บทที่ 188 ทำให้เขาไม่อาจตัดใจและปล่อยวางได้

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

เหยาซูเอ่ยอธิบาย “คืนนี้ต้าเป่าและเอ้อเป่าจะค้างที่บ้านพี่รอง เพราะอยากนอนกับญาติผู้พี่ของพวกเขา”

ครั้นซานเป่าเห็นหลินเหราก็ยื่นมือออกไปพร้อมกับส่งเสียงร้องอ้อแอ้อยากให้พ่อของเขาอุ้มทันที

หลินเหราเองก็ไม่ได้เจอกับลูกชายมาหนึ่งวันเต็มแล้ว จึงยื่นมือออกไปรับทารกตัวน้อยมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้ซานเป่านอนหลับเพียงพอแล้วหรือไม่ หือ?”

ตอนนี้เด็กทารกยังไม่เข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่ แต่สำหรับผู้เป็นพ่อนั้น เขาสามารถใกล้ชิดและรักอีกฝ่ายด้วยสัญชาตญาณ ซานเป่าฉีกยิ้มให้หลินเหราจนเห็นฟันน้อย ๆ ขนาดเท่าเม็ดข้าวสาลีสามซี่ด้านล่างของตัวเอง

ความอบอุ่นจากอ้อมกอดในวงแขน ราวกับมีความสามารถทำให้หัวใจของพวกผู้ใหญ่อ่อนยวบลงทันใด

หลินเหราอดมองไปทางเหยาซูไม่ได้ ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ ออกมา “แต่ก่อนตอนอาจื้อและอาซือยังเด็กกลับไม่รู้สึกว่าจะทำให้หลงรักได้มากขนาดนี้”

เหยาซูเองก็คลี่ยิ้มเช่นกัน “นั่นเพราะท่านเล่นกับพวกเขาน้อย อุ้มพวกเขาน้อยเกินไป ตอนนี้ซานเป่ามีคนอยู่เป็นเพื่อนแทบทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาหิว กระหาย ฉี่ ง่วง ล้วนมีคนทำให้พอใจอยู่เสมอ เขาจึงได้ใกล้ชิดกับคนรอบตัวมากขึ้น ซึ่งนั่นยิ่งทำให้คนรอบตัวต่างหลงใหลในความน่ารักจนติดงอมแงมเชียวล่ะ”

หลินเหราพยักหน้า จากนั้นก็เปลี่ยนอิริยาบถในการอุ้มซานเป่า

เมื่อครั้งที่อาจื้อและอาซือยังเด็กมาก แม้ว่าหลินเหราจะได้อุ้มพวกเขาแต่ก็มีหลายครั้งหลายคราที่ไม่ได้ตั้งใจดูแลเช่นนี้

สำหรับชีวิตความเป็นอยู่และอาหารการกินของเด็กทั้งสองคน เขาไม่เคยมีส่วนร่วมและเข้าใจทุกกระบวนการทั้งหมดนี้

ตอนนี้ซานเป่ากำลังอยู่ในช่วงเติบโต ในแต่ละวันจึงมีความแตกต่างกันออกไป

และเนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมาเหยาซูมักจะเผาถ่านไว้ในมุมบ้าน ภายในบ้านจึงค่อนข้างอบอุ่น เขาที่สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นจึงไม่ได้ห่อตัวขดเป็นก้อนในช่วงฤดูหนาว ทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกมากขึ้น

หลายวันมานี้เขาพยายามจะพยุงตัวก้าวเดินจากสิ่งของรอบตัว ครั้นปล่อยมือก็ยังยืนได้ ทว่ามีแค่ร่างกายท่อนบนที่มีกำลังเพียงพอ ขาทั้งสองข้างยังคงอ่อนแรง ไม่ได้มีเรี่ยวแรงมากมายนัก ยืนได้ไม่นานก็หล่นตุบนั่งลงไปอีกครั้ง

หลินเหราใช้มือทั้งสองข้างประคองร่างกายท่อนบนของซานเป่า ให้เขายืนด้วยขาของตัวเอง

เหยาซูถอดรองเท้าคู่เล็ก ๆ ของเขาออก เผยให้เห็นเท้าเล็ก ๆ ที่ขาวเนียนของเขา บางครั้งซานเป่าก็เริ่มส่งเสียงร้องอ้อแอ้เหมือนอยากจะพูด

หญิงสาวยิ้มก่อนจะเลียนแบบภาษาของเด็กทารกน้อยที่พาลให้ปวดหัว พูดคุยหยอกล้อกับเขา

ซานเป่ายังทำได้แค่ส่งเสียงด้วยทำนองที่ง่ายที่สุดเท่านั้น เหมือนกับลูกสัตว์ตัวน้อย ทำให้หัวใจของเหยาซูรู้สึกอบอุ่นมาก นางยิ้มพร้อมกับหันไปถามหลินเหราว่า “ท่านเดาดูสิ ซานเป่าจะเรียนรู้การเรียกพ่อหรือว่าแม่ของเขาได้ก่อนกัน?”

น้ำเสียงของหลินเหรานั้นทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความอบอุ่น ทำให้เปล่งเสียงอันแสนอบอุ่นได้อย่างไร้ข้อจำกัด “ก็ต้องเรียนรู้จากการเรียกแม่ก่อนสิ”

เหยาซูมีความเอาใจใส่ต่อซานเป่าเป็นอย่างดี ซึ่งมันอยู่ในสายตาของหลินเหราเสมอมา เขาจึงมั่นใจว่าซานเป่าจะต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อมารดาของเขาเป็นที่สุด

ทั้งสองคนทำอาหารมื้อค่ำอย่างง่าย ๆ ทั้งยังอยู่เล่นเป็นเพื่อนซานเป่าอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งเห็นเด็กทารกน้อยเริ่มขยี้ตาง่วงงุน เหยาซูจึงอุ้มซานเป่ามาป้อนนมอยู่ในอ้อมแขน ไม่นานเขาก็หลับอยู่ในอ้อมกอดผู้เป็นแม่

ท้องฟ้าในเวลานี้มืดมากแล้ว เหยาซูลุกขึ้นไปจุดตะเกียงน้ำมัน ก่อนนั่งอยู่ใต้แสงเทียน

เหยาซูหยิบสุราดอกกุ้ยฮวากลิ่นหอมละมุนเบาบางออกมา วางลงด้านข้างก่อนจะเอ่ยเชิญชวนด้วยรอยยิ้ม “ดื่มสักหน่อยดีหรือไม่?”

หลินเหราผู้ไม่เคยล้อเล่นได้เอ่ยขึ้น “สุรานี้จางเกินไป เป็นแบบที่สตรีดื่มกัน ข้าดื่มไปก็ไร้รสชาติ”

ครั้นเหยาซูได้ยินประโยคนี้ ก็ถลึงตาใส่เขา “ในครัวยังมีเซาเตาจื่อ[1]อีกนะ เดิมทีข้าตั้งใจเตรียมไว้ให้เหล่าสหายในจวนตรวจการพวกท่าน ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าสุรานั้นมีฤทธิ์รุนแรงยิ่ง กระนั้นก็ยังอร่อยสู้สุราของข้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”

หลินเหรานั่งลงข้างกายของเหยาซู มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบจอกสุราซ้ายจอกหนึ่งขวาจอกหนึ่งมาวางเรียงกันตรงหน้าของอีกฝ่าย ใช้การกระทำแสดงออกถึงการเลือกของตัวเอง

เหยาซูดึงจุกขวดสุรากุ้ยฮวาด้วยมือก่อนจะทำแก้มป่อง “ไหนบอกว่าสุรามันจางอย่างไรเล่า? ไม่ให้ท่านดื่มแล้ว”

หลังจากจุดตะเกียงในบ้านแล้วท้องฟ้าภายนอกได้มืดสนืทลง บานหน้าตาถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ความมืดมิดแลคล้ายกับหมึกสีดำกระจายตัวสุดลูกหูลูกตา แต่มันกลับถูกแสงไฟสีส้มเรืองรองจากตะเกียงขนาดเล็กขับไล่ออกไป

ภายในห้องจึงอบอุ่นขึ้นทันใด

ช่วงกลางวันหลินเหรามักจะมองด้วยสายตาเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่ภายใต้แสงไฟที่แสนอบอุ่นเช่นนี้กลับสะท้อนให้เห็นแววตาแพรวพราวระยิบระยับ พาให้รู้สึกหลงใหลเคลิบเคลิ้มยิ่งนัก

สุ้มเสียงของเขานั้นทุ้มต่ำทั้งยังแหบแห้งมากกว่าปกติ “ในเมื่อมีสุราของเจ้าแล้ว อย่างอื่นก็คงดื่มไม่ลงแล้วล่ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น เหยาซูพลันหลุดหัวเราะออกมา มือที่ถือสุราอยู่ก็ค่อย ๆ เลื่อนลงโดยไม่รู้ตัว

หลินเหรารินสุราใส่จอกทั้งสอง สีของมันดูเจือจางยิ่งนักแต่สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของดอกไม้อันเบาบางลอยมาแตะปลายจมูก

เขาจึงได้รู้ว่าเหยาซูนั้นชอบดอกกุ้ยฮวา

ใต้หมอนที่อยู่ในบ้านนั้นถูกวางด้วยดอกกุ้ยฮวาที่ต้องลมจนแห้ง ครั้นเอนกายนอนลงบนหมอนในเวลากลางคืนจะทำให้หลับสบายตลอดทั้งคืน ในสบู่อาบน้ำที่เหยาซูทำเองในลานบ้านก็ใส่ดอกกุ้ยฮวาลงไปด้วย แม้แต่ไขทามือที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งและชาดทาปากที่วางอยู่ข้าง ๆ ก็ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา

หญิงสาวหยิบจอกเหล้าขึ้นมา สายตาของหลินเหราถูกนิ้วเรียวยาวขาวเนียนของเหยาซูดึงดูดไว้ ความคิดที่เกี่ยวข้องกับดอกกุ้ยฮวาที่ผุดขึ้นในสมองนั้นล้วนมลายไปสิ้น เหลือไว้แค่เพียงการเปรียบเทียบที่ง่ายที่สุด

นิ้วมือของเหยาซูและจอกเหล้าสีขาว ท้ายที่สุดแล้วสิ่งใดขาวมากกว่ากัน

เหยาซูไม่รู้ถึงความคิดในสมองของหลินเหรา นางยิ้มบางพร้อมกับชูจอกสุราขึ้นและชนกับจอกของหลินเหราเบา ๆ

เสียงของนางทั้งน่ารักทั้งนุ่มนวล จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความไว้วางใจและพึ่งพาได้โดยที่แม้แต่นางเองก็ไม่ได้สังเกต “ท่านลองชิมสิ รสชาติมันเข้มข้นกว่าที่เห็นมากเชียวล่ะ”

เหยาซูมองไปทางหลินเหราในขณะที่พูด เขายกจอกเหล้ามาจรดริมฝีปาก สิ่งที่คิดในใจขณะนี้คือ หากในตอนนี้สิ่งที่เหยาซูให้เขาดื่มคือสุราพิษ เขาก็คงเต็มใจดื่มมันจนหมดในคราวเดียว

ทันทีที่สุราดอกกุ้ยฮวาเข้าปากไป ก็เป็นดั่งที่เหยาซูพูดไว้จริง ๆ รสชาติของมันอร่อยกว่าที่เห็นมากยิ่งนัก

เขาไม่สนใจคำชื่นชมของตน ก่อนพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “แม้ว่าฤทธิ์สุราในโรงเหล้าจะรุนแรงมากพอ แต่กลับสู้ความหอมนุ่มของสุราที่เจ้าทำไม่ได้”

เหยาซูเม้มปากอมยิ้ม “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”

แม้ว่ากระบวนการในการต้มกลั่นสมัยนี้จะยังไม่สมบูรณ์แบบนัก เหล้าส่วนใหญ่ที่หมักในโรงเหล้ามักไม่บริสุทธิ์ หากอยากได้ระดับความรุนแรง คงทำได้แค่ตัดใจจากรสชาติอื่น เพราะสุราที่มีฤทธิ์รุนแรงมักจะช่วยเพิ่มรสชาติให้แก่อาหาร

ส่วนสุราที่มีรสสัมผัสที่ดีเหล่านั้นกลับมีสีอ่อนจาง รสชาติยังจืดชืดเหมือนกับน้ำเปล่า ดื่มไปแล้วก็ไม่รู้สึกอะไร

สำหรับสุราขวดเล็กของเหยาซู แม้จะไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก แต่ฤทธิ์ความรุนแรงนั้นมีมากพอ

ดื่มครั้งแรกยังไม่รู้สึก รอให้มันไหลลงหลอดอาหารไปยังท้อง ช่วงสุดท้ายมันจะค่อย ๆ ตีขึ้นมา

นัยน์ตาของหลินเหราเปล่งประกาย จากนั้นก็เอ่ยชื่นชมด้วยใจจริง “อาซู เจ้าเก่งยิ่งนัก ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ก็ล้วนทำออกมาได้ดีกว่าผู้อื่นเสมอ”

เหยาซูถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “อะไรกันเล่า ก็แค่เหล้าไม่ใช่หรือ ใครบ้างล่ะที่ทำไม่ได้?”

สำหรับนางมันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก จะเหล้ากลั่นก็ดี จะชาดทาปากก็ดี แค่รู้หลักการก็ทำออกมาได้เป็นอย่างดี แต่ในสายตาของคนภายนอกในยุคสมัยนี้ ครั้นจะทำก็ย่อมทำได้ แต่กลับยากที่จะทำออกมาได้ดีเช่นนาง

หลินเหราส่ายหน้า พูดยืนยันว่า “อาซู เจ้านั้นแตกต่าง”

หัวใจของเหยาซูสั่นไหวเล็กน้อย ภายใต้แสงเทียนเช่นนี้ หญิงสาวสัมผัสได้ว่าสุ้มเสียงของหลินเหรานั้นไพเราะเสียจนทำให้ภายในหูผู้อื่นรู้สึกชาไปเลยทีเดียว

บางทีนี่อาจจะเป็นการดื่มสุราจอกแรก ใบหน้าของเหยาซูจึงถูกแต้มด้วยสีชมพูอ่อนระเรื่อ

เมื่อนางเผชิญหน้ากับสายตาของหลินเหรา เหยาซูจึงใช้สายตาที่ดูจริงจังเช่นเดียวกันมองเขาตอบ จากนั้นก็พูดโดยไม่อาจควบคุมได้ “ในใจของข้า ท่านก็แตกต่างเช่นเดียวกัน”

ครั้นสิ้นสุดประโยคนี้ เหยาซูก็รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองคล้ายกับร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด

หลินเหราไม่ได้เอ่ยถามว่าความแตกต่างในใจของเหยาซูนั้นหมายความว่าอย่างไร เขาไม่ใช่ท่อนไม้ย่อมฟังออกว่าประโยคง่าย ๆ แค่นี้แฝงไปด้วยความรักและเต็มไปด้วยความห่วงใย

ใช่ ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้โดยไม่รู้ตัว ถึงความรู้สึกที่เหยาซูมีต่อเขา

เวลานี้ความอึมครึมสีเทาที่ข่มไว้ในหัวใจของหลินเหราราวกับถูกเปิดเผยอย่างทะลุปรุโปร่ง

เขาเคยชินกับความเงียบงันและความอดกลั้น เคยชินกับการเมินเฉยต่อบาดแผลและความเจ็บปวดทั้งหมดบนร่างกายของตัวเอง แต่การมีตัวตนของเหยาซู ความห่วงหาอาทรและความรู้สึกที่นางมีต่อเขา ล้วนทำให้ความเคยชินเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไป

ความอบอุ่นและความงดงามที่หญิงสาวมอบให้เขา ล้วนเป็นสิ่งที่หลินเหราไม่เคยได้เสพสุขจากคนใกล้ชิดคนไหนมาก่อน

“อาซู…”

เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนที่เย็นชาไร้ความรู้สึกคนหนึ่ง แต่ความอบอุ่นของเหยาซูกลับทำให้เขาไม่อาจตัดใจและปล่อยวางได้

………………………………………………………………………………………………

[1] *烧刀子 เซาเตาจื่อ ชื่อเหล้าจีนที่มีความเข้นข้นของแอลกอฮอล์อยู่ที่ 65% 烧 แปลว่าเผาไหม้ 刀子 แปลว่ามีด ชื่อนี้ได้มาเพราะเวลาดื่มเหล้านั้นแสบคอจนเหมือนโดนมีดบาดคอ

สารจากผู้แปล

เขาว่าถ้าได้ดื่มสุราแล้วมันจะกล้าพูดคุยแบบเปิดอกกันมากขึ้นนะคะ แต่ต้องอยู่ในระดับที่พอดี ถ้าเกินกว่านั้นจะเมาเรื้อนพูดจาไม่รู้เรื่อง

ดูจากคำพูดแล้ว นี่จีบกันแหละค่ะ

ไหหม่า(海馬)