้อนรับพวกเขาไปบ้าง ย่อมถือเป็นเรื่องดี

“ขอรับนายท่าน” พ่อบ้านพยักหน้ารับ

“สถานการณ์ของพวกกองทัพกบฏเล่า?” กัวจื่อหมิงเอ่ยถาม

“ไม่ทราบเลยว่ายามนี้พวกมันหลบหนีไปที่ใดขอรับ” พ่อบ้านตอบ “แต่นายท่านไม่ต้องเป็นกังวลขอรับ ประตูเทศมณฑลของพวกเราปิดแน่น พวกทัพกบฏไม่มีทางบุกเข้ามายังเมืองแห่งนี้ได้ ดังนั้นที่นี่จึงปลอดภัยขอรับ”

“ดี แต่อย่าได้คลายความระมัดระวัง เพิ่มกำลังป้องกันรอบเมืองให้ดี อย่าให้พวกกองทัพกบฏพบเห็นโอกาสจนบุกเข้ามา” กัวจื่อหมิงตอบ

กัวจื่อหมิงไม่สนใจเรื่องการปราบปรามกองทัพกบฏ ในความเห็นของเขา มันเป็นเรื่องที่กองทัพประจำการต้องจัดการ ไม่ใช่อะไรที่ผู้ปกครองเทศมณฑลเช่นเขาจะไปยุ่งเกี่ยว เขาเพียงแค่ปกครองเทศมณฑลชิงหยวนให้ดีก็พอ ส่วนเรื่องจัดการโจรร้าย ก็ถือเป็นหน้าที่ของกองทัพไป

ดังนั้นกัวจื่อหมิงจึงทำเพียงแค่เสริมกำลังป้องกันเทศมณฑลให้รัดกุมมากขึ้น ไม่มีเจตนาจะเป็นฝ่ายออกไปรุกไล่ เขาไม่คิดว่ากองทัพกบฏจะมีกำลังมากพอบุกโจมตีเทศมณฑล ดังนั้นจึงไม่เก็บมากังวลใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

ส่วนสถานการณ์ของเมืองและหมู่บ้านภายใต้การปกครอง ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องกังวล เมืองและหมู่บ้านเหล่านั้นอย่างไรก็มีแต่โคลนตม มีเพียงแต่ชนชั้นล่าง เป็นหรือตายล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ อย่างไรยามนี้กองทัพกบฏก็ปรากฏตัวไปทั่วทุกแห่ง หากที่นี่จะมีก็ต้องปล่อยให้มี ไม่ว่าจะทำให้เกิดผู้เสียชีวิตมากมายเพียงใด ในเมืองหรือหมู่บ้านเหล่านั้น ทางฝ่ายปกครองเบื้องบนก็ไม่อาจกล่าวโทษพวกเขาได้ กระทั่งว่าจะใช้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกล่าวโทษเหล่าขุนพลเสียด้วยซ้ำ สุดท้ายมันจะยิ่งทำให้กองทัพกบฏมีท่าทีรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนนำพาความเดือดร้อนไปสู่เมืองและหมู่บ้านทั้งหลาย

เพราะมันเป็นโอกาสดีที่ขุนนางฝ่ายปกครองจะใช้เล่นงานอีกฝ่าย

“ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง!” กัวจื่อหมิงเอ่ยขึ้นมา “วันที่ห้าของเดือนถัดไป เป็นวันพระราชสมภพขององค์หญิงเจ็ดที่จักรพรรดิทรงโปรดปรานมากที่สุด พวกเราต้องจัดเตรียมของขวัญล้ำค่าไว้ให้พร้อม”

องค์หญิงเจ็ดแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง เจ้าฉี คือองค์หญิงที่จักรพรรดิโปรดปรานที่สุดอย่างไร้ข้อกังขา!

เป็นที่ทราบกันดีว่าจักรพรรดิชราไม่ค่อยชอบเหล่าบุตรชายสักเท่าใดนัก เพราะกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการกำหนดตัวผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ทว่าองค์หญิงเจ็ดเจ้าฉีคือบุตรีผู้ที่จักรพรรดิรักและโปรดปรานที่สุด เรื่องนี้ต่างก็ทราบโดยทั่วกัน และเดือนถัดไปก็คือวันเกิดครบรอบสิบแปดปีขององค์หญิงเจ็ดเจ้าฉี แม้จักรพรรดิจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่เหล่าขุนนางก็จะต้องจัดเตรียมของขวัญเพื่อมอบให้แก่องค์หญิง เพื่อเป็นการแสดงความยินดี

เด็กผู้หญิงจะถูกนับว่าเป็นผู้ใหญ่ตอนอายุสิบห้าปี ตอนนั้นจึงจะสามารถแต่งงานได้ เดือนถัดไปองค์หญิงเจ็ดจะมีอายุสิบแปดปีแล้ว แต่เรื่องความรักยังว่างเว้น ไม่ได้มีการหมั้นหมายกับผู้ใด ดังนั้นจึงยังไม่ได้จัดงานแต่งงาน หากเป็นคนทั่วไป ก็ถือได้ว่าเป็นหญิงมีอายุพอสมควร และคงมีข่าวลือเสียหายไปนานแล้ว

แต่องค์หญิงเจ็ดแตกต่างไปจากผู้อื่น จักรพรรดิทรงโปรดปรานอีกฝ่ายมาก ทั้งองค์หญิงเจ็ดก็ไม่ต้องการแต่งงาน จักรพรรดิชราเองก็ไม่ได้บีบบังคับใด ทว่าก็นึกเสียดายอยู่บ้างที่ไม่อาจจัดงานแต่งให้องค์หญิงเจ็ดได้ ด้วยตัวตนขององค์หญิงเจ็ดและความโปรดปรานของจักรพรรดิ อย่าได้กล่าวถึงอายุสิบแปด ต่อให้ล่วงเลยจนถึงยี่สิบแล้วก็คงยังไม่ได้แต่งงาน นั่นเพราะไม่มีใครหาญกล้าที่จะเอื้อนเอ่ยคำนั้นออกมา