ตอนที่ 265 เรื่องเก่า
นายท่านเหยาได้พบฉินมู่หลานกับคนอื่น ก็ก้าวเดินมาทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม ส่วนคนที่เดินมาข้าง ๆ คือคุณนายเหยาที่ไม่ได้เจอหน้ากันนาน
ฉินมู่หลานอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อเห็นคุณนายเหยา ไม่คิดว่าครั้งนี้คุณนายเหยาจะยอมออกมาจากห้อง
นายท่านเหยาเอ่ยทักทายเจี่ยงสือเหิงก่อน จากนั้นจึงหันมองฉินเจี้ยนเซ่อกัซูหว่านอี๋ด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถาม “พวกคุณคือพ่อแม่ของมู่หลานใช่ไหมครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
หลังจากพูดก็หันมองฉินเคอวั่งอีกครั้ง “เธอคือน้องชายของมู่หลานใช่ไหม หล่อเหลาเอาการเลยนะ สองพี่น้องหน้าตาดีจริง”
ฉินเจี้ยนเซ่อกับซูหว่านอี๋เห็นว่านายท่านเหยามีความพยายามเข้าหาขนาดนั้น ก็รีบยกยิ้มตอบทันที
และในตอนนี้ เหยาจิ้งจือก็ได้เอ่ยแนะนำอย่างรวดเร็ว “พ่อคะ พวกเขาคือพ่อกับแม่ของฉินมู่หลาน ฉินเจี้ยนเซ่อกับซูหว่านอี๋ค่ะ ส่วนนี่คือน้องชาย ฉินเคอวั่ง เคอวั่งเองก็ทำคะแนนสอบครั้งนี้ได้ดีเหมือนกัน สอบได้ที่ชิงต้า ทั้งสองพี่นอ้งเก่งมากจริง ๆ ค่ะ”
นายท่านเหยาอดพยักหน้าไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว ทั้งสองพี่น้องเก่งมากจริง ๆ”
ขณะพูดเช่นนั้น เขาก็รีบเรียกฉินเจี้ยนเซ่อกับเจี่ยงสือเหิงไปร่วมดื่มชาในบ้านอย่างรวดเร็ว
หลังจากทุกคนเข้าไปในบ้านแล้ว นายท่านเหยาก็เอ่ยเชื้อเชิญทุกคนให้นั่งลงอย่างอบอุ่น และเขาก็เดินเข้าไปหาเด็กทั้งสองคนด้วยสีหน้าเอ็นดู ก่อนจะอุ้มขึ้นในมือ เด็กทั้งสองก็น่ารักมาก “เฉินเฉินชิงชิงน่ารักที่สุดเลย”
แม้แต่คุณนายเหยาก็เดินเข้ามาด้วย ยามเห็นหน้าตางดงามของเด็กทั้งสอง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แต่อีกเดี๋ยวพวกเขาจะต้องกินข้าว หากเซี่ยเจ๋อหลี่กับฉินมู่หลานยังต้องอุ้มลูกจะรับประทานบำบาก นายท่านเหยาจึงหันไปมองพ่อบ้านเหยา ก่อนจะพูดขึ้น “เหยาซาน ไปเอาเปลที่ทำเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมาหน่อย”
เหยาซานได้ยินสิ่งนี้ก็ยกยิ้มแล้วรีบบอก “นายท่าน ผมบอกให้คนนำเปลมาเรียบร้อยแล้วครับ”
เพิ่งเอ่ยจบประโยค ก็มีคนยกเปลสองอันมาวางเอาไว้อย่างเรียบร้อย
ฉินมู่หลานมองเปลแสนสวยปูด้วยผ้านวมที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ก็อดยิ้มแล้วหันมองนายท่านเหยาเสียไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “คุณตาใส่ใจจังเลยค่ะ”
เด็กทั้งสองนอนลงในเปลอย่างเชื่อฟัง แต่ส่งเสียงอ้อแอ้เป็นบางครั้ง
ฉินมู่หลานเห็นว่าพ่อบ้านเหยากำลังไกวเปลให้เด็ก ๆ ก็พูดขึ้น “พ่อบ้านเหยาคะ ปล่อยพวกเขานอนเฉย ๆ ก็พอค่ะ ไม่ต้องไกวหรอก”
พ่อบ้านเหยาพยักหน้าทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก่อนจะเอ่ย “ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
หลังจากนั้นทุกคนก็นั่งลงล้อมรอบโต๊ะใหญ่แล้วเริ่มรับประทานอาหารกันทันที
หลังจากนายท่านเหยากับฉินเจี้ยนเซ่อพูดคุยกันสองสามประโยค ก็อดหันมองซูหว่านอี๋อีกครั้งเสียไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยความเศร้าใจ “คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะเป็นลูกสาวคนเล็กของตระกูลซู ตอนนั้นฉันได้เจอพ่อแม่ของเธออยู่ไม่กี่ครั้ง ต่อมาก็ได้ยินว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับพ่อแม่ของเธอ ก็ได้แต่รู้สึกว่าทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยง แต่ก็ไม่คิดเลยว่าพวกตระกูลซูคนอื่นจะกล้าขนาดนี้ ถึงได้มาเอาเรื่องพวกเธอสองคนพี่น้อง”
นายท่านเหยาได้ยินเหยาจิ้งจือเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับสองพี่น้องตระกูลซูและทราบด้วยว่าซูหว่านอวี๋เสียแล้ว ก็ได้แต่รู้สึกเสียดาย เขารู้สึกว่าหญิงสาวที่รักการสวมใส่ชุดแดงคนนั้นค่อนข้างน่าประทับใจ เป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมมากเหลือเกิน
คุณนายเหยาที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นทันที “แล้วหลังจากพวกเธอสองพี่น้องออกจากเมืองหลวงไปแล้วไปอยู่ที่ไหนกันเหรอ? พี่สาวของเธอเสียไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แล้วทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงไม่กลับมาที่เมืองหลวงบ้างล่ะ?”
หลังจากเอ่ยเช่นนั้นก็หันมองฉินเจี้ยนเซ่ออีกครั้ง เข้าใจว่าถึงตอนนี้ตระกูลซูจะล่มสลายแล้ว แต่ในตอนนั้นก็ยังเป็นตระกูลใหญ่ในกรุงปักกิ่ง ซูหว่านอี๋เป็นลูกสาวคนรองของตระกูลซู แต่สุดท้ายก็ไปแต่งกับคนบ้านนอก
ซูหว่านอี๋ได้ยินสิ่งนี้ ก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย
เมื่อพิจารณาว่าอีกฝ่ายเป็นแม่ของเหยาจิ้งจือ หล่อนจึงได้แต่พูดว่า “ฉันกับพี่ลงไปทางใต้กันค่ะ จากนั้นก็เดินทางไปที่เมืองซานตง แล้วต่อมาพี่ก็จากไป ฉันที่อยู่ตัวคนเดียวในมณฑลซานตงก็ไม่ได้มีความคิดจะกลับมาเมืองหลวงเลย อีกอย่างฉันก็รู้สึกว่าเจี้ยนเซ่อเป็นคนดีมาก จึงได้แต่งงานกับเขา กระทั่งพี่สาวของฉันก็เห็นด้วยกับการแต่งงานนี้”
คุณนายเหยาได้ยินสิ่งนี้ ก็หันมองฉินเจี้ยนเซ่ออย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ให้ข้อดีเลยสักอย่าง
แต่นางก็ยังสงสัยเรื่องของพี่น้องตระกูลซู เพราะสองพี่น้องพยายามฉุดรั้งกิจการทั้งหมดของตระกูลซูอื่น ตระกูลซูพวกนั้นไม่ทันได้ระวัง สุดท้ายทั้งสองพี่น้องก็ออกจากเมืองหลวงไปอย่างสง่างาม “พวกเธอสองพี่น้องไปทางใต้ที่ไหนกันมาเหรอ สถานที่ก็ไม่คุ้นเคย ไม่กลัวกันบ้างเหรอ?”
นายท่านเหยาเห็นว่าคุณนายเหยาเอาแต่ซักถาม ก็อดหันมองนางไม่ได้
เมื่อเห็นแววตาของนายท่านเหยา คุณนายเหยาก็รู้สึกขัดใจ นางแค่อยากจะถามเพิ่มอีกสักสองสามข้อเท่านั้นเอง ทำไมถึงไม่ให้ถามกัน
เหยาจิ้งจือที่อยู่ข้าง ๆ ก็ได้แต่รู้สึกอายมาก หล่อนเป็นคนเอ่ยปากชวนทุกคนมากินข้าวเย็นที่บ้าน ทว่าคุณนายเหยากลับถามล้วงลึกถึงเรื่องส่วนตัวของคนอื่น นี่มันเรื่องอะไรกัน
ขณะที่หล่อนกำลังจะเอ่ยปากพูด ซูหว่านอี๋ก็บอกกล่าวอย่างใจเย็น “พวกเราไปที่เมืองหยางเฉิงกันค่ะ”
หลังจากนั้นซูหว่านอี๋ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
คุณนายเหยาเห็นว่าทุกคนดูไม่มีความสุข จึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก
นายท่านเหยาเห็นว่าบรรยากาศชวนน่าอึดอัด จึงรีบพูดเพื่อทำลายความเงียบ
“พวกเธอไปที่เมืองหยางเฉิงเองเหรอ ฉันจำได้ว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนลูกชายคนเล็กของตระกูลเซี่ยก็ไปทำงานที่หยางเฉิงมาเหมือนกัน แต่เมืองหยางเฉิงก็ใหญ่มาก ถึงจะอยู่เมืองเดียวกัน ก็คงไม่ได้เจอกันหรอก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหว่านอี๋จางหายไป สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชามากยิ่งขึ้น แต่หล่อนลดสายตาลง จึงทำให้มองเห็นสีหน้าของหล่อนแบบชัดเจนได้ยาก
ฉินมู่หลานนั่งอยู่ข้างๆ ซูหว่านอี๋ จึงสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของหล่อนได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ได้เข้าใจว่าทำไมสองพี่น้องตระกูลซูถึงได้เจอกับเซี่ยฉางชิงหลังออกจากเมืองหลวง เพราะเซี่ยฉางชิงไปทำงานที่เมืองหยางเฉิงนี่เอง ตอนนั้นสองพี่น้องตระกูลซูก็อยู่ที่นั่น ซูหว่านอวี๋กับเซี่ยฉางชิงคงได้ไปเจอกันแล้วอยู่ด้วยกันที่นั่น
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉินมู่หลานก็อดถอนหายใจเสียไม่ได้ ช่างเป็นชะตากรรมที่เลวร้าย พวกหล่อนไปไกลถึงเมืองหยางเฉิงเพื่อไปเจอกับเซี่ยฉางชิงแท้ๆ
นายท่านเหยาไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเลย จึงพูดคุยเรื่องอื่นต่อ
โชคดีที่ทุกคนรับประทานอาหารกันอย่างราบรื่น นายท่านเหยาจึงนึกไปถึงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามา ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกังวล “จิ้งจือ ปีนี้ลูกอยู่ฉลองปีใหม่ที่ปักกิ่งหรือเปล่า”
เหยาจิ้งจือพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่ค่ะ ฉลองปีใหม่ที่นี่ เดี๋ยวอีกสองวันครอบครัวของอาเหว่ยก็จะมาปักกิ่งด้วยค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ นายท่านเหยาก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นก็หันมองแล้วยกยิ้มให้ฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋อีกครั้ง
“นายท่านเหยาครับ ครอบครัวของพวกเราก็จะอยู่ฉลองปีใหม่ที่ปักกิ่งด้วยเหมือนกัน ถึงตอนนั้นก็จะอยู่กับเจี่ยงสือเหิง แล้วร่วมฉลองปีใหม่ด้วยกันครับ”
นายท่านเหยาเข้าใจในทันทีว่าตระกูลเจี่ยงฉลองปีใหม่ที่บ้าน เช่นนั้นแล้วหลานชายกับหลานสะใภ้จะไปรวมตัวฉลองปีใหม่ที่ไหนได้
“คุณตาคะ พวกเราจะอยู่ฉลองปีใหม่ที่บ้านพ่อบุญธรรม ถึงตอนนั้นเดี๋ยวจะกลับมาร่วมอวยพรปีใหม่กับพวกคุณตานะคะ”
นายท่านเหยาได้ยินสิ่งนี้ ก็ยกยิ้มแล้วพยักหน้า “เอาสิ ถ้าเป็นอย่างนั้นบ้านของเจี่ยงสือเหิงจะได้คึกครื้นมากขึ้น”
คุณนายเหยาขมวดคิ้ว ก่อนที่จะพูดอะไรสักอย่าง ก็ได้รับสายตาที่ส่งมาจากนายท่านเหยา จึงไม่พูดอะไรอีกเลย
หลังจากที่ทุกคนนั่งคุยกันสักพัก พวกฉินมู่หลานก็กลับไป ส่วนเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงก็ยังอยู่ที่ตระกูลเหยาต่อ เพียงแต่สีหน้าของเหยาจิ้งจือดูไม่ค่อยดีนักจนไม่สามารถทนได้ ก่อนจะหันไปมองแล้วเอ่ยพูดกับคุณนายเหยา “พี่สาวของหว่านอี๋เสียไปแล้ว ทำไมแม่ถึงไปกระตุ้นความเศร้าของหล่อนขึ้นมาล่ะคะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แม่เฒ่ายั้งปากไว้บ้างเถอะค่ะ เรื่องส่วนตัวที่เป็นประเด็นอ่อนไหวขนาดนั้นมันสมควรถามกันตรงๆ เหรอ ได้ซีนแย่มาหลายครั้งแล้วนะคะ
ไหหม่า(海馬)