บทที่ 216 หากนางตาย พวกเจ้าจะต้องตายก่อน

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 216 หากนางตาย พวกเจ้าจะต้องตายก่อน

“เยาเยา….” เย่แจ๋หยิ่งเรียกนางอย่างนุ่มนวล มองดูนางที่ร้องไห้ไปหัวเราะไป เขาก็ถึงกลับกลืนน้ำไหล ดวงตาก็ขุ่นมัวขึ้นมา

แต่สุดท้ายเขาก็หันหลังเดินจากไป

ทันใดนั้น !

ในขณะที่เย่แจ๋หยิ่งกำลังจะไป ก็มีมือหนึ่งจับแขนรั้งเขาไว้อย่างเบาๆ แล้วเสียงเรียบเฉยก็ดังแทรกขึ้นมา

“น้ำปรโลกอยู่หนใด? ”

“จุดลึกสุดของป่าทึบ”

สิ่งที่นางถาม ขอเพียงเขารู้ เขาไม่มีทางปิดบังมันเอาไว้

จุดลึกสุดของป่าทึบ?

ใช่น้ำสีฟ้าอ่อนที่อยู่ในบ่อยาหรือไม่?

หลานเยาเยาราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง

จากนั้นจึงปล่อยแขนของเขา แล้วเดินไปหยิบเอาถ้วยหนึ่งใบมาวางบนโต๊ะ

“สิ่งที่ท่านกล่าวถึงใช่สิ่งนี้หรือไม่? ”

ในตอนที่เย่แจ๋หยิ่งหันหน้ากลับไป ก็เห็นหลานเยาเยากำลังเทน้ำยาสีฟ้าอ่อนลงบนถ้วย เขาถึงกับรู้สึกประหลาดใจ

“ใช่ น้ำปรโลก!”

เขาคิดว่าน้ำปรโลกถูกเก็บไว้ในป่าทึบเสียแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในเวลานั้นหลานเยาเยาจะเก็บเอาน้ำปรโลกไว้แล้ว

ในเมื่อนางมีน้ำปรโลกแล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใดแล้ว

“ถ้าหากอ๋องเย่ไม่ถือสาที่ข้าเคยใช้น้ำปรโลกอาบตัวมาแล้ว ท่านก็ดื่มเสียเถอะ! รอให้ข้าหาดอกกระดูกขาวพบแล้ว พวกเราสองคนก็จะได้ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีก”

ในตอนที่อยู่ในป่าทึบ นางตกลงไปในบ่อยา ดังนั้นก็นับว่าได้ใช้น้ำปรโลกอาบตัวแล้ว !

เย่แจ๋หยิ่งไม่ได้กล่าวสิ่งใด แล้วก็หยิบถ้วยยานั้นขึ้นมาดื่มจนหมด จากนั้นก็มองไปยังหลานเยาเยาอย่างใจจดจ่อ ก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของนาง

แต่สุดท้ายพอเอื้อมมือไปถึงครึ่งเขาก็วางมือลง

” เหตุใดเจ้าถึงไม่ถามถึงความสัมพันธ์ของราชครูกับข้าเล่า? ”

“มันไม่ได้สำคัญอีกแล้ว มิใช่หรือ?”

จะรู้หรือไม่รู้แล้วมันจะมีประโยชน์อันใด?

หลังจากเข้าไปในหุบเขาจิ้นแล้วจะมีชีวิตรอดออกมาได้หรือไม่นางก็ยังไม่รู้เลย แต่สิ่งที่นางรู้ก็คือต่อให้มีชีวิตรอดออกมาได้ พวกเขาทั้งสองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดอีกแล้ว

” เยาเยา จากนี้ไปเจ้าจะต้องมีชีวิตรอดที่ดี”

” อ๋องเย่วางใจ ข้าหลานเยาเยาคนนี้เป็นคนรักชีวิต ไม่มีทางยอมละทิ้งความหวังอันน้อยนิดได้ สิ่งนี้ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป ”

สายตาที่ดูห่างเหินของหลานเยาเยา แววตาของเย่แจ๋หยิ่งก็ฉายแววความเศร้าใจขึ้นมา

หลังจากที่เขาจากไป หลานเยาเยาก็เจาะเลือดของตัวเองไว้ถุงหนึ่ง ก่อนจะวางเอาไว้อย่างดี

ทั้งคืนนั้นนางไม่ได้พักผ่อนเลย เพราะเอาแต่ศึกษาเนื้อหาบนกระดาษของหนังสือทำเนียบบรรพชนแผ่นนั้นอย่างละเอียด

ค่ำคืนนี้ของชนเผ่าหยินไห่ นั้นเป็นค่ำคืนแห่งการไม่นอนหลับ เพราะผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามทำการค้นหาทั้งคืน ชาวเผ่าเองก็ถือทั้งคบเพลิงและตะเกียงในการส่องแสงช่วยกันตามหาผู้อาวุโสใหญ่

แต่สุดท้ายแล้วแม้แต่เงาก็ยังหาไม่พบ

ผู้อาวุโสรองใช้เท้าข้างหนึ่งเตะก้อนหินพลางบ่นด้วยความโมโห

“จะต้องเป็นพวกเขาที่พาผู้อาวุโสใหญ่ไปซ่อนเป็นแน่”

ผู้อาวุโสสามก็ยิ้มออกมาพร้อมกับส่ายหน้า

“ซ่อน?พวกเขาจะเอาไปซ่อนไว้แห่งใดกัน?พวกเขาล้วนเป็นคนนอกถิ่น มีหรือที่จะเข้าใจพื้นที่และสถานการณ์ในชนเผ่ามากกว่าพวกเรา?ไม่ว่าผู้อาวุโสใหญ่จะถูกพวกเขาลักพาตัวไปหรือไม่ แค่เพียงพวกเขาเข้ามาในชนเผ่า ก็อย่าคิดที่จะมีชีวิตรอดออกไปได้ อีกทั้งผู้ใดให้พวกเขามาเจอสถานการณ์เช่นนี้อีก”

ทันใดนั้นผู้อาวุโสรองก็ได้พยักหน้า

เพราะในตอนที่อยู่ในห้องของหลานเยาเยา เขาก็มองเห็นผู้อาวุโสสามมอบกระดาษของหนังสือทำเนียบบรรพชนให้กับหลานเยาเยา จึงรู้ได้เลยว่าผู้อาวุโสสามได้เริ่มแผนการแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าความคิดของพวกเขาจะเหมือนกันตรงที่อยากจะหลอกล่อให้พวกเขาเข้าไปในหุบเขาจิ้น

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงไม่วางใจ

“แล้วหากพวกเขาไม่ไปเล่า?”

เนื้อหาบนกระดาษแผ่นนั้น นอกจากจะสามารถเข้าใจเพียงเรื่องของหุบเขาจิ้น คนโดนมนต์ดำ และดอกกระดูกขาวแล้ว สิ่งอื่นๆพวกเขาไม่มีทางเข้าใจแน่นอน

” ไม่ไป พวกเขาก็ไม่มีทางจะได้เห็นแสงอาทิตย์ในวันมะรืนอยู่ดี ”

“หมายความว่าอันใด?”

“ผู้อาวุโสใหญ่หายตัวไป ส่วนหนึ่งของหนังสือทำเนียบบรรพชนอยู่ในมือของพวกเขา หนังสือทำเนียบบรรพชนถือว่าเป็นสิ่งของล้ำค่าของชนเผ่า พวกเขาลักพาตัวผู้อาวุโสใหญ่ทั้งยังขโมยหนังสือทำเนียบบรรพชน ทั้งยังต้องการที่จะนำตราหยกของราชวงศ์เก่าออกไปอีก เพียงนำสิ่งเหล่านี้ใส่ความให้กับพวกเขา ก็นับว่าเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาตายได้แล้ว ”

ผู้อาวุโสสามลูบเคราของตัวเองเบาๆ แววตาฉายแววความเจ้าเล่ห์ดั่งยาพิษ

” ชั้นสูง นับเป็นวิธีการชั้นสูงจริงๆ ”

จากนั้นก็เห็นมีคนในชนเผ่าวิ่งเข้ามายังพวกเขา พวกเขาจึงหยุดสิ่งที่เพิ่งคุยกันเมื่อสักครู่นี้

” เรียนผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสาม สักครู่นี้มีคนเห็นเงาคนกำลังแบกถุงห่อใบใหญ่ออกจากชนเผ่าไปแล้วขอรับ ” ชาวเผ่าผู้นั้นกล่าวรายงาน

” ว่าอย่างไรนะ? จะต้องเป็นคนที่ลักพาตัวผู้อาวุโสใหญ่ไปเป็นแน่ พวกที่มาที่นี่เพื่อตราหยกของราชวงศ์เก่านั่น มีหรือที่เรื่องอะไรพวกเขาจะทำไม่ได้”

“รีบตามไป!”

กล่าวจบ ผู้อาวุโสทั้งสองก็พาชาวเผ่าตามไปยังประตูใหญ่

แต่มีบางสิ่งที่พวกเขาไม่รู้นั้นก็คือ ในขณะที่พวกเขาวิ่งไป ฮัวหยู่อันที่ปิดปากด้วยน้ำตาที่นองหน้า แววตาเต็มไปด้วยความตกใจ รีบวิ่งแยกทางออกไป

หลังจากผ่านไปเกือบชั่วยาม

เย่แจ๋หยิ่งที่เปลี่ยนชุดเป็นชุดดำทั้งตัว ท่าทางของเขาทั้งดุดัน อีกทั้งยิ่งทำให้ผู้อื่นไม่กล้าที่เข้าใกล้ ตอนนี้เขายืนอย่างเงียบๆอยู่บนหลังคา สายตาจ้องมองไปยังดวงจันทร์ข้ามแรมบนท้องฟ้าด้วยแววตาที่ลึกลับและเย็นชา

ในไม่ช้า ก็มีการเคลื่อนไหวในอากาศ พร้อมเงาดำบินเข้ามา พลันหยุดลงคุกเข่าข้างหนึ่งมือประสานทำความเคารพตรงหน้าของเขา

” ท่านชาย ตอนนี้ได้ทำการล่อความสนใจของชาวเผ่าให้ออกไปด้านนอกแล้ว ”

คนที่กำลังพูดอยู่นั้นก็คือจื่อเฟิง ซึ่งในเวลานี้อาการบาดเจ็บของเขาก็เกือบหายเป็นปกติแล้ว

“อืม!”

ในไม่ช้าจื่อซีก็บินตามมา

จื่อซีตรงไปด้านหน้า หวังจะกล่าวบางอย่างแต่กลับถูกจื่อเฟิงห้ามเอาไว้ จากนั้นทั้งสองก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองดูท่านชายที่กำลังเหม่อลอย

เป็นเวลานานแล้วที่ท่านชายไม่ได้มีท่าทางเช่นนี้

จื่อซีจึงรู้สึกกังวล

หลังจากผ่านไปสักระยะ เย่แจ๋หยิ่งที่นิ่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยปากออกมาอย่างเรียบๆ

” นับจากเวลานี้พวกเจ้าจงแอบตามไปอารักขาพระชายา นางมีชีวิตรอดพวกเจ้ารอด นางสิ้นชีวิต….พวกเจ้าจะต้องสิ้นก่อน”

จื่อซีและจื่อเฟิงทั้งสองเป็นองครักษ์ลับที่แข็งแกร่งที่สุด นับตั้งแต่ที่พวกเขาตามรับใช้เย่แจ๋หยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ในสนามรบ หรือยืนตนอยู่ในโถงสนามหลวง เย่แจ๋หยิ่งก็พาพวกเขาไปด้วยเสมอ

จะผ่านเป็นหรือตาย พวกเขาก็ไม่เคยกล่าวสิ่งใด สำหรับพวกเขาความภักดีคือสิ่งสำคัญที่สุด และเย่แจ๋หยิ่งเองก็เชื่อมั่นในตัวพวกเขาเสียด้วย

จื่อซีและจื่อเฟิงสบตากัน ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นยกมือประสานพลางกล่าวตอบ

“รับทราบ!”

เย่แจ๋หยิ่งเป็นผู้ที่เด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด เขาไม่เคยอธิบายสิ่งใดกับพวกเขา พวกเขาจึงต้องเชื่อฟัง เชื่อฟังและเชื่อฟังเท่านั้น

ในวันนี้ พวกเขาต่างก็เข้าใจว่าท่านชายจะไม่กล่าวสิ่งใดอีก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เขาจะเปิดปากอธิบาย

” นางเป็นพระชายาเพียงองค์เดียวของข้า ทั้งยังเป็นดวงใจของข้า หากนางสิ้นชีพ หัวใจของข้าก็สิ้นเช่นกัน จงจำไว้นางสำคัญยิ่งกว่าข้า ”

คนที่เขาต้องการตัวได้กลับมาแล้ว

เขาไม่สามารถให้คนๆนั้นรู้ถึงจุดอ่อนของเขา และยิ่งไม่สามารถให้เขารู้ถึงความพิเศษของหลานเยาเยา

ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ทำมาทั้งหมดหลายปีมานี้ จะถือว่าเสียเปล่า……

เขาไม่สามารถเอานางไปวางเดิมพันได้ และยิ่งไม่สามารถนำชีวิตของผู้ที่ภักดีต่อเขามาเดิมพันด้วยเช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงต้องทำเช่นนี้เท่านั้น !

ได้ยินเช่นนั้นทั้งจื่อซีและจื่อเฟิงก็ตกใจเล็กน้อย พวกเขารู้อยู่แล้วว่าพระชายานั้นมีความสำคัญต่อท่านอ๋องเป็นอย่างมาก แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะสำคัญถึงเพียงนี้

ทันใดนั้น!พวกเขาก็รีบรับคำสั่งด้วยชีวิต

” ขอท่านชายจงวางใจ พระชายามีชีวิตพวกข้าก็จะมีชีวิต พระชายาสิ้นพวกข้าจะต้องสิ้นก่อน ข้าจะจำคำสั่งท่านชาย มิเช่นนั้นทั้งชีวิตนี้ ตายหมื่นครั้งก็ไม่ปฏิเสธ ”

……

หลานเยาเยาที่นั่งอยู่ในห้อง ไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น ตัวอักษรบนหนังสือทำเนียบบรรพชน นางล้วนจำไว้จนขึ้นใจจนหมดแล้ว

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้นางสงสัยมากที่สุดก็คือยาต้นกำเนิดตัวสุดท้าย ที่จริงควรจะเป็นดอกกระดูกขาวเพียงดอกเดียวเท่านั้น เหตุใดในภาพวาดถึงวาดภาพไว้แบบเดียวกันถึงสองภาพ ?

เจตนาคือสิ่งใดกัน ?

แล้วในตอนนั้น !

“แอ็ก……”

ประตูห้องได้ถูกเปิด แล้วฮัวหยู่อันรีบวิ่งเข้ามา ในมือถือถุงสัมภาระอันหนักมาด้วย นางไม่กล่าวสิ่งใดก็วิ่งตรงมายังตรงหน้าของหลานเยาเยา ก่อนจะเอาห่อสัมภาระแขวนไว้บนไหล่

“คุณหนู ท่านรีบออกไปจากที่นี่เสียเถอะ เหล่าผู้อาวุโสต้องการที่จะสังหารท่าน ”

จากนั้นก็พลางดึงนางออกไปนอก แต่ก็บังเอิญหันไปเห็นกระดาษของหนังสือทำเนียบบรรพชนในมือของนาง……