ตอนที่ 101-2 ได้ชัยชนะครั้งใหญ่ พี่ซิวกลับมาแล้ว
อ้อ เฉียวเวยยังถีบเจาหวังเฟยอีกทีหนึ่งด้วย แต่ช่วยคนดุจช่วยดับไฟ เฉียวเวยคงมิทันคิดคำนึงมากมายเช่นนั้น
เจาอ๋องรู้สึกว่าภรรยาทำตนเองขายหน้าหมดสิ้นแล้ว จึงรีบให้คนลากเจาหวังเฟยที่ไม่รู้จักดูสถานการณ์ออกไป!
เจาหวังเฟยยืนอยู่นอกตำหนักหลังใหญ่ มองเฉียวเวยผู้อุ้มหีบสมบัติเดินผ่านหน้านางไปอย่างแค้นเคือง เพราะล้มเมื่อครู่ สภาพนางจึงน่าอนาถใจยิ่งนัก ขณะที่เฉียวเวยเดินเฉียดผ่านหัวไหล่ไป นางก็ชี้เฉียวเวย “เจ้า เจ้า …เมื่อครู่เจ้าตั้งใจ!”
“ใช่สิ” เฉียวเวยยิ้มหวาน ไม่เห็นหรือว่าตอนตนผลักคนอื่นใช้มือ แต่ตอน ‘ผลัก’ นางใช้เท้า นี่มิใช่ตั้งใจ แล้วอย่างไหนจึงจะใช่เล่า
เจาหวังเฟยคิดไม่ถึงว่านางจะยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ “เจ้ากล้า”
“ว้าย! เจาหวังเฟยอย่าตีข้า! ข้ามิได้ตั้งใจถีบท่าน! ข้ารีบร้อนจะช่วยองค์รัชทายาท! ฮือ…” เฉียวเวยหลับตาตะโกนโวยวาย ตะโกนได้ครึ่งเดียวก็ถูกเจาหวังเฟยอุดปากไว้
เจาหวังเฟยตกใจจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก “หุบปากเสีย!”
ไม่หุบ
ฝูกงกงเปิดม่านออกมา เจาหวังเฟยปล่อยเฉียวเวยทันควัน แล้วยิ้มละไมให้ฝูกงกง “ฝูกงกงมีอันใดหรือ”
ฝูกงกงเอ่ยว่า “ฝ่าบาทให้บ่าวมาถามว่าเฉียวฮูหยินพูดอันใด”
เจาหวังเฟยหัวใจแล่นขึ้นมาจุกที่ลำคอ
เฉียวเวยยิ้มหวาน “เมื่อครู่ข้าบอกพระชายาว่า…”
“อ๊า!” เจาหวังเฟยร้อง
เฉียวเวยยิ้ม
เจาหวังเฟยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกระซิบกับเฉียวเวย “เจ้าจะเอาเช่นไร”
เฉียวเวยยกมือขึ้นมาทำท่า
หนึ่งพันตำลึง แล้วข้าจะไม่ฟ้องเจ้า
เจาหวังเฟยโกรธจนเกือบจะหงายหลังตึง เงินส่วนตัวทั้งหมดของนางรวมเข้าด้วยกันแล้วก็มีเพียงเท่านั้น เอ่ยปากครั้งนี้แทบจะทำให้นางล้มละลาย จะเหี้ยมเกินไปแล้วหรือไม่
“ห้าร้อยตำลึง” นางกัดฟัน
เฉียวเวย ไม่ต่อราคา!
ยามนี้ฮ่องเต้รู้สึกรำคาญเจาหวังเฟยอยู่บ้างแล้ว กินถูกก้อนหินก้อนหนึ่งในน้ำแกงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอันใดเสียหน่อย ต้องโวยวายเป็นเรื่องวุ่นวายให้ได้ ใจแคบเกินไปแล้ว หากตนคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้อย่างนางแล้วลากคนปรุงอาหารออกไปโบย ถ้าเช่นนั้นตอนรัชทายาทสำลักอาหาร ผู้ใดจะช่วย จะเรียกหมอหลวงมากรีดลำคอรัชทายาทจริงๆ หรือไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็นึกหวาดกลัวย้อนหลัง แล้วก็มีโทสะขึ้นมาเล็กน้อย
เจาหวังเฟยเหลือบเห็นสีหน้าของเสด็จพ่อก็ทราบว่าสถานการณ์ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนแล้ว สนใจแต่จะสั่งสอนนังคนต่ำช้าคนนี้จนลืมระวังกระทบถูกคนสำคัญ ตนเองประมาทแล้ว
เจาหวังเฟยตกปากรับเงื่อนไขของเฉียวเวยอย่างเจ็บปวดหัวใจ
ความจริงต่อให้เจาหวังเฟยไม่รับปาก เฉียวเวยก็ไม่วิ่งไปฟ้องเจาหวังเฟยต่อหน้าฮ่องเต้จริงๆ หรอก หากนางอยากฟ้องจริง เรี่ยวแรงน้อยนิดดุจลูกเจี๊ยบของเจาหวังเฟยนั่นย่อมปิดปากนางมิได้
เจาหวังเฟยเป็นสะใภ้ของฮ่องเต้ บางทีฮ่องเต้อาจติเตียนการกระทำของลูกสะใภ้คนนี้ แต่คงมิคิดแค้นนางจริงจัง หากตนนำหลักฐานแน่นหนาออกมาจนฮ่องเต้จำต้องลงโทษเจาหวังเฟยเพราะต้องธำรงภาพลักษณ์อันทรงคุณธรรม แล้วหลังจากลงโทษเล่า น่ากลัวว่าคงแค้นเคืองคนนอกคนนี้อย่างนางที่ยุแยงให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อตากับลูกสะใภ้ของพระองค์แตกแยก
ลาภลอยก้อนนี้ เฉียวเวยได้มาจากการขู่กรรโชกทั้งนั้น
รางวัลพระราชทานของฮ่องเต้เป็นเงินก้อน แต่เจาหวังเฟยให้เป็นตั๋วเงิน ทั้งหมดสองพันตำลึง สุขอุราเหลือเกิน!
เฉียวเวยฮัมเพลงเบาๆ กลับมาถึงห้องครัว
ทุกคนรุมล้อมเข้ามาดูนางอย่างกังวลใจ แน่นอนว่ามีสหายร่วมอาชีพหลายคนยินดีกับคราวเคราะห์ของผู้อื่น
“เสี่ยวเฉียว เจ้าไม่เป็นอะไรนะ” เถ้าแก่หรงคว้าแขนของนาง แล้วสำรวจจากหัวจรดเท้า
เฉียวเวยเลิกคิ้วแล้วคลี่ยิ้ม “ยกของเข้ามา!”
ขันทีน้อยหลายคนยกของรางวัลพระราชทานของฮ่องเต้เข้ามาในลาน
เถ้าแก่หรงวิ่งมาดูที่ประตู “พวกนี้คือ…”
ขันทีน้อยด้านหน้าสุดตอบอย่างนอบน้อม “แม่ครัวเฉียว ของพระราชทานจากฝ่าบาทล้วนอยู่ที่นี่แล้ว ต้องการให้ขนไปยังประตูวังแทนท่านหรือไม่”
เฉียวเวยยิ้มแย้มพลางส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว พวกเรามีคนอยู่ ขอบคุณน้องชายทั้งหลายมาก” พูดพลางก็ล้วงเศษก้อนเงินหลายชิ้นออกมาจากกระเป๋าเงิน ให้เป็นรางวัลแก่กงกงน้อยทั้งหลาย
คิดไม่ถึงเลยว่า จะมีวันหนึ่งที่นางมอบรางวัลให้ผู้อื่นกับเขาด้วย มันช่างน่า เหลือ เชื่อ เกิน ไป แล้ว!
กงกงน้อยทั้งหลายกล่าวขอบคุณ แล้วจากไปพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม
คนที่เหลืออยู่ต่างตาเบิกค้างพูดไม่ออก คนที่ถูกคุมตัวไปรับโทษคนหนึ่ง ได้รางวัลพระราชทานจากฮ่องเต้ได้เช่นไร พวกเขาพลาดอะไรไปกันแน่
…
เฉียวเวยเป็นคนที่เห็นเงินก็ตาวาว แต่ยามสมควรตอบแทนบุญคุณไม่ถี่เหนียวเด็ดขาด
งานเลี้ยงครั้งนี้จบลงเร็วกว่าที่คาดเพราะเหตุการณ์รัชทายาทสำลักอาหาร ประตูวังยังไม่ทันลั่นดาล ทุกคนก็เก็บข้าวของเตรียมออกไปแล้ว
เฉียวเวยฝากลูกทั้งสองที่หลับสนิทไว้บนรถม้าของเถ้าแก่หรง ส่วนตนเองออกมาตามหาหัวหน้าชุยที่กรมวัง
หัวหน้าชุยตอนนี้มองเฉียวเวยใหม่อย่างสิ้นเชิงแล้ว หากรู้มาก่อนว่านางเก่งกาจเช่นนี้ ตอนแรกอย่าพูดถึง ‘เงินค่าเชิญลงจากเขา’ หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงเลย ต่อให้เป็นห้าพันหนึ่งร้อยตำลึง เขาก็มอบใส่มือนางได้
เขาเอ่ยอย่างเกรงใจ “เถ้าแก่รองวางใจ สิ้นเดือนข้าจะคำนวนเงินแล้วจะส่งไปยังหรงจี้ไม่ให้ขาดสักอีแปะ”
เฉียวเวยยิ้มละไม “ข้ามิได้มาทวงเงิน วันนี้โชคดีได้หัวหน้าชุยดูแล ข้าจึงเปลี่ยนเคราะห์ร้ายเป็นโชคดีได้ ข้าเตรียมของขวัญเล็กน้อยมามอบให้ หวังว่าหัวหน้าชุยจะไม่รังเกียจ”
หัวหน้าชุยขยับยิ้ม “ไม่หรอกๆ ข้ามิได้ทำอันใดเสียหน่อย”
เฉียวเวยมองเขาแล้วกล่าวว่า “บางครั้งการมิทำสิ่งใดก็ทำให้คนซาบซึ้งยิ่งกว่าการทำบางสิ่ง ท่านเห็นเช่นไร”
มิว่าจะยามประจันหน้ากับแม่นมหรือตอนถูกฮ่องเต้สอบสวน หัวหน้าชุยล้วนมิได้โยนหินซ้ำใส่นาง ตรงกันข้ามเขายังพยายามช่วยให้นางรอด แม้นางรู้ดีว่าหัวหน้าชุยทำเช่นนั้นมิใช่เพื่อนาง แต่เป็นเพราะพวกเขาทั้งคู่เป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับคนที่สละสหายอย่างไม่เสียดายเพื่อปกป้องตนเองเหล่านั้น หัวหน้าชุยก็ดีกว่ามากนัก
คนเช่นนี้ คู่ควรให้นางเชื่อถือในระยะยาว
เฉียวเวยวางจดหมายฉบับหนึ่งกับโถน้อยใบหนึ่งไว้บนโต๊ะ “ข้าทำของทานเล่นแปลกใหม่มาเล็กน้อย ถือเป็นน้ำใจอันใดมิได้ หัวหน้าชุยรับไปลองชิมดู วิธีทานข้าเขียนไว้บนกระดาษแล้ว”
หัวหน้าชุยเปิดจดหมาย เห็นตั๋วเงินสีขาวกับตัวอักษรสีดำใบแล้วใบเล่า
หนังตาของหัวหน้าชุยกระตุกแล้วปิดจดหมายลงอย่างเงียบเชียบ “เถ้าแก่รองเกรงใจแล้ว”
เฉียวเวยเดินออกมาจากห้อง ฉับพลันรู้สึกว่าท้องนภาเหนือศีรษะเหมือนจะสีฟ้ายิ่งกว่าเดิม
แม้วันนี้มีเพียงอาหารของเฉียวเวยที่ถูกนำไปถวายหน้าพระพักตร์ แล้วก็มีเพียงเฉียวเวยที่ได้รับคำสรรเสริญจากโอรสสวรรค์ แต่ทุกคนก็ยังคงเบิกบานใจยิ่งนัก ถึงอย่างไรวังหลวงสถานที่เช่นนี้ เดิมทีทั้งชีวิตคงไม่มีทางได้เข้ามา แต่เพราะได้พึ่งใบบุญของเสี่ยวเฉียว หลังจากนี้ทุกคนก็ล้วนเป็นผู้ที่เคยเข้าวังปรุงอาหารให้ฮ่องเต้ คุยโม้ไปได้ชั่วชีวิต!
หรงจี้นำรถม้ามาทั้งหมดสี่คันรวมคันที่ขนวัตถุดิบด้วย เฉียวเวยกับเด็กๆ หนึ่งคัน เถ้าแก่หรงหนึ่งคัน คนที่เหลือหนึ่งคัน ขนวัตถุดิบหนึ่งคัน รถม้าจอดหน้าประตูวัง ต่อแถวรอรับการตรวจ
ยิ่นอ๋องเดินทอดน่องเข้ามา แม้ไม่มีโทสะแต่เสียงทรงอำนาจ “ไม่มีตา มิทราบว่าฮูหยินท่านนี้คือผู้ใดหรือ”
พระราชวังย่อมเก็บข่าวสารมิได้ เท้าแรกของเฉียวเวยได้รับรางวัลพระราชทานจากฮ่องเต้ เท้าหลังข่าวก็แพร่ไปทั่วทั้งพระราชวังแล้ว แม่ครัวของหรงจี้ นี่มองแยกออกง่ายเหลือเกิน
ราชองครักษ์รีบตรวจค้นอย่างลวกๆ มิได้ตรวจค้นละเอียด ไม่เหมือนยามเข้าวังที่แทบจะจับแมลงวันสักตัวที่บินอยู่ในรถม้าออกมา
เฉียวเวยมองยิ่นอ๋องที่เดินมาข้างรถม้าอย่างนึกขัน “เพิ่งโผล่หน้ามาตอนนี้ สายเกินไปหรือไม่ ยามข้าถูกคนใส่ร้ายคุกเข่าบนพื้นถูกสอบสวน เหตุไฉนมิเห็นท่านอ๋องออกมาพูดแทนข้า”
ยิ่นอ๋องตอบอย่างหยิ่งยโส “หากเรื่องเล็กน้อยเท่านี้เจ้ายังจัดการมิได้ จะมีคุณสมบัติอันใดมายืนเคียงข้างข้า”
เฉียวเวยเกือบจะถ่มน้ำลายออกมาแล้ว เคยเห็นคนหน้าไม่อาย แต่มิเคยพบคนหน้าไม่อายปานนี้ พูดเสียราวกับว่านางเกือบตายอยู่หน้าพระพัตร์ฮ่องเต้เพื่อพิสูจน์ความสามารถของตนกับเขา หน้าหนาปานนี้ ท่านไม่ลอยขึ้นฟ้าไปเลยเล่า
“ข้าขอบคุณท่านแล้วกัน ท่านอ๋อง! แต่ความโปรดปรานจากท่าน ข้ารับมิไหว ท่านไปหาผู้อื่นมายืนเคียงข้างกายท่านแทนเถิด! ท่านดู ข้าสามัญชนคนนี้ ต้องการฐานะไม่มีฐานะ ต้องการมารยาทไม่มีมารยาท แล้วยังมิรู้จักปรนนิบัติผู้อื่น หากติดตามท่านไป ไม่ถึงสามวัน ท่านก็คงโกรธจนขนพอง กล่าวกันว่าโมโหมากเป็นผลเสียต่อร่างกาย ท่านอยู่ให้ห่างข้าสักหน่อยเถิดจะได้มีชีวิตเพิ่มอีกสักหลายปี!”
ระหว่างที่พูดรถม้าก็ออกพ้นประตูวัง ปลายหางตาของยิ่นอ๋องกวาดมองวูบหนึ่งก็กระโดดขึ้นรถม้า แล้วนั่งลงข้างเฉียวเวย
รถม้าที่เฉียวเวยเช่ามาพื้นที่ไม่กว้างขวางนัก แต่เพราะเด็กน้อยทั้งสองคนหลับอุตุอยู่บนรถม้าของเถ้าแก่หรง พื้นที่ว่างจึงนับว่ามีเพียงพอ เฉียวเวยขยับออกไปด้านข้างอย่างรังเกียจ “อย่าคิดจะมานั่งรถเปล่าๆ จ่ายเงินด้วย”
ยิ่นอ๋องเอ่ยว่า “เจ้าพาลูกกลับจวนกับข้า ภูเขาเงินภูเขาทองล้วนเป็นของเจ้า”
“ตำแหน่งพระชายาเอกก็เป็นของข้าด้วยหรือ” เฉียวเวยกะพริบตาถาม
ยิ่นอ๋องชะงัก “ข้าจะถวายหนังสือขอเสด็จพ่อ ยอมให้เจ้าครองตำแหน่งพระชายารอง”
“พูดมาตั้งนาน ท่านจะให้ข้าพาลูกกลับจวนไปเป็นอนุภรรยาของท่านหรือ” เฉียวเวยโมโหเขาจนเกือบหัวเราะออกมา ดูจากความประทับใจที่นางมีต่อเขา ตำแหน่งพระชายาเอก นางยังไม่อยากชายตาแล พระชายารองหรือ ไสหัวไปไกลๆ เลยไป!
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าพระชายารองของเชื้อพระวงศ์คืออนุภรรยาทั่วไปเช่นนั้นหรือ พระชายารองจะได้เข้ามาอยู่ในรายนามเชื้อพระวงศ์ ได้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจักรพรรดิ”
เมื่อก่อนสตรีนางนี้เคยทำเรื่องน่าอับอายพรรค์นั้นกับเขา เขาจะมอบเพียงตำแหน่งอนุภรรยาให้นางด้วยซ้ำ แต่เรื่องในวันนี้ทำให้เขาค้นพบว่านางมีค่ามากกว่านั้น
เฉียวเวยเอ่ยอย่างรังเกียจ “ได้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจักรพรรดิแล้วเช่นไร ลูกของข้าก็ยังเป็นลูกเมียน้อยมิใช่หรือ อนาคตเมื่อท่านตบแต่งพระชายาเอกเข้ามา แล้วมีบุตรจากภรรยาเอก ลูกของข้าก็ยังต้องเป็นบ่าวรองมือรองเท้าผู้อื่น ศีรษะข้าคงถูกประตูหนีบถึงจะทำเรื่องขาดทุนไม่มีอะไรดีพรรค์นั้น!”
ยิ่นอ๋องโกรธจนลมหายใจกระตุก “เจ้า…”
เฉียวเวยเอ่ยต่อว่า “อีกอย่างท่านคงเห็นแล้ว ข้ากำพร้าตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัวฝั่งมารดาหนุนหลัง หากถูกพระชายาเอกในอนาคตของท่านข่มเหง จะไปหาความเป็นธรรมจากที่ใดเล่า ข้าเหมือนจะมองเห็นชีวิตน่ารันทดในอนาคตแล้ว ดังนั้นไม่เอาด้วยหรอก!”
ข่มเหงหรือ
วันนี้ผู้ใดกันถีบเจาหวังเฟยจนปลิว
อนาคตนางไม่ข่มเหงจื่ออวี้ก็ดีแล้ว จื่ออวี้เป็นสตรีอ่อนหวานเช่นนั้น มิมีทางข่มเหงนางแน่
“พระชายาเป็นคนอ่อนโยน นางจะมองบุตรของเจ้าเหมือนเช่นบุตรตนเอง”
“ผู้ใดต้องการความรักของนาง ลูกข้า ข้ารักของข้าเองได้ ไม่ต้องขอเศษความเมตตาจากนาง!” นางไม่เชื่อหรอกว่าภรรยาหลวงจะรักลูกของเมียน้อยได้ ยิ่งไปกว่านั้นชีวิตน้อยๆ ของนางก็สุขสำราญดี เหตุใดต้องวิ่งโร่ไปเป็นเมียน้อย นางถึงบอกว่าสมองของยิ่นอ๋องน่าจะพังแล้ว ไม่เห็นหรือว่าตนเกลียดชังเขาเช่นนี้ ต่อให้เขาทุ่มสุดกำลังตามจีบก็ยังจีบไม่ติด นี่หยิบยื่นตำแหน่งเมียน้อยมาให้แล้วหวังว่านางจะซาบซึ้งน้ำตานอง คนในราชวงศ์หน้าไม่อายเช่นนี้กันหมดหรือ
“ประเดี๋ยวก่อน” เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เฉียวเวยก็เอ่ยขึ้นมา “ท่านบอกว่าพระชายา ท่านมีพระชายาเอกแล้วหรือ”
ยิ่นอ๋องไม่คิดว่านี่จะเป็นเรื่องอันใดที่บอกกล่าวมิได้ จึงเอ่ยตามตรง “หมั้นแล้ว”
เฉียวเวยถีบเขาลงไปทันใด!
“สารเลว! ข้าเกลียดบุรุษที่กินในชามแต่เหล่มองนอกชามพรรค์นี้ที่สุด! มีคู่หมั้นอยู่แล้ว ยังมาหมายตาพวกเราสามแม่ลูก! ท่านคิดว่าตัวเองเป็นก้อนทอง คิดว่าข้าอยากได้ท่านนักหรือ!”
ชั่วพริบตาที่เฉียวเวยยกเท้าถีบ ยิ่นอ๋องก็พลิกกายหลบ แต่ในขณะเดียวกันก็ร่วงลงบนพื้น
เมื่อเขาพลิกกายหมายจะขึ้นรถม้าอีกครั้งก็ถูกเฉียวเวยขวางไว้ที่ประตูอย่างแน่นหนา ไม่อนุญาตให้เข้า
“อย่าบีบให้ข้าใช้กำลัง!” เขากัดฟัน
แม้เฉียวเวยจะมีพละกำลังมาก แต่เจ้าหมอนี่มีกำลังภายใน นางต่อต้านลำบากเล็กน้อย “ท่านก็ลองดู แต่ถ้าจะให้ดีท่านต้องตีข้าให้ตาย! เพราะหากไม่ตาย ข้าจะวิ่งไปโวยวายที่จวนคู่หมั้นท่านสามวันสามคืน ดูซิว่านางยังกล้าแต่งกับท่านหรือไม่!”
ยิ่นอ๋องสำลักจนหน้าแดง “เจ้า…ไร้ยางอาย!”
“ข้าไร้ยางอายแล้วอย่างไร ยังดีกว่าชั่วช้าเช่นท่าน! ยังไม่รีบหลบไปอีก! ไม่หลบอีกข้าจะตะโกนแล้ว! รับประกันได้ว่าเสียงดังจนวิญญาณแทบออกจากร่าง คนทั้งถนนจะได้รู้ว่ายิ่นอ๋อง ‘ลวนลามสตรีกลางวันแสกๆ’ !”
ยิ่นอ๋องเป็นบุรุษผู้หนึ่ง เขามีนางบำเรอนับไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้กลับโกรธจนหูแดงก่ำ
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “ยังไม่ไปอีก”
ยิ่นอ๋องกัดฟัน แล้วจากไปด้วยท่าทางเย็นชา กระโดดครั้งเดียวลงไปเหยียบพื้นอย่างมั่นคง
สารถีเฒ่าขับรถม้าต่อโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ราวกับว่าไม่เห็น ไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น…
ฝุ่นท้ายรถม้าหายลับตา ยิ่นอ๋องสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชาแล้วเดินไปจากตรงนั้น
ภายในตรอกน้อยเส้นหนึ่ง จินจือประคองตัวหลัวจื่อวี้ผู้สีหน้าซีดเผือดเดินออกมา “คุณหนู ท่านไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ”
ตัวหลัวจื่ออวี้นวดศีรษะที่เริ่มจะวิงเวียน “เรื่องนี้ อย่าได้บอกคุณหนูรอง”
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ แต่คุณหนู ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไป จะอภัยให้ท่านเขย หรือว่า…”
ตัวหลัวจื่ออวี้โบกมือขัดคำพูดของนาง “ข้าคิดจะนิ่งไว้ก่อน”
สิ่งที่ประสบในวันนี้น่าตกใจมากเกินไป แต่ละเรื่องคล้ายเกี่ยวพันกับคุณหนูใหญ่แห่งจวนเอินปั๋ว ห้าปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่นึกถึงคุณหนูใหญ่เฉียวล้วนเห็นภาพดวงหน้าบอบบางดั่งดอกสาลี่อาบฝนดวงนั้น ทว่าคุณหนูใหญ่เฉียวในวันนี้กลับเหมือนดวงตะวันอันร้อนแรงดวงหนึ่ง เจิดจ้าเสียจนทุกคนมิอาจฝืนมอง
ไม่แปลกที่ยิ่นอ๋องผู้ไม่ต้องการนางเมื่อห้าปีก่อน ตอนนี้จะมาไล่ตามนางไม่เลิกรา
จินจือกล่าวว่า “คุณหนู ท่านอย่าเพิ่งกังวลใจไปก่อน ผู้ใดให้นางมากเล่ห์ให้กำเนิดบุตรของท่านอ๋องออกมา ท่านอ๋องเพียงเห็นแก่บุตรจึงจะรับนางกลับจวนด้วยก็เท่านั้น”
“ข้าแต่งงานเข้าไปก็ต้องเป็นมารดาให้ผู้อื่นหรือไร” ตัวหลัวจื่ออวี้นวดหน้าผาก “จินจือ กลับจวน”
“คุณหนู…”
“มิต้องพูดแล้ว ข้าไม่อยากฟัง”
“ถ้าเช่นนั้น…ก็กลับจวนเถอะเจ้าค่ะ” จินจือประคองตัวหลัวจื่ออวี้ขึ้นรถม้าอย่างจนปัญญา
…
ภายในเรือนกลางภูเขาอันเงียบสงัด จีหมิงซิวสวมอาภรณ์สีขาวตัวโคร่งยืนนิ่งเงียบอยู่บนระเบียงทางเดิน จันทร์เสี้ยวเหนือศีรษะรูปร่างดุจเกาทัณฑ์ ดวงดาราระยิบระยับพร่างพราว ตัวเรือนเงียบสงบจนหงอยเหงาอยู่เล็กน้อย
จีอู๋ซวงถือผ้าคลุมผืนหนึ่งเดินออกมาห่มบนหัวไหล่เขาอย่างแผ่วเบา “เรือนบนเขาลมแรง นายน้อยระวังเป็นหวัด”
จีหมิงซิวมองดวงจันทร์เสี้ยวอย่างเฉยชา “รถม้าเตรียมพร้อมหรือยัง”
“เตรียมพร้อมแล้วขอรับ ออกเดินทางได้ทันที นายน้อย…จะลงไปเจียงหนานหรือขึ้นเหนือกลับเมืองหลวง”
“เชียนอินไปเจียงหนานแทนข้าแล้วมิใช่หรือ”
อี้เชียนอิน หนึ่งในยอดฝีมือทั้งเจ็ดใต้บัญชาของจีหมิงซิว เขาชำนาญการแปลงโฉมเป็นที่สุด แล้วยังเชี่ยวชาญการเปลี่ยนเสียงอีกด้วย จึงปลอมเป็นคนผู้ใดผู้หนึ่งได้อย่างง่ายดาย แต่การปลอมตัวเช่นนี้ต้องมีค่าใช้จ่ายมากโข หากมิจำเป็นจริงๆ อี้เชียนอินจึงไม่ทำ
จีอู๋ซวงเอ่ยเสียงเบา “ตอนนั้นนายน้อยสลบไป พวกเราคิดหาหนทางอื่นเพื่อปิดบังอาการบาดเจ็บของนายน้อยไม่ออก กลัวว่าจะเผยช่องโหว่มากเกินไปต่อหน้าคนคุ้นเคยจึงคิดวิธีลงใต้ไปจัดการน้ำขึ้นมา”
ทุกปีทางใต้ล้วนมีน้ำท่วม เพียงแต่จะหนักหรือจะเบาเท่านั้น ทว่าปีนี้ทั่วทั้งต้าเหลียงน้ำฝนน้อย ทางใต้จึงมิมีน้ำหลาก เพียงต้องซ่อมบำรุงเขื่อนที่มิได้บำรุงมาหลายปี เชียนอินไปเองก็จัดการได้
ริมฝีปากบางของจีหมิงซิวขยับเบาๆ “กลับเมืองหลวง”
…
หลังรถม้าแล่นเข้ามาในเขตตลาด เฉียวเวยก็ฝากเงินไว้กับร้านแลกเงินร้านหนึ่งเป็นอย่างแรก การฝากเงินในแคว้นต้าเหลียงไม่มีดอกเบี้ย นี่ผิดจากสิ่งที่นางเคยรับรู้มาในอดีตยิ่งนัก แต่ไม่มีดอกเบี้ยก็ไม่มีดอกเบี้ยสิ ถึงอย่างไรนางก็มิได้ฝากเงินไว้เพื่อหวังดอกเบี้ยน้อยนิดนั่นอยู่แล้ว
ในใจนางมีแผนการคร่าวๆ ไว้แล้ว เงินก้อนนี้ผ่านไปไม่นานก็จะใช้จ่ายออกไป ก่อนหน้านั้นทำให้แน่ใจว่าเงินปลอดภัยก็พอ
รถม้าวิ่งโคลงเคลงกลับมาถึงตัวเมือง พวกเถ้าแก่หรงลงรถที่หรงจี้ เฉียวเวยอุ้มลูกที่หลับสนิททั้งสองคนขึ้นรถม้าของสารถีเฒ่ากลับมายังหมู่บ้าน
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ป้าหลัวถือพัดรอคอยอยู่ที่หน้าหมู่บ้าน ระหว่างที่คอยไล่ยุงก็ชะเง้อมองทาง รอจนรถม้าของเฉียวเวยแล่นเข้ามาก็รีบวิ่งไปหา
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านยังไม่นอนอีกหรือ” เฉียวเวยอุ้มวั่งซูลงจากรถ
“ข้านอนไม่หลับ” ป้าหลัวอุ้มจิ่งอวิ๋นไว้ในอ้อมแขน
เฉียวเวยมอบเศษก้อนเงินแก่สารถีเฒ่า “สารถีกวน วันนี้ลำบากท่านแล้วจริงๆ”
“ค่ารถมิได้มากมายปานนี้!” สารถีกวนส่งเงินคืนกลับไป
“ท่านรับเอาไว้เถิด ถือเสียว่า…” เฉียวเวยคลี่ยิ้ม
สารถีกวนพยักหน้า “ข้าทราบแล้วๆ”
“พวกเจ้าคุยอันใดกัน” ป้าหลัวมึนงง
ตกลงกันว่าอย่าเล่าเรื่องที่นางทะเลาะกับยิ่นอ๋องออกไป เฉียวเวยคลี่ยิ้มตอบว่า “สารถีกวนอายุมากแล้วยังทำงานลำบากเช่นนี้ ข้าเห็นแล้วทนไม่ได้”
ปึง!
ทันใดนั้นด้านในรถก็มีเสียงกระแทกอย่างแรงดังออกมา
สารถีกวนรีบเปิดม่าน ยกโคมไฟขึ้นส่อง บางสิ่งที่เล็กจ้อยปีนออกมาจากใต้กองผ้าไหมบนที่นั่งอย่างเงอะงะ สารถีกวนคิดว่าผี ตกใจจนแม้แต่โคมไฟยังโยนทิ้ง!
เฉียวเวยรวบรวมความกล้าก้าวเข้าไป กำลังจะเลิกผ้าม่านก็เห็นซื่อจื่อน้อยกลิ้งหลุนๆ ลงมาจากตัวรถม้า