ตอนที่ 222 กรรมสนอง

“ขอรับ” หลินหูตอบรับ

จงหยางซวี่หันหลังเดินเข้าไปหาเซ่าเติงอวิ๋นที่กุมดาบง้าวไว้ด้วยสองมือที่สั่นระริก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงเอ่ยว่า “การตายของพวกเขา เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับคุณชายใหญ่”

เซ่าเติงอวิ๋นเม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “พวกท่านจัดการเขาไปแล้วหรือ?”

“ยัง!” จงหยางซวี่ถอนหายใจ “ลงมือไม่ได้แล้ว เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะรอดไปได้!”

ยังไม่ตายหรือ? เซ่าเติงอวิ๋นหันหน้ากลับมาทันที สีหน้าดูค่อนข้างเหลือเชื่อ แล้วก็ไม่ค่อยอยากเชื่อนัก ถึงแม้ครอบครัวของพวกเขาจะอยู่ใต้ความคุ้มครองของสำนักเขามหายาน แต่ในอีกแง่หนึ่งแล้ว ชีวิตของพวกเขาก็อยู่ในกำมือสำนักเขามหายานด้วยเช่นกัน หากสำนักเขามหายานจะฆ่าจะแกง พวกเขาก็ไม่มีโอกาสหนีรอดได้เลย!

แต่แน่นอน นี่คือกรณีที่เป็นคนธรรมดาทั่วไป แต่ถ้าหากเป็นบุตรชายคนนั้นของเขาล่ะก็ นั่นก็บอกได้ยากเช่นกัน

เดิมทีเขาคิดว่าตนเองต้องเสียบุตรชายทั้งหมดไปในวันเดียวเสียแล้ว ไม่คิดเลยว่าเจ้าใหญ่จะยังมีชีวิตอยู่!

ดวงตาเขาทอประกายแห่งความหวังเล็กน้อย เอ่ยถาม “เพราะเหตุใด?”

จงหยางซวี่สบตาเขา เอ่ยเนิบๆ ว่า “เขาบอกว่าพวกอนุหร่วนแม่ลูกตายหมดแล้ว เขากลายเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเซ่าซยง หากสำนักเขามหายานสังหารเขา ก็เท่ากับสังหารทายาทสืบสกุลของเซ่าซยงจนหมดสิ้น…” เขาค่อยๆ ถ่ายทอดเรื่องที่หลินหูรายงานออกมา

ดวงตาของเซ่าเติงอวิ๋นค่อยๆ เบิกกว้าง ทั้งสีหน้าและแววตาค่อยๆ มีความรู้สึกเศร้าสร้อยอย่างเหลือคณาเอ่อล้นออกมา

ตอนแรกเพียงแค่สงสัยเท่านั้น แต่ตอนนี้มั่นใจอย่างแน่นอนแล้ว การตายของพวกอนุหร่วนแม่ลูกเป็นฝีมือของไอ้ลูกอกตัญญูคนนั้นจริงๆ!

เขานึกเสียใจที่ตนสอบถามถึงสาเหตุ กับเรื่องบางเรื่องไม่รู้คำตอบเสียยังจะดีกว่า พอได้รู้แล้วกลับเจ็บปวดเกินจะทนรับไหว

เคร้ง! ดาบง้าวในมือที่สั่นระริกของเขาร่วงตกลงพื้น จู่ๆ เซ่าเติงอวิ๋นก็ยิ้มขึ้นมา เป็นรอยยิ้มที่น่าเวทนา เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงไม่กล้าสละอำนาจอย่างเต็มตัว? พี่น้องห้ำหั่นกันเอง ทั้งที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ทว่าแต่ละคนกลับทนรอไม่ไหวแล้ว นี่ข้าก่อกรรมอันใดเอาไว้กัน! ไปพาตัวลูกทรพีคนนั้นมา!”

จงหยางซวี่หันไปโบกมือให้หลินหู “ไปพาตัวคนมา!”

“ขอรับ!” หลินหูรับคำสั่ง หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

“ไสหัวออกไปให้หมด” เซ่าเติงอวิ๋นพลันระเบิดอารมณ์ ตวาดใส่คนที่เดินเข้าเดินออกภายในลานเรือน

ทุกคนสะดุ้งโหยง พากันเร่งฝีเท้าเดินออกไป ภายในลานเรือนกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เหลือเพียงตัวเขา จงหยางซวี่และเหล่าศิษย์แห่งสำนักเขามหายาน

เซ่าเติงอวิ๋นเงยหน้ามองฟ้า ค่อยๆ หลับตาลง ยืนเงียบๆ อยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

รออยู่พักใหญ่ เซ่าผิงปอก็มาถึง มีหวงโต้วและหลินหูขนาบซ้ายขวาคุมตัวเข้ามา

สีหน้าเซ่าผิงปอราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ คล้ายว่าไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้นทั้งสิ้น ยังคงเป็นคุณชายที่สง่างามเพียบพร้อมคนเดิม

จงหยางซวี่หันไปมองดูเขาที่เดินเข้ามา สีหน้าซับซ้อน

เซ่าผิงปอประสานมือคำนับเขาก่อน ก่อนจะเดินเข้าไปหาเซ่าเติงอวิ๋น ทำความเคารพอย่างนอบน้อมพลางเอ่ยว่า “ท่านพ่อ!”

เซ่าเติงอวิ๋นนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นถึงจะค่อยๆ เอ่ยถามว่า “เป็นฝีมือเจ้าหรือ?”

เซ่าผิงปอแสร้งถามทั้งที่รู้ดี “ไม่ทราบว่าท่านพ่อหมายถึงเรื่องใดหรือขอรับ?”

เซ่าเติงอวิ๋นค่อยๆ ลืมตาขึ้น จ้องมองเขา จ้องมองบุตรชายที่ตนให้ความสำคัญที่สุดคนนี้ เอ่ยถามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์โศกศัลย์ “แม่รองของเจ้า น้องชายทั้งสองของเจ้า ถูกเจ้าสังหารใช่หรือไม่?”

เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “เป็นฝีมือหนิวโหย่วเต้าขอรับ” เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “เป็นฝีมือหนิวโหย่วเต้าจริงๆ หากมิใช่เพราะเขา คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”

เซ่าเติงอวิ๋นขบกรามแน่นจนแก้มกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย กัดฟันถาม “เหตุใดถึงไม่สังหารข้าไปด้วยเลยล่ะ?”

เซ่าผิงปอนิ่งเงียบไม่ตอบโต้ สบตาบิดาด้วยสายตาที่สงบราบเรียบ หนักแน่นไม่ยอมถอย

เซ่าเติงอวิ๋นหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา “เป็นเพราะตาแก่อย่างข้ายังมีประโยชน์ใช้สอยอยู่ใช่หรือไม่? เจ้ากลัวว่าถ้าสังหารข้าไปแล้วจะควบคุมสถานการณ์ในมณฑลเป่ยโจวไม่ได้กระมัง? เดรัจฉาน เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเคยรับปากข้าไว้อย่างไร? เจ้ารับปากว่าจะเหลือทางรอดไว้ให้พวกนางสามแม่ลูก!”

เซ่าผิงปอย้อนถาม “เรื่องที่รับปากท่านพ่อไว้ ข้าย่อมทำตามที่พูด อย่างมากสักวันหนึ่งในอนาคตก็คงกักบริเวณพวกเขาไว้! แต่หากข้าต้องตาย เหตุใดข้ายังต้องรักษาสัญญาด้วย เหตุใดต้องเหลือทางรอดไว้ให้พวกเขาด้วย? พวกเขาต้องการสังหารข้า ข้าขอบังอาจถามท่านพ่อสักประโยค ท่านขวางพวกเขาหรือเปล่า? ท่านขวางได้หรือ?”

เพียะ! เสียงตบหน้าดังสนั่นชัดเจน!

เซ่าเติงอวิ๋นตบหน้าเขาเต็มแรง

รอยฝ่ามือสีแดงสดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซ่าผิงปอ เซ่าผิงปอที่ถูกตบจนหน้าหันยังคงสงบนิ่ง มิได้หลบเลี่ยง

เพียะ! เซ่าเติงอวิ๋นสะบัดมือตบหน้าเขาอีกฉาด

รอยฝ่ามือสีแดงสดปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกซีกหนึ่ง เซ่าผิงปอยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมหลบไปไหน

เซ่าเติงอวิ๋นอยากเอาดาบมาสับเขาให้ตายทั้งเป็นใจแทบขาด แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ถอดแบบมาจากมารดาของเขา เขาก็นึกถึงภรรยาที่จากโลกนี้ไปแล้วคนนั้นขึ้นมา นึกถึงคำสั่งเสียก่อนสิ้นใจของภรรยา ทุกสิ่งยังคงสดใหม่ชัดเจน จิตใจกลัดกลุ้ม เสมือนถูกมีดกรีดลงไปในใจ!

เขาขยุ้มสาบเสื้อของบุตรชาย ดึงเข้ามาหาตัว เผชิญหน้ากับบุตรชาย เอ่ยด้วยสีหน้าถมึงทึงว่า “เดรัจฉาน! ต่อให้เจ้ารอดตัวไปได้แล้วเป็นอย่างไร? ต้องแบกรับคำครหาที่สังหารแม่เลี้ยง เข่นฆ่าพี่น้อง ชาตินี้ทั้งชาติเจ้าไม่มีวันเชิดหน้าชูตาได้อีก ได้แต่ต้องใช้ชีวิตไปวันๆ ชีวิตเจ้าจะยังมีความหมายอันใดอีก? เหตุใดถึงไม่ตายๆ ไปเสีย?”

เซ่าผิงปอที่มีรอยฝ่ามือประทับอยู่บนหน้าทั้งสองข้างกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “มีแต่คนที่มีชีวิตถึงจะได้หัวเราะในท้ายที่สุด ดังนั้นข้าจะตายไม่ได้ ในทางกลับกัน ข้ายิ่งต้องมานะสร้างอำนาจ ฝ่าฟันไปสู่จุดสูงสุด คำวิจารณ์ที่มีต่อผู้ล้มเหลวและคำวิจารณ์ที่มีต่อผู้ประสบความสำเร็จนั้นแตกต่างกัน คำติฉินชื่นชมจะขึ้นอยู่กับผู้มีชัย ผู้ที่ยืนอยู่บนยอดเขาย่อมไม่ได้ยินเสียงนินทาที่อยู่ด้านล่างภูเขา มองเห็นเพียงฝูงชนที่หมอบกราบ ได้ยินเสียงปวงชนตะโกนแซ่ซ้อง หมื่นปี! หมื่นปี! หมื่นหมื่นปี!”

ผิดหวัง! แววตาเซ่าเติงอวิ๋นเต็มไปด้วยความผิดหวัง! เขามองดูบุตรชายคนนี้ด้วยสีหน้าที่เจือด้วยความผิดหวังสุดขีด ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่มารดาของเขาจากโลกไป อุปนิสัยของบุตรชายคนนี้จากที่เคยเฉลียวฉลาดสดใสก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป เขาส่ายหน้าช้าๆ เอ่ยว่า “เจ้ากลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? ข้าก็อยากเห็นนักว่าเจ้าจะได้เป็นผู้ที่หัวเราะในตอนสุดท้ายหรือไม่!”

คล้ายว่าวันนี้เขาเพิ่งจะได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าบุตรชายของตนเป็นคนเช่นใด

เซ่าเติงอวิ๋นผลักบุตรชายออกไป ตะโกนขึ้นว่า “ทหาร!”

ทหารหลายคนที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงจึงวิ่งเข้ามารอรับคำสั่ง

เซ่าเติงอวิ๋นชี้ไปที่บุตรชาย กัดฟันเอ่ย “นำตัวเขาไปขังที่คุกใต้ดิน รอฟังคำตัดสินจากสำนักเขามหายาน!”

ทหารทั้งหลายสบตากัน พวกเขาไม่ทันได้ลงมือ เซ่าผิงปอก็หันหลังเดินออกไปเอง ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้พวกเขา

เซ่าเติงอวิ๋นเองก็หันหลังเดินออกไปเช่นกัน เพียงแต่แผ่นหลังงองุ้มลง สีหน้าหดหู่ ราวกับต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา ฝีเท้าหนักอึ้งและเชื่องช้า ดูเหมือนจะแก่ลงไปหลายสิบปีในชั่วพริบตา

เมื่อเห็นสองพ่อลูกแยกทางกันไปแล้ว จงหยางซวี่ยื่นมือออกไป ใช้พลังดูดดาบง้าวที่อยู่บนพื้นเข้าสู่มือ หันกลับไปเรียกศิษย์คนหนึ่งเข้ามา เอ่ยสั่งการว่า “ต่อไปอาหารการกินของพวกเรา จงจัดการตรวจสอบด้วยตัวเองอย่างระมัดระวัง! อย่าเอาแต่หวังพึ่งคนอื่น”

“ขอรับ!” ศิษย์คนนั้นตอบรับ

เซ่าเติงอวิ๋นกลับไปที่ห้องของตน เดินเข้าไปในห้องส่วนตัวที่ปกติไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปโดยพลการห้องหนึ่ง

ภายในห้องมีโต๊ะสักการะตั้งเอาไว้อยู่ บนผนังมีภาพวาดแผ่นหนึ่งแขวนไว้ ในภาพคือบุรุษในชุดเกราะแสนองอาจ นั่งตัวตรงอยู่บนหลังอาชา บุคลิกทรงอำนาจ

ใต้ภาพวาดมีป้ายวิญญาณตั้งอยู่ บนป้ายมีอักษรจารึกไว้ว่าหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งแคว้นเยี่ยน!

เซ่าเติงอวิ๋นเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะสักการะ จุดธูปจำนวนหนึ่งขึ้นมา ปักลงไปในกระถางธูป ค่อยๆ ถอยหลังไป สายตามองดูภาพเหมือน จากนั้นคุกเข่าลงบนเบาะกลมอย่างช้าๆ โขกศีรษะคำนับ!

หลังจากโขกศีรษะไปสามครั้ง เขาแนบหน้าผากจรดพื้น ไม่ได้ลุกขึ้นมา ไหล่สองข้างสั่นสะท้าน สะอื้นไห้ออกมา “กรรมสนองแล้ว! กรรมตามสนองแล้ว! ท่านอ๋อง กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ…”

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็มีน้ำตาอาบอยู่ใบหน้า

ก่อนหน้านี้ต่อให้เผชิญเหตุการณ์ที่ลูกเมียสิ้นชีพอย่างน่าอนาถต่อหน้า เขาก็ยังไม่ร้องได้ออกมา ยามนี้พออยู่ต่อหน้าป้ายวิญญาณของซางเจี้ยนปั๋ว เขากลับร่ำไห้ออกมา ร้องไห้สะอึกสะอื้น

…..

ท่ามกลางม่านรัตติกาล ประตูมหานครเป่ยโจวถูกปิดลง กองทัพตรวจค้นไปทั่วทั้งเมือง สร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชน กล่าวกันว่ามือสังหารแทรกซึมเข้าไปก่อเหตุลอบสังหารในจวนผู้ว่าการมณฑล

…..

ใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง บนแม่น้ำ เรือประทุนลำหนึ่งล่องไปตามลำน้ำอย่างเชื่องช้า

ด้านนอกประทุนมีโต๊ะเล็กตัวหนึ่งวางตั้งไว้ ลู่เซิ่งจงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างยกกล่องอาหารใบหนึ่งขึ้นมาเปิดออก หยิบสุราอาหารที่ซื้อหามาระหว่างทางออกมา จัดวางไว้บนโต๊ะ

เถาเยี่ยนเอ๋อร์ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงกันข้ามยื่นมือหมายจะช่วย ลู่เซิ่งจงกลับยกมือปรามเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้เป็นเจ้าที่คอยปรนนิบัติรับใช้ข้ามาตลอด ยามนี้จบเรื่องแล้ว ให้ข้าดูแลเจ้าบ้างเถอะ”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์ที่ยืดตัวขึ้นมาเล็กน้อยำได้เพียงค่อยๆ ถอยกลับไปนั่งลงบนขาของตน นิ่งเงียบ

เมื่อจัดวางสุราอาหารเสร็จ ลู่เซิ่งจงรินสุราให้นางด้วยตัวเอง จากนั้นยกจอกขึ้นพลางเอ่ยว่า “โลกนี้มีเพียงเราสองคน จันทร์กระจ่างธารากว้างใหญ่ ทิวทัศน์งดงามยามราตรี ลมธาราพัดพลิ้ว มา ดื่มด้วยกันสักจอก!”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์กุมจอกด้วยสองมือ หลังดื่มเข้าไปแล้ว นางลองสอบถามดูว่า “ท่านพี่ เรื่องที่ต้องจัดการเสร็จสิ้นแล้วหรือเจ้าคะ?”

ลู่เซิ่งจงพยักหน้าพลางยิ้มนิดๆ “นับว่าใช่กระมัง!”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์ก้มหน้า เอ่ยเสียงแผ่ว “ชีวิตข้าเองก็คงมาถึงจุดจบแล้วใช่หรือไม่?”

แวบตาลู่เซิ่งจงวูบไหว กล่าวไปว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว”

ว่าพลางล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมากาง ยื่นส่งให้นาง “สัญญาขายตัวของเจ้า ข้ามอบให้เจ้า จากนี้ไป เจ้าเป็นอิสระแล้ว”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์ยื่นมือไปรับมาอ่านเล็กน้อย เก็บเข้าไปเงียบๆ จากนั้นกระซิบถามอีกประโยค “พวกเราจะไปไหนกันเจ้าคะ?”

ลู่เซิ่งจงตอบว่า “ไปถึงไหนก็ลงที่นั่น พรุ่งนี้หลังจากเรือเทียบฝั่งแล้ว เจ้าก็ไปตามทางของเจ้าซะ!”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์กล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน พาข้าไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ”

ลู่เซิ่งจงส่ายหน้า

ทั้งสองกินไปดื่มไป ชื่นชมสายน้ำจันทรา คุยสัพเพเหระ

ตกดึก อาภรณ์ของทั้งสองหล่นกระจายอยู่ในท้องประทุน ร่างกายของทั้งสองเกี่ยวกระหวัดเคล้าคลอ เถาเยี่ยนเอ๋อร์เป็นฝ่ายทอดกายเข้าหาเขาก่อน

เรือประทุนที่สั่นโคลงเคลงหยุดนิ่งลง หลังจากหยุดนิ่งไปสักพักใหญ่ เถาเยี่ยนเอ๋อร์มองบุรุษที่หลับลึกอยู่ข้างกายเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นอย่างแผ่วเบา ย่องไปที่ท้ายเรือ ค่อยๆ ปีนข้ามกราบเรือลงไปในน้ำ ดำลงสู่แม่น้ำอย่างเงียบเชียบ

กระทั่งนางโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาหายใจอีกครั้ง ประกายแสงเยียบเย็นสายหนึ่งส่องวาบใต้แสงจันทร์ กระบี่ยาวเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาจนละอองน้ำสาดกระเซ็น แทงทะลุแผ่นหลังของนาง โลหิตนองอาบย้อมอยู่ในน้ำ

เถาเยี่ยนเอ๋อร์ที่ส่งเสียง ‘อึก’ ออกมาสำลักน้ำ ขณะที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่ในน้ำ นางมองเห็นลู่เซิ่งจงยืนยกมือไพล่หลังอยู่บนหัวเรือประทุนภายใต้แสงจันทร์

เรือประทุนที่ขับเคลื่อนด้วยพลังปราณลอยมุ่งมาทางด้านนี้

เรือลอยใกล้เข้ามา เถาเยี่ยนเอ๋อร์ยื่นมือคว้ากราบเรือไว้ หอบหายใจด้วยความหวาดกลัว ร้องว่า “ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย…”

ลู่เซิ่งจงย่อกายลงไปหานาง เอ่ยด้วยความแปลกใจ “เจ้าว่ายน้ำเป็นด้วยหรือ? ข้าบอกไปแล้วว่าจะปล่อยเจ้าเป็นอิสระ เหตุใดเจ้าต้องหนีด้วย?”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์ส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวด เอ่ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิงวอน “ท่านไม่ยอมพาข้าไปด้วย…ข้าเพียงอยากหาทางรอด”

ลู่เซิ่งจงยื่นมือไปกุมลำคอนาง กล่าวว่า “เจ้าไม่ควรหนีเลย จริงอยู่ที่ข้าคิดจะสังหารเจ้าปิดปาก แต่ข้าก็หักใจไม่ลงจริงๆ หาไม่แล้วข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องพาเจ้าหนีมาไกลขนาดนี้เลย ข้ายังตัดสินใจไม่ได้จริงๆ เจ้าเชื่อหรือไม่?”

เถาเยี่ยนเอ๋อร์ที่ครางอู้อี้ออกแรงพยักหน้า สื่อว่านางเชื่อเขา

“ไม่! เจ้าไม่เชื่อ!” ลู่เซิ่งจงส่ายหน้า บิดมือจนเกิดเสียงดังครึก ชักกระบี่กลับมาแล้วลุกขึ้นยืน ยืนอยู่บนหัวเรือ ถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว ขบกรามแน่น แล่นเรือจากไป

แม่น้ำที่อยู่ใต้แสงจันทร์ มีซากศพร่างหนึ่งลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่

………………………………………………………………….