บทที่ 192 วังเทพแข็งแกร่ง สรรพสิ่งคงเดิมคนเปลี่ยนไป

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 192 วังเทพแข็งแกร่ง สรรพสิ่งคงเดิมคนเปลี่ยนไป

หลังจากฉู่ซื่อเหรินพาโจวหมิงเยวี่ยขึ้นมาบนเขา อู้เต้าเจี้ยนก็รู้สึกผิดหวัง

แม้เจ้าหมอนี่จะหน้าตาคล้ายสตรี แต่กลิ่นอายกลับเป็นผู้ชาย

โจวหมิงเยวี่ยตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ในที่สุดก้ได้รับการยอมรับจากเทพเซียนแล้ว!

เขาก็คุกเข่านานถึงยี่สิบปีเชียวนะ!

ชีวิตมนุษย์จะมีสักกี่ยี่สิบปีกัน

พวกไก่คุกรัตติกาล ถูหลิงเอ๋อร์และราชามังกรสามหัวต่างพากันมาห้อมล้อมโจวหมิงเยวี่ย มองสำรวจอย่างถี่ถ้วน

การที่หานเจวี๋ยรับเข้าสำนักได้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน!

หานเจวี๋ยยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่ได้สนใจโจวหมิงเยวี่ยเลย

ฉู่ซื่อเหรินพาโจวหมิงเยวี่ยมุ่งหน้ามาคุกเข่ากราบหานเจวี๋ย

“นับแต่นี้ไป เขาก็คือศิษย์ของเจ้า มีเจ้าคอยอบรม”

หานเจวี๋ยเอ่ยปากด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

ได้ยินเช่นนี้ ฉู่ซื่อเหรินก็อึ้งไป

โจวหมิงเยวี่ยเองก็อึ้งไปเช่นกัน รีบร้อนกล่าวว่า “ข้าจะกราบผู้อาวุโสเช่นท่านเป็นอาจารย์ ไม่อยากกราบไหว้คนทั่วไปเป็นอาจารย์!”

ฉู่ซื่อเหรินขมวดคิ้ว

ไก่คุกรัตติกาลกล่าวยิ้มๆ “คนทั่วไปผู้นี้ก็เป็นยอดผู้บำเพ็ญระดับสุญตาแล้ว เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่กราบ”

โจวหมิงเยวี่ยเบิกตาโต มองฉู่ซื่อเหรินอย่างไม่อยากจะเชื่อ

สำหรับระดับรวมแก่นปราณแล้วระดับสุญตาก็เรียกได้ว่าห่างไกลกันลิบ เหตุใดเขาถึงคิดไม่ถึงว่าฉู่ซื่อเหรินที่ผมหงอกขาว ดูท่าทางเหมือนตาเฒ่าป่าเถื่อนกลับเป็นถึงผู้แข็งแกร่งเพียงนี้

‘ช้าก่อน!’

ฉู่ซื่อเหรินยังแกร่งเพียงนี้ ถ้าเช่นนั้น…

โจวหมิงเยวี่ยมองไปทางหานเจวี๋ย สายตายิ่งลุกวาวมากขึ้นไปอีก

หานเจวี๋ยเอ่ยปากกล่าวว่า “หากเจ้าไม่ยินดี เช่นนั้นก็ลงเขาไปเสีย”

โจวหมิงเยวี่ยได้ยินก็ตกใจ รีบตอบตกลงเป็นพัลวัน

จนถึงยามนี้ ศิษย์รุ่นที่สี่คนแรกของเขาเพียรบำเพ็ญเซียนก็ปรากฏตัวแล้ว

หานเจวี๋ยไม่ยี่หระโจวหมิงเยวี่ยอีก เริ่มเฝ้าสังเกตดูต้นฝูซัง

ฉู่ซื่อเหรินลากโจวหมิงเยวี่ยไปยังบริเวณที่ไกลออกไป ก่อนจะเริ่มพิธีกราบอาจารย์

สำหรับโจวหมิงเยวี่ยนั้น ฉู่ซื่อเหรินก็ยังคงวาดหวังอยู่มาก ถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์คนแรกของเขา

หลังจากหานเจวี๋ยรดน้ำเซียนให้ต้นฝูซังเสร็จก็กลับเข้าไปภายในถ้ำเทวาฟ้าประทานเพื่อฝึกบำเพ็ญต่อไป

เขายกระดับพลังวิเศษมรรคกระบี่ของตนก่อนเป็นอย่างแรก

ไม่ได้มาแม่น้ำมรรคกระบี่นานแล้ว หานเจวี๋ยยังบ่นคิดถึงจั้งกูซิงอยู่

ครั้งนี้ เขาไม่ได้เปิดเผยตบะ แสร้งว่าตบะยังอยู่ในระดับเซียนสวรรค์

จั้งกูซิงดูราวจะมีความเกี่ยวข้องกับวังเทพ วังเทพกับวังสวรรค์ก็ไม่ได้ถูกกันนัก ยามนี้หานเจวี๋ยจึงไม่อาจสำแดงตบะต่อเขาได้อย่างสนิทใจ หากวันใดถูกหักหลังขึ้นมาเล่าจะทำอย่างไร

ได้พบจั้งกูซิงอีกครั้ง หานเจวี๋ยกล่าวทักทายอย่างยิ้มแย้ม

จั้งกูซิงเอ่ยถามว่า “เจ้าเข้าร่วมวังสวรรค์แล้ว?”

ตรงประเด็นเพียงนี้เชียว

หานเจวี๋ยกล่าว “นับว่าเข้าร่วมแล้ว และก็ไม่นับว่าเข้าร่วม ข้ายังไม่ได้เข้าสู่วังสวรรค์ ยังคงรั้งอยู่ที่โลกมนุษย์”

“หมายความว่าอย่างไร เจ้าไม่คิดจะขึ้นสวรรค์หรือ ในเมื่อจักรพรรดิสวรรค์ไม่ได้ชำระล้างโลกมนุษย์ เช่นนั้นก็หมายความว่ายอมรับเจ้าแล้ว เหตุใดเจ้าถึงปล่อยโอกาสให้หลุดไปเล่า”

“ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าวังสวรรค์ลึกล้ำสุดหยั่ง โลกเบื้องบนอันตราย เลยอยากอยู่ฝึกบำเพ็ญที่โลกมนุษย์ อยู่ห่างจากความขัดแย้ง”

“หลบซ่อนไปทั่ว เจ้าจะไม่สามารถบรรลุจักรพรรดิเซียนได้ อาศัยการเพียรบำเพ็ญอาจบรรลุเซียนทอง แต่หากคิดอยากบรรลุระดับจักรพรรดิเซียน จำเป็นต้องผ่านประสบการณ์โลกีย์ ช่วงชิงโชคชะตา หลังจากนั้นเป็นจักรพรรดิเซียน ลมหายใจเดียวยังอยู่ วัฏจักรไม่ดับสูญ”

จั้งกูซิงกล่าวอย่างจริงจังยิ่งนัก

หานเจวี๋ยกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็รอให้ข้าบำเพ็ญตบะถึงระดับเซียนทองก่อนค่อยว่ากัน”

คุณสมบัติของเขาแสนล้ำเลิศเชียว อีกทั้งยังฝึกบำเพ็ญวิชายุทธ์จักรพรรดิเซียนอีก ไม่เห็นจำเป็นต้องแส่หาเรื่องไปทั่วเลยจริงๆ

หากกลายเป็นไก่รองบ่อนให้กับตัวเอกบางคน นั่นไม่ต้องพลาดตายตอนจบ สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่นเปล่าๆ หรอกหรือ

ลำพังแค่โลกเมฆาแดงก็มีพวกพลิกฟ้ามากมายเพียงนี้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโลกมนุษย์อีกหลายพันแห่งที่เหลือ โลกเบื้องบนยิ่งน่าสะพรึงถึงขั้นยากจะจินตนาการ

ผู้แข็งแกร่งเช่นจักรพรรดิสวรรค์ ในวังสวรรค์ยังไม่กล้ากระทำการผลีผลาม หานเจวี๋ยคิดว่าตัวเองฉลาด แต่ไม่ใช่พวกไร้กลยุทธ์เด็ดขาด อุบายเหนือชั้นกว่ามังกรหลับหงส์ดรุณ

แทนที่จะไปแข่งเชาวน์แข่งหาญกับวังสวรรค์ ไม่สู้สงบใจบำเพ็ญตบะที่โลกมนุษย์ ไม่คุกคามคนอื่นใด

จั้งกูซิงส่ายหน้าหลุดยิ้ม

จู่ๆ เขาพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ กล่าวว่า “เรื่องที่เทพปีศาจอาละวาดวังสวรรค์ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะยุติลงแล้ว แต่ก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เทพปีศาจเป็นพญาของเผ่าปีศาจ นำกองทัพปีศาจนับล้านคะนองศึกอาบเลือด ผลสุดท้ายผู้ที่ได้ผลประโยชน์คือสำนักพุทธ นี่ทำให้เผ่าปีศาจรวมถึงวังปีศาจไม่พอใจเป็นอย่างมาก โลกเบื้องบนก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นเช่นกัน”

เรื่องนี้ยังไม่จบอีกหรือ

หานเจวี๋ยกล่าวถากถาง “หรือว่าสำนักพุทธวางแผนเส้นทางสู่ทิศประจิม เตรียมให้คนของวังปีศาจและวังสวรรค์เข้าร่วม และวางด่านยากร้ายแรงไว้ระหว่างทาง ฆ่ามารสังหารมารปีศาจโดยผ่านมือผู้เดินทางสู่ประจิม สร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่สำนักพุทธ?”

จั้งกูซิงกล่าวอย่างสงสัย “เจ้าถือกำเนิดที่โลกมนุษย์จริงๆ หรือ ไม่ได้ระลึกอดีตชาติ?”

หานเจวี๋ยอึ้งไป หรือว่าเขาทายถูกแล้ว

หืม?

ไซอิ๋วไม่ได้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นหรือ

“ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว สำนักพุทธเคยวางอุบายใหญ่โตเช่นนี้จริงๆ และก็สำเร็จ ดังนั้นสำนักพุทธถึงได้รุ่งเรืองเฟื่องฟูเหมือนเช่นทุกวันนี้ สำนักเต๋าเองก็ถดถอยเพราะเหตุนี้ด้วย เพียงแต่ต่อมาห้ามหาบรรพชนพุทธของสำนักพุทธแบ่งภาคปรากฏตัว ถึงขั้นบังเกิดการต่อสู้ เป็นผลให้สำนักพุทธตกต่ำลงในคราเดียว และเป็นโอกาสให้วังเทพได้ผงาดขึ้นมา”

“วังเทพนับเป็นขุมอำนาจที่ผงาดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วที่สุดในบรรดาขุมอำนาจใหญ่ของโลกเบื้องบน และเป็นขุมอำนาจที่มีจำนวนจักรพรรดิเซียนมากที่สุดของโลกเบื้องบนในปัจจุบัน”

วาจาของจั้งกูซิงทำให้หานเจวี๋ยตกใจ

ขุมอำนาจที่มีจำนวนจักรพรรดิเซียนมากที่สุด?

‘บัดซบ! ข้ายืนผิดค่ายทัพแล้วใช่หรือไม่’

เมื่อดูเช่นนี้แล้ว วังเทพก็มีอนาคตมากกว่าอีก!

จนใจที่มู่หรงฉี่มีความแค้นกับวังเทพ อีกทั้งต่อให้เขาไปวังเทพ ก็ใช่ว่าจะได้รับการปฏิบัติอย่างดีเหมือนเช่นที่จักรพรรดิสวรรค์ปฏิบัติต่อเขา

‘จะคิดเช่นนี้ไม่ได้

ต้องเห็นค่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า!’

หานเจวี๋ยปรับสภาวะจิต

ทั้งสองพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง หานเจวี๋ยก็ขอตัวลาไปก่อน

หนึ่งปีหลังจากนั้น หานเจวี๋ยมาที่แม่น้ำมรรคกระบี่บ่อยครั้ง เหมือนกลับบ้านอย่างไรอย่างนั้น

เจ็ดปีต่อมา

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งมุ่งหน้ามาเยี่ยมเยียนหานเจวี๋ย

มหาเคราะห์เทพเซียนผ่านไปหลายสิบปีแล้ว ถึงแม้มนุษย์โลกไม่อยากรื้อฟื้น แต่ใครๆ ต่างก็ยังจดจำเรื่องนี้ได้ โดยเฉพาะในแดนบำเพ็ญพรต สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์เพราะหานเจวี๋ย

หลายปีมานี้ สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์แข็งแกร่งยิ่งใหญ่อย่างรวดเร็ว ยอดฝีมือสูงของสำนักอย่างนักพรตเต๋าจิ่วติ่ง หลิ่วปู๋เมี่ย หวงจุนเทียนต่างวุ่นกันจนหัวหมุน

“มีเรื่องใดหรือ” หานเจวี๋ยยิ้มพลางเอ่ยถาม

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งเป็นผู้บำเพ็ญระดับรวมกายา แต่ว่ายามเผชิญหน้ากับหานเจวี๋ย เขาก็ยังประหม่ามากอย่างเห็นได้ชัด

คนตรงหน้าผู้นี้เป็นถึงผู้ทรงพลังน่ากลัวเกรงที่แม้กระทั่งเทพเซียนก็ยังไม่อาจเป็นศัตรูด้วยได้!

หากกล่าวแบบไม่น่าฟัง หานเจวี๋ยในตอนนี้ก็คือเจ้าสำนักของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ หากให้ผู้บำเพ็ญของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เลือกระหว่างพวกเขาสองคน คงไม่มีผู้ใดเลือกเขาแน่

ในใจของเหล่าผู้บำเพ็ญสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ หานเจวี๋ยเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจแล้ว

“ยังจำโจวฝาน โม่ฟู่โฉวได้หรือไม่” นักพรตเต๋าจิ่วติ่งเอ่ยถาม

หานเจวี๋ยพยักหน้า

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งกล่าวต่อ “สองคนนี้รวมหัวกันอีกแล้ว อีกทั้งยังปรามาสดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกมากมาย คนที่ล่วงเกินนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นมีคนเชิญสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ร่วมกันล้อมกรอบพวกเขาสองคน ท่านคิดว่า…”

โจวฝานและโม่ฟู่โฉวเป็นหนึ่งในสหายจำนวนน้อยนิดของหานเจวี๋ย นักพรตเต๋าจิ่วติ่งรู้ดี ดังนั้นจึงตั้งใจมาถามหานเจวี๋ยโดยเฉพาะ

หานเจวี๋ยกล่าวตอบว่า “ท่านจัดการตามสมควรเถิด ผ่านไปนานหลายปีเพียงนี้ พวกเขาก็ไม่ได้ถือเป็นศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์แล้ว ไม่ต้องเอาแต่คิดว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องกับข้า หากพวกเขาบุ่มบ่าม เป็นคนชั่วจริงๆ ควรกำจัดก็กำจัดเสีย”

พันปีผ่านไป ทุกสิ่งคงเดิมคนกลับเปลี่ยนไปเสียนานแล้ว

จิตใจมนุษย์ผ่านไปไม่กี่ปีก็เปลี่ยนแล้ว นับประสาอะไรกับพันปี

แม้ระดับความประทับใจที่สองคนนี้มีต่อหานเจวี๋ยจะไม่ได้ลดลง แต่หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ติดค้างอะไรพวกเขา

ทุกคนล้วนมีเส้นทางของแต่ละคน หานเจวี๋ยไม่อยากวุ่นวายให้มาก เว้นแต่ติดค้างผลกรรมกันไว้

“ข้าเข้าใจแล้ว”

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งเอ่ยตอบ จากนั้นก็เล่าสถานการณ์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ในช่วงนี้ให้หานเจวี๋ยได้ฟังหนหนึ่ง หานเจวี๋ยไม่อยากยุ่งวุ่นวาย และไม่ได้ออกความคิดเห็นด้วย

กระทั่งหลังจากเขาจากไป หานเจวี๋ยก็หยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมา ด้วยอยากดูว่าระยะนี้พวกโจวฝานสองคนนั่นกำลังวางแผนพิเรนทร์อะไรกันอยู่

ไม่นาน หานเจวี๋ยพลันสะเทือนอารมณ์

‘สองคนนี้…’

……………………………………………………………….