ตอนที่ 379 สำนักศึกษาเฟิงหัว (3) / ตอนที่ 380 การปรากฏตัวของผู้อาวุโสสูงสุด (1)
ตอนที่ 379 สำนักศึกษาเฟิงหัว (3)
“มันก็มีอยู่หรอก แต่สถานที่เช่นนั้น พวกเราไม่เคยไปมาก่อน” เฉียวฉู่เกาหัวของเขาแล้วตอบ พวกเขามักจะไปที่โรงรับจำนำเป็นประจำ แต่โรงประมูล…พวกเขาไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนเลย
เงินมากกว่าหนึ่งล้านตำลึง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรวบรวมหามาจนครบ พวกเขารีบเร่งเดินทางมาให้ถึงที่นี่ก่อนเดือนเก้า เนื่องจากเวลาในการเปิดรับสมัครลงทะเบียนมีเพียงแค่สามวันเท่านั้น หากพลาดแล้ว พวกเขาก็จะต้องรอไปจนถึงปีหน้ากว่าจะมีโอกาสอีกครั้ง
มียอดฝีมือมากมายในสำนักศึกษาเฟิงหัว ต่อให้เป็นพวกเฉียวฉู่ก็เถอะ พวกเขาก็ยังลังเลที่จะบุกเข้าไป
ในขณะที่ทั้งห้าคนกำลังรวมกลุ่มคุยกันว่าพวกเขาจะหาเงินมากกว่าหนึ่งล้านตำลึงในเวลาสั้นๆ ได้จากที่ไหน กลุ่มคนรุ่นเยาว์สองสามคนที่บังเอิญผ่านมาใต้ต้นไม้ที่พวกเขาอยู่พอดี หลังจากได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ก็แสดงสีหน้ารังเกียจ ตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงเหยียดหยันว่า
“ไม่มีเงินแล้วยังจะเสนอหน้ามาที่สำนักศึกษาเฟิงหัวอีก เงินเล็กน้อยเพียงแค่นี้ก็ยังไม่มีปัญญาจ่าย แถมยังคิดจะไปที่โรงประมูลอีกหรือ เหอะ ไอ้พวกบ้านนอก! ข้าจะบอกอะไรให้นะ ต่อให้พวกเจ้าไปที่โรงประมูลตอนนี้มันก็เปล่าประโยชน์ น้ำหน้าอย่างพวกเจ้า ยามที่เฝ้าหน้าประตูอยู่จะให้เข้าไปหรือไม่ยังไม่แน่เลย นอกจากนี้โรงประมูลที่อยู่ใกล้ที่สุดแถวนี้มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น และมันก็จะเริ่มเปิดการประมูลในอีกสามวันข้างหน้า เลิกฝันลมๆ แล้งๆ เถอะ” เด็กหนุ่มที่สวมใส่ชุดอาภรณ์หรูหราปักด้วยไหมดิ้นทอง สวมเครื่องประดับทองคำและหยกทั้งร่างพูดอย่างดูถูกพลางหัวเราะเยาะ เด็กหนุ่มสาวคนอื่นๆ ที่ตามหลังเขามาเองก็หัวเราะเสียงดังด้วยความขบขันชอบใจตามไปด้วย
ใครก็ตามที่กล้ามาที่สำนักศึกษาเฟิงหัว ย่อมต้องสอบถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องใช้ในสำนักศึกษาและเตรียมมันมาก่อนล่วงหน้าพร้อมสรรพแล้ว ยามนี้เมื่อพบว่ายังมีคนที่ไม่รู้เรื่องราว มิหนำซ้ำยังคิดจะมาหาเงินในสถานที่แบบนี้อีก ก็อดดูแคลนไม่ได้
“พวกบ้านนอกพวกนี้มาจากที่ไหนกัน ถ้าพวกเจ้าไม่มีเงิน ก็อย่าฝันเฟื่องจะได้หรือไม่ สำนักศึกษาเฟิงหัวไม่ใช่ที่ที่ๆ หมาแมวที่ไหนก็เข้าได้หรอกนะ” กล่าวจบ กลุ่มคนรุ่นเยาว์กลุ่มนั้นก็หัวเราะอีกครั้งและเดินจากไป
ใบหน้าของเฉียวฉู่มืดครึ้มลงเล็กน้อย ฮวาเหยาจับไหล่ของเขาไว้แน่นและส่ายหน้า
“แม้คำพูดของคนพวกนี้จะไม่น่าฟัง แต่พวกเขาก็ช่วยเราไม่ให้เสียเวลาเดินทางไปที่โรงประมูล ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่าโรงประมูลไม่ใช่ทางเลือกที่สามารถเชื่อถือได้แล้ว” หรงรั่วถอนหายใจขณะกล่าว เมื่อเทียบกับสำนักศึกษาเฟิงหัวแล้ว สำนักศึกษาหงส์อมตะไม่ต่างอะไรจากสำนักยาจกดีๆ นี่เอง
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปดีเล่า” เฟยเยียนถาม
จวินอู๋เสียหรี่ตาลงอีกครั้ง นางก้มศีรษะลงขณะใช้ความคิด ทันใดนั้นเองนางก็มองไปที่เฟยเยียนแล้วถามว่า “ตอนนี้มู่เฉินอยู่ที่ไหน”
หลังจากที่สำนักชิงอวิ๋นถูกกำจัดไป นางก็พักอยู่ที่สำนักศึกษาหงส์อมตะมาโดยตลอดและไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกมากนัก ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา จวินอู๋เสียได้สังเกตเห็นว่าแหล่งข่าวสารของเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ทั้งหมด มาจากเฟยเยียนนี่เอง
เฟยเยียนชะงักไปครู่หนึ่ง เขานิ่งคิดสักพักก่อนตอบว่า “หลังจากมู่เฉินประกาศยุบสำนักชิงอวิ๋นไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน ก็ทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายไปทั่ว ลูกศิษย์สายนอกของสำนักชิงอวิ๋นสลายตัวกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเอง ส่วนลูกศิษย์ของยอดเขาเทียมเมฆา ได้เลือกติดตามมู่เฉินต่อและออกจากเทือกเขาเมฆา จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนกันแน่”
ประกายในดวงตาของจวินอู๋เสียสว่างวาบทันที นางกวักมือเรียกฮวาเหยาให้เข้ามาหา ก่อนจะกระซิบกระซาบไปที่ข้างหูของฮวาเหยาสองสามคำ ทันใดนั้นสีหน้าของฮวาเหยาก็แปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง เขายิ้มกว้างทันทีหลังจากที่จวินอู๋เสียพูดจบ
“นี่เป็นความคิดที่เยี่ยมมาก แต่หากไม่มีใครในที่นี้เคยเห็นหน้ามู่เฉินมาก่อนเลย เกรงว่าจะยุ่งยากนิดหน่อย” ฮวาเหยาคิด จากนั้นก็หยิบยกข้อเสนอของจวินอู๋เสียขึ้นมาพูดอย่างระมัดระวัง
จวินอู๋เสียส่งมอบป้ายประจำตัวที่แกะสลักตัวอักษร ‘อวิ๋น’ ให้กับฮวาเหยา ฮวาเหยาผงะเล็กน้อย เขาคุ้นเคยกับป้ายประจำตัวนี้ดี เพราะมันคือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นสมาชิกของสำนักชิงอวิ๋น
“น้องเสีย เหตุใดเจ้าถึงยังเก็บมันไว้อีกเล่า” เฉียวฉู่จ้องมองไปที่จวินอู๋เสียด้วยความประหลาดใจ ตอนที่พวกเขาถูกเลือกให้เข้าไปที่ยอดเขาเร้นเมฆา พวกเขาก็ได้รับมันคนละแผ่น แต่เมื่อพวกเขาออกจากเทือกเขาเมฆา เฉียวฉู่ก็โยนมันทิ้งไม่ได้นำติดตัวมาด้วย
“ข้าลืมน่ะ ไม่มีเวลาโยนมันทิ้งด้วย” จวินอู๋เสียตอบอย่างเฉยเมย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเทือกเขาเมฆาวันนั้นมันกะทันหันเกินไป นางยังไม่ทันได้ทำอะไร เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่ามาอยู่ที่สำนักศึกษาหงส์อมตะแล้ว ป้ายประจำตัวแผ่นนี้กับของใช้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสำนักชิงอวิ๋นจึงยังอยู่ที่นางทั้งหมด
ไม่คิดว่าจะได้ใช้ประโยชน์มันในวันนี้
ตอนที่ 380 การปรากฏตัวของผู้อาวุโสสูงสุด (1)
พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าและผู้คนก็เดินพลุกพล่านเบียดเสียดกันเต็มบริเวณ วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดรับลงทะเบียนศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาเฟิงหัว ทุกคนจึงรีบวิ่งไปที่หน้าประตูเพื่อจองที่ที่ดีที่สุดไว้สำหรับพวกเขา
พระอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือศีรษะและอากาศก็เริ่มร้อนมากขึ้น คลื่นความร้อนทำให้กลุ่มเด็กหนุ่มสาวจากตระกูลร่ำรวยที่ถูกประคบประหงมเอาใจจากที่บ้านจนติดเป็นนิสัยแสดงอาการไม่พอใจออกทางสีหน้า พวกเขาไม่เคยต้องลำบากเช่นนี้มาก่อนเลย แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการเข้าแถวยืนตากแดดธรรมดา แต่สำหรับพวกเขาแสงแดดนี้มันก็ช่างแผดเผาร้อนระอุเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กที่มาช้าแล้วต้องยืนอยู่ส่วนหลังของแถวซึ่งต้องรอนานกว่า แม้ว่าจะมีบ่าวรับใช้คอยดูแลอยู่ข้างๆ ทั้งกางร่ม พัดวี รินน้ำเย็น ปรนนิบัติสารพัด พวกเขาก็ยังไม่วายโอดครวญ บ่นอย่างเอาแต่ใจ
บางตระกูลที่มีเงินหนาหน่อย ถึงขั้นเตรียมรถม้าที่ใส่น้ำแข็งอัดไว้เต็มคันไว้ให้ บ่าวรับใช้รินน้ำบ๊วยเย็นส่งให้คุณชายน้อยของตัวเองดื่มคลายร้อน เรียกสายตาอิจฉาริษยาตาจากผู้คนโดยรอบได้ไม่น้อย
เดือนเก้าถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วง กระนั้นอุณหภูมิในช่วงกลางวันก็ยังมิอาจมองข้ามได้ มีอยู่หลายคนที่ทนความร้อนไม่ไหวหน้ามืดเป็นลมไป
เด็กหนุ่มสาวอายุน้อยบางคนที่มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากเป็นลมแดด จึงถูกบ่าวรับใช้ของตัวเองอุ้มออกไปนอนพักในรถม้าเพื่อหนีความร้อน
คลื่นความร้อนส่งผลให้ฝูงชนตกอยู่ในความเงียบ กลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่จับกลุ่มพูดคุยกันด้วยความกระปรี้กระเปร่าในช่วงเช้า บัดนี้สมองของพวกเขาถูกคลื่นความร้อนตีปะทะเข้าหน้าจนมึนเบลอไปหมดแล้ว ทำได้เพียงแต่สั่งให้บ่าวรับใช้พัดเร็วขึ้นอีกนิด ไหนเลยจะมีอารมณ์มาพูดคุยหัวเราะคิกคักกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
ท่ามกลางความร้อนและความเงียบนี้ เสียงอุทานหนึ่งพลันดังขึ้นในหูของทุกคน
กลุ่มเด็กหนุ่มสาวที่กำลังหงุดหงิดหน้านิ่วคิ้วขมวด จู่ๆ สายตาของพวกเขาที่เบนออกไปก็ไปตกอยู่ที่ร่างร่างหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลนัก บุรุษในชุดอาภรณ์สีขาวทั้งร่าง ดูภูมิฐานและแผ่กลิ่นอายสูงส่งออกมารอบตัว กำลังยืนยกมือขึ้นไพล่หลังอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น ตรงข้ามกับเขา เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตื่นเต้น พยายามระงับเสียงร้องอุทานที่เกิดจากความปีติยินดีเกินควบคุมของตัวเอง
กลุ่มเด็กหนุ่มสาวที่ยืนอยู่ในแถวเหลือบมองไปยังต้นตอของความวุ่นวายนั้นและขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ แต่คำพูดถัดมาของเด็กหนุ่ม กลับดึงเอาความสนใจของพวกเขาไปจนหมดสิ้น
“มู่เฉิน! ท่านก็คือผู้อาวุโสสูงสุดมู่เฉินของสำนักชิงอวิ๋นใช่หรือไม่! ผู้อาวุโสมู่ ไม่ทราบว่าท่านได้พกเม็ดยามาด้วยหรือไม่ขอรับ โปรดขายให้ข้าสักเม็ดเถิด ก่อนหน้านี้พี่ชายข้าได้รับยาเม็ดหนึ่งจากสำนักชิงอวิ๋นมา หลังจากเขากินมันลงไป พลังวิญญาณของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด! ได้โปรดเถิด ข้าขอร้องท่าน! ได้โปรดขายให้ข้าสักเม็ดเถิดนะขอรับ!” เด็กหนุ่มคนนั้นวิงวอนต่อบุรุษชุดขาวตรงหน้า
บรรดาเด็กหนุ่มสาวคนอื่นๆ ที่กำลังยืนเข้าแถวอยู่ มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร่มอย่างไม่เชื่อสายตา
คนอื่นอาจจะไม่ทราบ แต่คำว่า ‘สำนักชิงอวิ๋น’ สามคำนี้ เปรียบเสมือนดั่งเสียงฟ้าร้องก้องอยู่ในหูของพวกเขา!
ไม่มีใครในผืนแผ่นดินนี้ที่ไม่รู้ว่าสำนักชิงอวิ๋นเป็นสำนักที่ดีที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ แต่สำนักอันดับหนึ่งดังกล่าว เมื่อไม่นานมานี้จู่ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขา! ข่าวการยุบสำนักชิงอวิ๋นถูกประกาศลงมาอย่างกะทันหันราวกับฟ้าผ่า นอกเหนือจากผู้อาวุโสสูงสุดนามมู่เฉินแห่งยอดเขาเทียมเมฆา ท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของยอดเขาทั้งสิบในสำนักชิงอวิ๋นล้วนแล้วแต่เสียชีวิตแล้วทั้งสิ้น! หลังจากมู่เฉินประกาศยุบสำนักได้ไม่นาน เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อจู่ๆ สำนักอันดับหนึ่งก็ออกมาประกาศยุบสำนัก ความโกลาหลฉับพลันแพร่กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน ผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปต่างๆ นานา คาดเดาถึงเบื้องลึกเบื้องหลังและสาเหตุที่ทำให้สำนักชิงอวิ๋นต้องจบลงด้วยสภาพน่าอเนจอนาถเช่นนี้
การหายตัวไปของสำนักชิงอวิ๋น ทำให้หลายๆ คนที่กำลังรอการรักษาจากพวกเขาอยู่ แผดเสียงร้องไห้คร่ำครวญให้กับความโชคร้ายของตัวเอง สาเหตุที่ทำให้สำนักชิงอวิ๋นยึดครองชื่อเสียง ‘สำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ มาได้ยาวนานหลายทศวรรษ ไม่ใช่เพราะพวกเขามีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศเท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือมันยังรวมไปถึงเม็ดยาหายากราคานับหมื่นตำลึงทองพวกนั้นด้วย!
เมื่อกี้นี้….เด็กหนุ่มนั่นเรียกบุรุษชุดขาวผู้นั้นว่า ‘มู่เฉิน’ ใช่หรือไม่
นี่ไม่ใช่ชื่อของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งยอดเขาเทียมเมฆา ผู้อาวุโสที่เหลือรอดอยู่เป็นคนสุดท้ายของสำนักชิงอวิ๋นหรอกหรือ!
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าบุคคลดังกล่าวน่าจะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักชิงอวิ๋น ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็หูผึ่งขึ้นมา
ยอดเขาเทียมเมฆา เป็นยอดเขาที่เน้นศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาหลอดเลือดและเส้นลมปราณเป็นหลัก มีไม่กี่คนที่เคยเห็นมู่เฉินตัวจริง ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงยังไม่ได้ปักใจเชื่อมากนัก แต่เมื่อสังเกตเห็นป้ายประจำตัวที่ห้อยอยู่ที่เอวของบุรุษชุดขาวผู้นั้น ทันใดนั้นความคลางแคลงใจฉับพลันก็แปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ความสงสัยถูกพัดให้หายวับไปพร้อมกับสายลม!
มันคือป้ายประจำตัว สัญลักษณ์ของสำนักชิงอวิ๋นของจริง!
ป้ายดังกล่าว ถูกนำมาใช้เฉพาะกับเจ้าสำนัก ผู้อาวุโส และลูกศิษย์สายในของสำนักชิงอวิ๋นเท่านั้น ลูกศิษย์ภายนอกไม่สามารถครอบครองมันได้
ท่านเจ้าสำนักชิงอวิ๋นและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ระเหยกลายเป็นไอเพียงชั่วข้ามคืนไปแล้ว บุคคลเดียวที่ยังมีโอกาสถือครองป้ายดังกล่าวอยู่ จึงมีเพียงคนของยอดเขาเทียมเมฆา!