ตอนที่ 339 เก่งกาจ

แม้ว่าซ่งเยี่ยจะเป็นแม่ทัพที่ดูแลค่ายใหญ่หนิงซี แต่จวนของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ อยู่ที่ศาลปกครองอันหนาน ซึ่งใช้เวลานั่งรถม้าจากเมืองหลีครึ่งวัน และน้องสาวคนเดียวของเขาซ่งหลิ่วแต่งงานกับเว่ยไฉโจว บุตรชายของพี่น้องร่วมสาบานตอนที่ช่วยกันปราบกลุ่มโจรเมื่อนานมาแล้ว ทั้งสองคนรู้จักกันดี นับได้ว่าเป็นคู่รักหนุ่มสาวที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้

ตระกูลเว่ยตั้งรกรากอยู่ที่เมืองชังซึ่งใช้เวลาเดินทางด้วยรถม้าจากเมืองหลีสองชั่วยาม ในความเห็นของซ่งหลิ่ว นางไม่ต้องการมารับการรักษาที่เมืองหลี ร่างกายของนาง นางรู้ดีว่าเกิดจากการที่คิดถึงบุตรชายมากเกินไป

แต่ก็ทนไม่ได้ที่พี่ชายมารับด้วยตัวเอง ทั้งยังเป็นการเสี่ยงที่ออกจากค่ายทหารที่ประจำการอยู่ หากนางไม่รับน้ำใจนี้ ก็เท่ากับว่าไม่รู้จักบุญคุณ

ดังนั้นนางจึงมากับซ่งเยี่ย

เพียงแต่เมื่อเห็นฉินหลิวซี ในใจนางก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย พี่ใหญ่เลอะเลือนไปแล้วจริงๆ เด็กตัวแค่นี้ อายุน้อยกว่าบุตรชายคนโตของนางเสียอีก จะเป็นหมอที่ดีได้อย่างไร

และเมื่อมองไปที่ร้าน ไม่เพียงแต่ชื่อร้านที่ดูแปลกๆ ในร้านก็ดูไม่เหมือนโรงหมอที่เปิดอย่างจริงจัง ซ้ำยังมียันต์แปลกๆ วางอยู่บนชั้นวางของอีกด้วย

แล้วยังมีผู้ที่เรียกว่าผู้ดูแลอีก ท่านหมอก็เป็นเพียงแค่เด็กที่โตเพียงครึ่งเดียว ส่วนคนที่เป็นผู้ดูแลอายุน้อยกว่าท่านหมอด้วยซ้ำ

ร้านนี้เกรงว่าคงกำลังเล่นพ่อแม่ลูกอยู่กระมัง

ซ่งหลิ่วอยากจะหันหลังกลับ

แต่เมื่อเห็นเถิงเจา ดวงตาของนางก็อุ่นขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากที่เขาจุดบางอย่างในใจนางขึ้นมา นางก็ไม่อยากกลับแล้ว

หากฉั่งเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ คงจะอายุมากกว่าเด็กคนนี้สามสี่ปีกระมัง

บุตรชายที่น่าสงสารของนาง

เมื่อซ่งหลิ่วคิดถึงเรื่องนี้ น้ำตาก็หลั่งออกมา

เมื่อซ่งเยี่ยเห็นดังนั้นก็รู้สึกกลุ้มใจ เอ่ยว่า “น้องหญิงหลิ่ว อย่างไรเสียก็มาหาท่านหมอแล้ว เจ้ากลั้นน้ำตาเอาไว้หน่อยเถิด เกรงว่าร่างกายจะทนไม่ไหวแล้วจะทรุดตัวลงอีก”

“นั่นสิเจ้าคะ ฮูหยิน ท่านอย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ” สาวใช้ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้พลางปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ซ่งหลิ่วรับผ้าเช็ดหน้ามาซับที่หางตาโดยยังคงมองไปที่เถิงเจา

ฉินหลิวซีเหลือบมองมือของนาง เอ่ยกับเถิงเจาว่า “เจ้าไปเรือนจิ้งซื่อดูการฝึกบำเพ็ญของศิษย์น้องหญิงเจ้าเถิด”

เถิงเจาก็รู้สึกว่าสายตาของซ่งหลิ่วผิดปกติ ราวกับว่ากำลังมองใครบางคนผ่านตัวเขา ทำให้เขารู้สึกอึดอัดจึงถอยออกไป

ซ่งหลิ่วมองดูเขาหายตัวไปข้างหลังม่านซึ่งทอดไปสู่เรือนด้านหลัง

“ฮูหยินคิดถึงบุตรชายเมื่อเห็นผู้อื่น เป็นเช่นนี้ประจำเลยหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ย

ซ่งหลิ่วสะอื้น

สาวใช้ข้างกายนางจึงเอ่ยตอบ “เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ หลังจากที่คุณชายน้อยรองจากไปแล้ว ฮูหยินก็คิดถึงทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยได้นอนหลับสนิทเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

ซ่งเยี่ยเม้มริมฝีปาก

“ข้าจะจับชีพจรให้ท่าน” ฉินหลิวซีดันหมอนรองไปข้างหน้า

อารมณ์ของซ่งหลิ่วสงบลงเล็กน้อย มองไปยังหมอนรองที่มีกลิ่นยาจางๆ แล้ววางมือขวาลงไป

ซ่งเยี่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเกรงว่าน้องสาวของเขาจะดื้อรั้น ไม่เชื่อฉินหลิวซีแล้วเดินจากไป

ฉินหลิวซีวางสองนิ้วลงบนข้อมือซ่งหลิ่ว สัมผัสเบาๆ รู้สึกถึงความหนาวเย็น นางไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่จับชีพจรอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนไปที่มืออีกข้างหนึ่ง

ผ่านไปสักพักใหญ่จึงได้ดึงมือกลับ มองไปยังซ่งเยี่ยแล้วเอ่ยว่า “น้องสาวของท่านป่วยเป็นโรคสตรี ท่านแม่ทัพก็จะอยู่ฟังด้วยหรือ”

ซ่งเยี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกกระดากอายเล็กน้อย ในใจคิดว่า ‘เจ้าก็เป็นบุรุษเหมือนกัน เหตุใดข้าจึงฟังไม่ได้’

“ท่านหมอพูดมาเถิด ไม่เป็นไร” ซ่งหลิ่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ท่านพี่ก็พอรู้เกี่ยวกับร่างกายของข้าอยู่บ้าง”

ตัวผู้ป่วยเองก็ไม่ได้ต้องการหลีกเลี่ยง ฉินหลิวซีย่อมไม่มีปัญหาอะไร จึงถามว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นฮูหยินเดินมา การทรงตัวไม่มั่นคง ฝีเท้าไม่หนักแน่น แขนขาของท่านชา ร่างกายอ่อนล้าหรือไม่”

ซ่งหลิ่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พยักหน้า “ร่างกายของข้ามักจะรู้สึกอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรงอยู่บ่อยครั้ง”

“เส้นลมปราณทั้งหกของท่านอ่อนแอ ชีพจรไม่ไหลลื่น อาการป่วยของฮูหยินคงจะเป็นมานานกว่าครึ่งปีกระมัง”

สาวใช้ไม่ทันรอให้ซ่งหลิ่วตอบ พยักหน้าแล้วเอ่ยตอบแทนว่า “หลังจากที่คุณชายน้อยรองจากไป ฮูหยินก็ล้มป่วย หากคำนวณอย่างละเอียด เป็นเวลาเจ็ดเดือนแล้วนับตั้งแต่ที่คุณชายน้อยจากไปเจ้าค่ะ”

“การเจ็บป่วยเป็นเวลานานทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า ร่างกายอ่อนแอมากจนเป็นไข้ ฮูหยินกังวลมากเกินไปจนทำให้ไอเย็นแทรกเข้าสู่ร่างกาย ความหดหู่ในหัวใจเพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุนำไปสู่ภาวะระดูผิดปกติ” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ใบหน้าของท่านไม่มีสีสัน ริมฝีปากและเล็บหมองคล้ำ สูญเสียพลังหยินเป็นเวลานาน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจไม่เป็นผลดีต่ออายุไข”

ซ่งหลิ่วคิดไม่ถึงว่าแม้ว่าฉินหลิวซีจะอายุน้อย แต่กลับเก่งกาจจริงๆ เม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ท่านหมอที่ข้าเคยรับการรักษาก่อนหน้านี้ก็เคยให้ใบสั่งยา แต่ก็รักษาไม่หายขาดเสียที”

นางหันไปด้านข้างเล็กน้อย สาวใช้รีบส่งใบสั่งยาที่นางนำมาด้วยไปให้ด้วยความเคารพ ในใจคิดว่าท่านหมอหนุ่มผู้นี้เป็นหมออายุน้อยที่สุดที่นางเคยเจอมา แต่ความสามารถในการวินิจฉัยโรคไม่ด้อยไปกว่าหมออาวุโสเหล่านั้นเลย

ฉินหลิวซีดูใบสั่งยาอย่างคร่าวๆ พบว่าล้วนเป็นยาต้มซื่ออู้ทัง[1] หรือยาต้มเจียวอ้ายทัง[2] บางส่วนก็ได้มีการใส่ใยปาล์มลงไปด้วย แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงการบรรเทาอาการเท่านั้น ไม่สามารถควบคุมอาการได้อย่างสมบูรณ์ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“ยาที่ฮูหยินดื่มก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการบำรุงพลังชี่เพื่อปรับม้ามและกระเพาะอาหาร ถึงแม้ว่าผลของมันจะบรรเทาอาการโรคแต่ก็ไม่สามารถหายขาดได้ โดยเฉพาะยาต้มเจียวอ้ายทัง เจียวอ้ายจะลดความฝืดของเส้นลมปราณได้ แต่ทำให้เส้นเลือดอุดตัน เมื่อมีภาวะระดูผิดปกติ ลิ่มเลือดก็จะยิ่งสะสมจนมีขนาดใหญ่ และการใช้ยาเซิงหมา[3]ไฉหู[4]เหล่านี้จะทำให้พลังชี่เสียหาย ร่างกายอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ตอนที่ท่านเดินฝีเท้าก็อ่อนแรง เห็นได้ชัดว่าร่างกายอ่อนแอ”

นางชี้ใบสั่งยาแล้วเอ่ยว่า “ยาไม่ถูกโรคย่อมรักษาไม่หาย ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินยังเจ็บปวดเสียใจเป็นอย่างมากเมื่อนึกถึงบุตรชายโดยไม่สามารถปล่อยวางได้ ในขณะที่เดิมทีร่างกายก็อ่อนแออยู่แล้ว เมื่อบวกกับความเสียใจทำให้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เป็นเวลานาน วิชาแพทย์เต๋าเอ่ยไว้ว่าหยางให้กำเนิด หยินเติบโต หยางฆ่า หยินซ่อน ซึ่งหมายความว่าพลังหยินหยางสามารถส่งเสริมการเติบโตของกันและกัน หากไม่มีหยาง หยินก็ไม่สามารถเติบโตได้ ข้าดูชีพจรของฮูหยิน หยินเติบโตแต่หยางหลบซ่อน หยินมากแต่หยางน้อย ดังนั้นท่านจึงได้อ่อนแอมากจนไอเย็นเข้าแทรก เวลามีภาวะระดูผิดปกติก็ไหลไม่หยุด”

ซ่งหลิ่วตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้

คำอธิบายนี้ลึกซึ้งยิ่งกว่าท่านหมอผู้อาวุโสเหล่านั้นเสียอีก

ซ่งเยี่ยและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกตกใจเช่นกัน

“ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ลิ่มเลือดจากภาวะระดูผิดปกติคงไม่น้อยกระมัง นอนไม่หลับทั้งคืน กังวลและหดหู่ อาการป่วยของท่าน สามารถทนมาได้จนถึงตอนนี้นับว่าท่านพอโชคดีอยู่บ้าง แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงหมดหนทางรักษา”

ทุกคนสีหน้าซีด มีเพียงซ่งหลิ่วที่เม้มริมฝีปาก ราวกับว่าคาดเดาผลลัพธ์ไว้นานแล้ว

“ท่านหมอ ท่านว่าควรรักษาอย่างไรก็เขียนใบสั่งยาเถิด” ซ่งเยี่ยรีบเอ่ยว่า “ขอเพียงแค่สามารถรักษานางได้ เงินมากมายเท่าไหร่พวกเราก็ให้ได้”

ฉินหลิวซีเอ่ย “การเขียนใบสั่งยาไม่ใช่เรื่องยาก ด้วยสถานะของท่านแม่ทัพแล้ว ยาเหล่านี้ย่อมสามารถหาได้ ดื่มยาต้มกุยผีทัง[5]ใส่อี้จื้อ[6]กับขิงคั่วในปริมาณมากสี่เวลาก็จะช่วยบรรเทาอาการได้ และยังทำให้นอนหลับสบาย หน้าอกและกระบังลมผ่อนคลาย ปรับสภาพเช่นนี้เป็นเวลาสองเดือนแล้วค่อยเปลี่ยนใบสั่งยา เน้นโสมเป็นหลัก ข้าว่าอาการของฮูหยินต้องกินโสมเกินสิบชั่งจึงจะหายจากโรคนี้ได้”

“ก็แค่โสม อย่าว่าแต่สิบกว่าชั่งเลย ร้อยชั่งก็มีกิน” ซ่งเยี่ยเอ่ยเสียงดัง

ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “นี่เป็นเพียงแค่การรักษาทางร่างกาย แต่จิตใจนั้นรักษายาก หากอยากจะหายจริงๆ ยาธรรมดาทั่วไปก็ได้ผล แต่ฮูหยินต้องผ่อนคลายจิตใจ อย่าเศร้าเสียใจมากเกินไป คนได้จากไปแล้ว เหตุใดต้องทุกข์ทรมานเพราะความคิดถึงเป็นเวลานาน ทำให้ผู้ที่ตายไปยากที่จะไปสู่สุขคติ จนกลายเป็นการยึดติดยากที่จะไปเกิดใหม่ได้ ฮูหยินมีบุตรชายเพียงคนเดียวเท่านี้ ไม่ควรทำให้เขาไปเกิดใหม่ไม่ได้หลังจากที่ตายไปแล้ว”

ทุกคนตกตะลึง

ซ่งเยี่ยกำลังจะอธิบาย ซ่งหลิ่วกลับขมวดคิ้วด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เอ่ยว่า “ท่านหมอ ข้ายังมีบุตรอีกหนึ่งคนนะ”

[1]ซื่ออู้ทัง เป็นตำรับจีนเกี่ยวกับบำรุงเลือดและการปรับระบบเลือด

[2]เจียวอ้ายทัง รักษาอาการที่เส้นลมปราณเกิดภาวะพร่อง

[3] เซิงหมา ขับพิษร้อน ดึงหยางขึ้นด้านบน

[4] ไฉหู บำรุงตับ ปรับสมดุลหยาง ขับพิษร้อน

[5] กุยผีทัง เป็นตำรับยาจีนที่มีส่วนช่วยในการบำรุงพลังชี่และม้าม บำรุงโลหิต สงบจิตใจ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่หัวใจและม้ามอ่อนแอ ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ

[6] อี้จื้อ ผลอี้จื้อถูกนำมาใช้เป็นยา มีประโยชน์ต่อม้ามและกระเพาะอาหาร บำรุงไตให้แข็งแรง