ตอนที่ 59 เหตุผล

หลังจากที่กลับมาจากสุสานผมก็ขอเข้าพบแอสทริดที่คฤหาสน์ของดยุกทันที

อาการป่วยของน้องสาวเธอก็แย่ลงเรื่อยๆ ไหนจะเรื่องที่ถูกยกเลิกการหมั้นกับมกุฎราชกุมารอีก นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องที่เธอต้องทำหน้าที่ไหนฐานะอัศวินมังกร ดังนั้นหากจะเจอเธอได้ในตอนนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้ว

แถมดยุกดรากูนอทที่น่าจะยุ่งกว่าแอสทริดก็ยังอยู่ที่นี่ด้วย

แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งก็อาจจะบอกได้ว่าอาการของคลอเดียรุนแรงมากจนทำให้พวกเขาสามารถละทิ้งงานของตนได้

จากนั้นลูนามาเรียกับผมก็ถูกข้ารับใช้นำทางไปยังห้องของดยุก ผมละทิ้งพิธีการไร้สาระที่ไม่จำเป็นออกไปให้หมดและตรงเข้าประเด็นที่อยากจะพูดเลย

พอผมพูดจบ ดยุกดรากูนอทก็ถามผมด้วยความสงสัย

「ท่านอยากจะบอกว่าข้าสามารถหาตัวนักบวชที่สามารถใช้ 『จับเท็จ』ได้ไหมสินะ? ถ้าเป็นเรื่องนี้ข้าก็พอจะมีช่องทางอยู่บ้าง แต่ข้าก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าท่านจะหาตัวเขาไปเพื่ออะไร」

「เพราะทางผมอยากจะให้ท่านดยุกเชื่อในสิ่งที่ผมจะพูดต่อจากนี้น่ะสิ」

「หืม…ท่านหมายความว่าสิ่งที่ท่านจะพูดต่อจากนี้ พวกข้าคงไม่อาจเชื่อได้หากไม่ใช้ จับเท็จ งั้นหรือ? 」

「ดั่งท่านพูด」

ผมก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพต่อความเฉียบแหลมของเขา

ดยุกดรากูนอทยังคงจ้องมองมาที่ผมด้วยความสงสัย เช่นเดียวกับแอสทริดที่ยืนอยู่ข้างเขาและลูนามาเรียที่อยู่ข้างหลังผม

อันที่จริงผมยังไม่ได้บอกลูนามาเรียเลยว่าทำไมผมต้องมาขอร้องดยุกแบบนี้

จากนั้นผมก็พูดต่อ

「ผมเข้าใจดีว่าทุกวินาทีที่ทั้งสองท่านมอบให้ผมมีค่าเพียงใดและรู้ดีว่ามันหยาบคายแค่ไหนที่ต้องขอให้เรียกตัวนักบวชมาเพื่อผม แต่หากเป็นไปได้ผมก็อยากจะขอความร่วมมือจากท่านจริงๆ 」

「ไม่หรอกๆ ท่านไม่จำเป็นต้องขอร้องถึงขนาดนั้น ท่านเป็นแขกผู้มีเกียรติของประเทศและตระกูลข้านะ นอกจากนี้ข้ายังต้องขอบคุณท่านเป็นการส่วนตัวเรื่องข้อมูลไวเวิร์นครามที่ได้มาด้วย หากจะรับฟังคำขอของท่านสักข้อจะเป็นไรไป…แต่ว่า」

ดยุกดรากูนอทชำเลืองมองแอสทริด

แอสทริดพยักหน้าให้กับเขาราวกับเธอเข้าใจสิ่งที่พอเธออยากจะบอก จากนั้นเธอก็หันมามองผมด้วยสายตาที่จริงจัง

「ฉันเห็นด้วยกับที่ท่านพ่อบอกนะคะ เพิ่มเติมก็คือ ไม่จำเป็นต้องใช้จับเท็จหรอกค่ะ เพราะทางฉันไม่มีข้อสงสัยในตัวของผู้มีพระคุณอยู่แล้ว หากมีอะไรที่คุณต้องการจะพูดก็บอกมาได้เลยค่ะ」

「ได้สิ ถ้าอย่างงั้นทางนี้ก็ไม่เกรงใจละนะ ผมมีวิธีที่จะช่วยท่านคลอเดียอยู่ แต่อยากจะได้รับอนุญาตจากพวกท่านในเรื่องนี้ ก็เลยทำให้ต้องมาขอพบในเวลานี้」

หากพวกเขามั่นใจว่าจะรับฟังผมและเชื่อใจ ผมก็จะบอกพวกเขา

หลังจากที่พวกเขาได้ยินถึงวิธีการ สองพ่อลูกดรากูนอทก็มีสีหน้าที่ว่างเปล่า จากนั้นพอพวกเขารู้สึกตัวก็รู้ได้ถึงสถานการณ์ที่ตัดสินใจได้ยาก จนต้องเผลอขมวดคิ้ว

ทางผมก็ไม่สงสัยหรอกว่าทำไมพวกเขาถึงแสดงท่าทางแบบนี้ออกมา เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาก็ถูกหักหลังและทำลายความเชื่อมั่นมานักต่อนักแล้วจากผู้ที่พยายามยื่นมาเข้ามาหา

จากนั้นดยุกดรากูนอทก็พูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

「….ที่ท่านพูดนี่เรื่องจริงหรือ? 」

「อย่างน้อยผมก็มั่นใจว่ามันเป็นวิธีที่ดีกว่าการใช้หญ้าทานาเซียในการระงับความเจ็บปวด เนื่องจากท่านอาจจะสงสัยถึงวิธีการหลังจากนั้นด้วย ผมจะบอกไว้ก่อนเลยก็แล้วกันว่า ผมจะทำการเพิ่มเลเวลของท่านคลอเดียโดยไม่พาท่านออกไปจากสถานที่แห่งนี้เลยอย่างแน่นอน」

「…เรื่องแบบนั้น…」

「ท่านอาจจะไม่เชื่อที่ผมพูดออกมาทั้งหมด เพราะอันที่จริงผมก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันจนกระทั่งวันก่อนที่ผมพบว่า ผมสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย แต่ว่า…」

หลังจากนั้นผมก็มองไปยังลูนามาเรียที่อยู่ข้างหลังผม

「ลูนามาเรียที่อยู่ตรงนี้สามารถเป็นพยานให้กับผมได้ เมื่อวานนี้เลเวลของเธอนั้นเพิ่มขึ้นมา 1 จากความสามารถของผม ก็จริงว่าเพราะนั่นเป็นคำพูดของทาสหากจะมายืนยันความจริงให้กับเจ้านายตนน้ำหนักอาจจะไม่มากนัก ดังนั้นผมก็เลยอยากจะให้ท่านใช้จับเท็จเหมือนในตอนแรกที่บอกไป」

พอผมพูดจบ ทั้งห้องก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด

ความเงียบนั้นมันยาวนานพอๆ กับความตกใจของสองพ่อลูกดรากูนอทที่มี ไม่ก็ความสงสัยของพวกเขานั่นแหละ

หลังจากนั้นแอสทริดก็ถามผมขึ้นมาด้วยความอึดอัดใจ

「ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะคะว่ามีเวทมนตร์หรือไอเทมที่สามารถเพิ่มเลเวลคนอื่นได้ แล้วกระบวนการดังกล่าวที่คุณบอกมีอะไรบ้างคะ? 」

「ฉันจะทำการแบ่งวิญญาณของฉันออกเป็นส่วนๆ แล้วมอบให้เป้าหมายน่ะ อันที่จริงหลักการทำงานจริงๆ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นยังไง แต่อย่างน้อยผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือฉันสามารถเพิ่มเลเวลของลูนามาเรียได้จริงๆ ดังนั้นฉันก็เลยคิดว่าน่าจะสามารถเพิ่มเลเวลของท่านคลอเดียได้เหมือนกัน หากเป็นไปตามที่คาดด้วยเลเวลที่เพิ่มขึ้น เธอก็น่าจะสามารถต้านคำสาปได้ดีขึ้นด้วย」

「..นั่นคือวิธีการที่คุณใช้ช่วยน้องสาวของฉันสินะคะ แล้วจะเป็นยังไงคะหากฉันบอกว่าฉันคงไม่สามารถมอบความวางใจให้คุณใช้วิธีที่ไม่มีหลักการชัดเจนในการรักษาน้องของฉัน? 」

「ฉันก็คิดว่ามันมีเหตุผลนะ ที่เธอจะไม่เชื่อในตัวฉันก็ท่านคลอเดียก็เป็นหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของเธอ หากสุดท้ายผลออกมาแบบนั้น ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปยังอิชกะ เพราะทางฉันก็ไม่ได้มีความตั้งใจจะอยู่ที่เมืองหลวงนี้นานแต่แรกแล้วด้วย」

ผมตอบกลับไปก่อนจะก้มหัวให้อีกครั้ง

ในระหว่างที่ผมก้มหัว ผมไม่สามารถเห็นว่าแอสทริดแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา

จากนั้นพ่อของเธอก็เป็นตัวแทนในการพูดแทนลูกสาว

「เงยหน้าขึ้นมาเถิดท่านโซระ」

「ฮ่ะ」

「ข้าก็แค่ตกใจน่ะ…รู้สึกตกใจจริงๆ พูดตามตรงว่าข้าไม่อาจทำใจเชื่อสิ่งที่ท่านบอกได้จริงๆ ทว่าข้าก็ได้พบผู้คนมามากมายในฐานะดยุก ดังนั้นอย่างน้อยจึงบอกได้ว่าท่านไม่ได้มีเจตนามาหลอกลวงพวกเรา แถมไวเวิร์นครามก็คงจะไม่คิดสานสัมพันธ์กับคนประเภทนั้นด้วย」

ดยุกดรากูนอทหัวเราะออกมาเบาๆ ในจังหวะที่พูดประโยคสุดท้าย

ด้วยนิสัยดั้งเดิมของเขาแล้วก็เป็นคนแบบนี้แหละ เหมือนกับตอนที่ถามผมเรื่อง คราว โซราส หากเป็นเรื่องของไวเวิร์นครามแล้วนิสัยของเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย

หรือบางทีเขาอาจจะสัมผัสได้แล้วก็ว่าผมพยายามจะช่วยพวกเขาจริงๆ ดังนั้นเขาจึงออกหน้าเพื่อพยายามยอมรับผมด้วยเหมือนกัน

คำพูดถัดไปของเขาจึงเหมือนเป็นการยืนยันสิ่งที่ผมคิด

「ดังนั้นก่อนอื่น ก็คงต้องขอขอบคุณท่านที่เผยความลับของตนเพื่อลูกสาวของข้า เพราะหากมีใครคนอื่นรู้ว่าท่านมีความสามารถในการเพิ่มเลเวลผู้อื่นได้ ชีวิตของท่านก็คงไม่สามารถพบความสงบได้อีก นอกจากนี้ท่านยังยอมเอาชีวิตของตนเข้ามาเสี่ยงกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยเลยอย่างคลอเดีย ข้าต้องขอขอบคุณในความเมตตาของท่านจริงๆ 」

「…นั่นเป็นความตั้งใจของผมเอง」

「ถึงจะไม่รู้ว่าท่านจะฝืนเพื่อพวกเราขนาดนี้ไปทำไม ยิ่งท่านพูดเช่นนี้อีกเพราะอะไรกัน ท่านทำไมต้องทำถึงขั้นนี้? 」

หากผมเป็นนักผจญภัยทั่วไป เขาก็คงจะรู้ได้ทันทีว่าผมเพียงต้องการสร้างเส้นสายกับทางตระกูลดยุก

แต่เพราะเขาไม่คิดว่าคนที่สามารถเทมไวเวิร์นคราม จัดการกับมอนสเตอร์คลาสราชาได้ถึง 2 ตน และยังได้รับเกียรติจากทางวังหลวงในฐานะผู้ช่วยเหลือเมืองอิชกะ จำเป็นจะต้องมาเปิดเผยความลับของตนเองทั้งที่ถึงไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็สามารถเข้าใกล้พวกเขาได้มากพอแล้ว

แล้วผมก็ตอบไปในทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรมากมาย

「เพราะท่านทำการช่วยเหลือผมในเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับซูซูเมะ นอกจากนี้ถึงผมจะรู้ดีว่านี่อาจจะแปลกไปสักหน่อย แต่ตัวผมรู้สึกประทับใจในตัวของท่านแอสทริดและท่านคลอเดียในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง นอกเหนือสิ่งอื่นใด หากผมมีวิธีในการรักษาคนให้พ้นจากคำสาปได้ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่อยากจะเข้าไปช่วยเหลือยิ่งกับเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าผมมาร้องไห้ต่อหน้าผมเพราะคำสาป」

ก็เหมือนกับซูซูเมะ คลอเดียยังอายุได้ราวๆ 12-13ปี มันเป็นวัยเดียวกันกับโซระเด็กที่ถูกเนรเทศออกจากเกาะในอดีต

มันเป็นวัยที่เด็กมากเกินกว่าที่จะต้องมาเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานขนาดนี้

ดังนั้นผมก็คงไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอะไรมากมายในการเข้ามาช่วยเหลือเธอ

แต่หากจะมีอีกสักข้อหนึ่งก็คงจะเป็น……

เพราะผมอยากจะกลืนกินทุกสิ่ง ก็แค่นั้นเอง

เมื่อนานมาแล้ว ผมคิดกับตัวเองมาตลอดว่าสิ่งที่ผมเป็นในตอนนี้มันเป็นความฝันหรือเรื่องจริงกันนะ

สิ่งที่ผมได้รับมาหาใช้พลังต่อสู้หรือป้องกันที่เหนือขั้น แต่มันคือการกลืนกิน

ดังนั้นหากผมจะกินคำสาปไปสักหนึ่งหรือสองอัน มันจะเป็นอะไรไปกัน

หรือผมจะกลืนกินความไม่สมเหตุสมผลที่ทำให้เด็กสาวต้องร่ำไห้ออกมามันก็ไม่แปลกอะไรเลยใช่ไหมล่ะ

แค่นึกถึงสิ่งที่เธอเจอ ก็น่าหงุดหงิดแล้ว

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมอยากจะช่วยเธอ และหากจำเป็นผมก็สามารถใช้ทาสของผมหรือสิ่งที่ผมมีทั้งหมดเข้าแลกได้

เพราะยังไง ทาสก็มีไว้ใช้งานแบบนี้แต่แรกอยู่แล้ว แต่ทว่านอกจากลูนามาเรียจะไม่โกรธที่รู้เรื่องนี้ เธอจะแสดงสีหน้าที่ยินดีออกมาอีก นั่นถือเป็นเรื่องแปลกจนทำให้ผมตกใจเอาเรื่องเลย

เอาเป็นว่าไม่ว่าจะออกมาหน้าไหน ผมก็จะช่วยคลอเดียให้ได้

แต่ที่ผมไม่พูดออกมาทั้งหมดก็เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาอีก นอกจากนี้ถึงแอสทริดกับพ่อของเธอจะปฏิเสธผม สุดท้ายผมก็จะหาทางลอบเข้ามารักษาคลอเดียอยู่ดีเพื่อถามเธอด้วยตัวเองว่าต้องการให้ผมช่วยไหม

ก็หมายความว่าที่จริงผมไม่จำเป็นต้องมาถามดยุกหรือแอสทริดเลย หากผมตั้งใจจะทำแบบนั้นแต่แรก แต่พูดตามตรงว่าใจจริงของผมก็อยากจะกระชับความสัมพันธ์กับดยุกเอาไว้ด้วยนั่นแหละ…หรือถ้าจะให้บอกชัดกว่านั้นก็คือกระชับความสัมพันธ์กับอาณาจักรคานาเรีย

ด้วยเหตุนี้เองผมก็เลยต้องมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าดยุกกับแอสทริด

หลังจากที่ดยุกดรากูนอทและแอสทริดฟังคำพูดของผมจบและรู้ถึงสิ่งที่ผมคิด พวกเขาก็จ้องมายังผมด้วยสายตาที่ครุ่นคิด

ก่อนที่ดยุกจะเปิดปากของเขาออกมาอย่างช้าๆ

———

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code