ตอนที่ 79-2 อุบายของพี่ซิว
“ท่านลุงหมิง ท่านลุงหมิงเจ้าคะ ข้ามีของจะให้ท่านดู!” วั่งซูบิดตัวลงจากอ้อมแขนของจีหมิงซิว ขาเล็กๆ วิ่งตึงตังเข้าไปในห้อง วั่งซูหยิบสมบัติที่นางซ่อนไว้ใต้หมอนอย่างดีออกมาแล้ววิ่งมาพร้อมกับรอยยิ้มระรื่น “ท่านลุงหมิง ท่านดูนี่สิ รางวัลที่ข้าได้เจ้าค่ะ!”
จีหมิงซิวมองลูกคิดทองรางน้อย รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ชอบหรือไม่”
“เจ้าค่ะ!” วั่งซูพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด
จีหมิงซิวลูบผมของนางเบาๆ “ชอบก็ดีแล้ว” เขาหันไปมองจิ่งอวิ๋นผู้กำลังจดจ่ออยู่กับการคัดอักษร เด็กคนนี้ช่างหน้าตาเหมือน…
จิ่งอวิ๋นรู้ตัวว่าลุงหมิงกำลังมองเขา จึงเงยหน้าขึ้นเรียกว่าท่านลุงหมิงคำหนึ่ง จีหมิงซิวผงกศีรษะให้เล็กน้อย ส่วนสายตาจับอยู่บนลายมืออันสวยงามของเขา “เขียนได้ไม่เลว”
จิ่งอวิ๋นถูกชมก็แอบปลื้มใจแต่ไม่แสดงสีหน้า ตั้งหน้าตั้งตาคัดอักษรต่อไป
จีหมิงซิวเข้าไปหยิบโถในครัว
เฉียวเวยกำลังหั่นผัก นางเหลือบเห็นโถก็ทราบว่าเขากำลังจะไปแล้ว แต่นางไม่พูดอะไรสักคำ
“เท่าไร” จีหมิงซิวมองมาแล้วถามนาง
เฉียวเวยหั่นหัวไชเท้าเสร็จแล้ว กำลังหยิบหมูสามชั้นที่ล้างแล้วมาวางบนเขียง “ไม่ต้องหรอก คราวที่แล้วข้ากินดื่ม พักอาศัยอยู่ในบ้านของท่านเปล่าๆ ท่านยังไม่เก็บเงินข้าเลย”
จีหมิงซิวกวาดสายตามองทักษะการใช้มีดอันคล่องแคล่วของนางพริบตาหนึ่งแล้วเลิกคิ้ว “ไม่เอาจริงหรือ”
“จริงสิ”
จีหมิงซิวจึงไม่เกรงใจนางอีก สายตากวาดมองบนร่างของนาง “วันนี้…เจ้าไปวิวาทกับผู้อื่นมาอีกแล้วใช่หรือไม่”
เฉียวเวยเบิกตาโตใส่เขา “เปล่าเสียหน่อย”
จีหมิงซิวมองนางด้วยแววตาเหมือนจะบอกให้ดูตัวเองเสียบ้าง “แขนเสื้อขาดหมดแล้ว”
เฉียวเวยก้มมองก็เห็นว่าแขนเสื้อข้างขวาขาดจริงๆ มันน่าจะขาดตอนนางตกจากชั้นสองลงมาโดนหลังคารถม้า
“เกี่ยวถูกตอนอยู่ในรถม้าต่างหาก” นางพูดโดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนสักนิด
จีหมิงซิวมองลึกเข้าไปในดวงตาของนางแล้วหยิบขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ วางไว้บนเตา จากนั้นถือโถเดินออกจากห้องครัวไป
เฉียวเวยมองยาจินชวงบนเตา แล้วก้มหน้าหั่นผักต่อ
…
ป้าหลัวเข้าเมืองไปเที่ยวหนึ่ง พอกลับมาก็ขึ้นเขามาหาเฉียวเวย เดินมาได้ครึ่งทาง นางก็เห็นบุรุษคนหนึ่งสวมหน้ากากหรูหรากำลังเดินลงมาจากภูเขา ในมือเขาถือโถใบหนึ่ง บนฝาติดวันที่เอาไว้ นี่มันโถหมักไข่เยี่ยวม้าของเสี่ยวเวยนี่…
ป้าหลัวมองเขาอย่างแปลกใจ เขาเดินผ่านไปพร้อมกับสีหน้าเรียบเฉย กลิ่นหอมจางๆ แผ่ออกมาในอากาศ แต่ไม่ใช่กลิ่นแป้ง แท้จริงคือกลิ่นสิ่งใด ป้าหลัวก็ตอบไม่ได้ นางเพียงรู้สึกว่าเป็นบุรุษตัวใหญ่โตแท้ๆ เหตุไฉนจึงตัวหอมเช่นนี้
ป้าหลัวขึ้นไปบนภูเขา “เสี่ยวเฉียว!”
เฉียวเวยใส่เนื้อที่หั่นเรียบร้อยแล้วลงไปผัดในกระทะ “แม่บุญธรรม ท่านมาแล้วหรือ”
ป้าหลัวชี้ไปที่นอกบ้าน “ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”
“ท่านลุงหมิงของข้าเจ้าค่ะ!” วั่งซูน้อยเกาะที่ขอบประตู ศีรษะเล็กๆ ของนางโผล่ออกมา
ป้าหลัวมองเฉียวเวยอย่างมีเลศนัย “เขามาทำไม บอกว่ามีคู่หมั้นแล้วมิใช่หรือ”
เนื้อเกือบจะผัดได้ที่แล้ว น้ำมันจากเนื้อค่อยๆ ออกมา ไอร้อนระอุพวยพุ่งเสียงดังฉ่า เฉียวเวยเทพริกเขียวและหูหลัวปัวลงไป พลางกล่าวว่า “ท่านอย่าเข้าใจผิด เขามาซื้อไข่เยี่ยวม้า”
ป้าหลัวพยักหน้า ไข่เยี่ยวม้าของเฉียวเวยขายดีจริงๆ ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำมากมาย แต่ราคาแพง คนทั่วไปซื้อไม่ไหว ดูท่าทางคุณชายคนนั้นคงมิใช่คนขัดสนเงินทอง มาซื้อไข่เยี่ยวม้าไกลขนาดนี้ก็ฟังดูสมเหตุสมผล
หลังจากผัดเกือบเสร็จแล้ว เฉียวเวยก็เทน้ำราดลงไปจนท่วม แล้วปล่อยให้เนื้อหัวไชเท้าตุ๋นน้ำแดงอยู่ในกระทะจนนุ่ม “ท่านนั่งข้างนอกสักครู่ อาหารใกล้เสร็จแล้ว”
“ข้าไม่ได้มากินข้าว แต่ข้ามีธุระกับเจ้า”
“เรื่องใดหรือ” เฉียวเวยคิดว่าป้าหลัวจะคุยเรื่องเงินกับนาง นางขโมยถุงเงินนายท่านหกมาได้ ทำให้ได้ลาภลอยเล็กๆ ก้อนหนึ่งจึงเพียงพอซื้อที่ดินแล้ว
แต่ป้าหลัวกลับไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ป้าหลัวยิ้มอย่างมีเลศนัย “วันนี้ข้าไปหาแม่สื่อในเมืองมา แล้วเล่าเรื่องของเจ้าให้นางฟังคร่าวๆ ข้าไปได้เวลาเหมาะเจาะพอดี ตอนนั้นมีสี่ห้าครอบครัวกำลังขอให้นางหาคู่ให้ ทั้งหมดล้วนเป็นคุณชายผู้ดีทั้งสิ้น”
เฉียวเวยยิ้มและพูดว่า “เขาไม่รังเกียจที่ข้ามีลูกติดสองคนหรือเจ้าคะ”
ป้าหลัวกล่าวว่า “ข้าคุยกับนางแล้ว นางบอกว่าเรื่องนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของนาง! ข้าเคยเห็นรูปพวกเขาเหล่านั้นแล้ว คนหนึ่งรูปงาม คนหนึ่งเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ คนหนึ่งเป็นหมอ ส่วนอีกคนเป็นพ่อค้า เปิดร้านขายเนื้อหมูในเมือง หากเจ้าคิดว่าพอใช้ได้ พรุ่งนี้ข้าจะยืมภาพเหมือนมาให้เจ้าดู จะได้ถือโอกาสเชิญจิตรกรมาวาดภาพเจ้าด้วย!”
หวังเจาจวินที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดหญิงงามก็เคยมีภาพเหมือน แต่แล้วอย่างไรเล่าสุดท้ายก็ถูกวาดจนกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์
ภาพเหมือนไม่น่าเชื่อถือพอๆ กับภาพถ่ายที่ผ่านการแต่งรูปมาแล้ว ต่อให้เขาอ้วนแค่ไหน จิตรกรก็มีวิธีการวาดภาพให้ผอมเพรียวราวต้นหลิวลู่ลม อาศัยเพียงเงินไม่กี่ตำลึงเท่านั้น
“เฮ้อ นี่…”
ป้าหลัวขัดจังหวะนางอย่างจริงจัง “อย่าปฏิเสธ! เจ้าไม่ต้องการผู้ชาย แต่ลูกสองคนยังต้องการพ่อ ข้าได้ยินวั่งซูเรียกท่านลุงหมิงๆ ทีไร ข้าก็รู้สึกปวดใจ!”
มันร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ
เฉียวเวยเหลือบมองป้าหลัว เพื่อที่จะหาผู้ชายให้นาง แม่บุญธรรมก็เหน็ดเหนื่อยอยู่ไม่น้อย
“ทำไม เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ” สีหน้าของป้าหลัวเจ็บปวด
เฉียวเวยยิ้ม “เห็นด้วย เห็นด้วยเจ้าค่ะ แต่ข้ามีเงื่อนไข”
“พูดมา!” ตราบใดที่เห็นด้วย ไม่ว่าเงื่อนไขอะไรก็ต่อรองได้!
เฉียวเวยจึงกล่าวว่า “ข้าไม่ดูภาพเหมือนและไม่ฟังคำคุยโวโอ้อวดของแม่สื่อ ข้าอยากพบคนตัวจริง”
ป้าหลัวอึ้ง มีการหาคู่ที่ไหนนัดดูตัวกันจริงๆ บ้าง นี่มันผิดจารีต! ผู้คนในเมืองเคร่งครัดกับขนบธรรมเนียมมากกว่า กำแพงระหว่างชายหญิงหนักหนายิ่งนัก ไม่เหมือนคนในชนบท หญิงสาวบ้านใดล้วนต้องทำงานจึงเป็นเรื่องปกติที่จะพบปะชายหนุ่มอยู่บ้าง
เฉียวเวยตักน้ำหนึ่งถ้วยใส่น้ำราดที่เริ่มข้น “ถ้าท่านไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ข้าก็จะไม่ไป”
ป้าหลัวรีบคว้าตัวนาง “ตกลง ข้าเห็นด้วย! ข้าตกลงแล้วพอใจหรือไม่”
การนัดดูตัวจึงถูกกำหนดด้วยประการฉะนี้ แต่หลังจากนั้นเฉียวเวยก็ต้องรู้สึกเสียใจ ทำไมต้องนัดดูตัวด้วย นางอายุเพิ่งเท่าไรเอง ไม่ใช่ว่าขายไม่ออกจริงๆ เสียหน่อย นางควรจะหาความสุขสักสองปีก่อนสิถึงจะถูก
ป้าหลัวเข้าไปในเมืองอีกครั้งแล้วบอกแม่สื่อไปตามนั้น เพราะว่านางให้เงินมากพอ แม่สื่อจึงตกลงด้วยความยินดี
เฉียวเวยซื้อเต้าหู้สดจากตลาดสดมาหลายชั่ง จากนั้นไปเก็บผักโขมป่าบนเขา ขั้นแรกดึงใบของผักโขมออก เหลือเพียงก้านหนาๆ แล้วหั่นเป็นท่อนๆ ยาวประมาณหนึ่งข้อนิ้วมือ ล้างให้สะอาดแล้วใส่ลงในไห จากนั้นเติมน้ำสะอาด
หลังจากหมักจนมีกลิ่นเปรี้ยวแล้วก็จะได้หัวเชื้อสำหรับทำเต้าหู้เหม็นดำ
ด้านนี้เฉียวเวยกำลังปิดไหนำไปตากแดด ส่วนด้านป้าหลัวนางขึ้นเขามาบอก “เสี่ยวเวย เร็วเข้า จางฮูหยินนัดคนไว้แล้ว ตอนนี้กำลังรอเจ้าอยู่ที่เหลาสุรา!”
จางฮูหยินคือผู้ใด อ๋อ แม่สื่อ
เฉียวเวยไม่อยากไป นางจึงกะพริบตาและพูดว่า “ข้าคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว วันนี้ข้าจะไปทำเรื่องที่ศาลาว่าการ”
ป้าหลัวจับมือนาง “ทำเรื่องจะทำเมื่อไรก็ได้ วางใจเถอะ ที่ดินผืนนี้ไม่หายไปไหนหรอก!”
เฉียวเวยถูกป้าหลัวลากมาถึงตัวเมือง แม้บอกว่าเป็นเหลาสุราแต่จริงๆ แล้วเป็นร้านที่ขายอาหารเช้า ตอนนี้เลยเวลาอาหารเช้าจนใกล้จะเที่ยงแล้ว จึงเหลือลูกค้าที่กินบะหมี่กับซาลาเปาอยู่บ้างเพียงประปราย
จางฮูหยินแต่งตัวเรียบร้อย แต่งหน้าจัดและมีกลิ่นฉุนของแป้งราคาถูก เมื่อนางเห็นเฉียวเวยผู้สวมอาภรณ์สีขาว หัวใจของนางก็เบิกบาน
หญิงสาวที่ทั้งงดงามและเยาว์วัยเช่นนี้เหมือนมารดาที่มีลูกถึงสองคนเสียที่ไหน หากบอกว่าเป็นสาวน้อยวัยแรกแย้ม ทุกคนก็คงเชื่อ ใบหน้าอ่อนเยาว์แลดูเหมือนไม่เคยเผชิญโลก แต่ท่วงท่ากลับสุขุม มองแวบเดียวก็ทราบว่าเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว
ในฐานะที่เป็นแม่สื่อมาครึ่งชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับสตรีที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
สตรีเช่นนี้สมควรนั่งรออยู่ในบ้าน มีคนไปสู่ขอจนธรณีประตูแทบยุบสิถึงจะถูก
“ได้ยินมาว่าเจ้าค้าขายด้วยหรือ” จางฮูหยินถามยิ้มๆ
“นางทำนาของนางเองอยู่สิบกว่าหมู่ แล้วก็ค้าขายอยู่ในหรงจี้!” ป้าหลัวพูดอย่างภาคภูมิใจ “ใช่หรือไม่ เสี่ยวเวย”
เฉียวเวยยิ้ม “เพียงค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงดูครอบครัวเท่านั้น”
ไม่เพียงใช้ชีวิตเป็นแต่ยังหาเงินได้อีกด้วย พูดจาก็ไพเราะ ท่าทางสง่างามเยี่ยงคุณหนูตระกูลผู้ดี สตรีเช่นนี้หายากจริงๆ ดูเหมือนว่าวันนี้ตนเองจะเก็บสมบัติได้แล้ว
จางฮูหยินหลุบตาลง จิบชาเพื่อระงับความตื่นเต้นของตนเอง
ทั้งสามคนนั่งอยู่ครู่หนึ่ง คนที่นัดดูตัวคนแรกก็มาถึง เขาคือเจียงซิ่วไฉผู้มากความรู้
ปีนี้เจียงซิ่วไฉอายุยี่สิบสามปี เขามีใบหน้าหล่อเหลา หลายปีก่อนเคยหมั้นหมาย แต่น่าเสียดายอีกฝ่ายเสียชีวิตก่อน ต่อมาครอบครัวของเขาก็มองหาคู่หมายให้เขาอีกหลายคน แต่เขากลับไม่ค่อยพอใจนัก วันนี้จางฮูหยินมาหาและบอกเขาว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งต้องการจะดูตัว เดิมทีเขาไม่ค่อยยินดีนัก สตรีประเภทใดกันจึงเอ่ยปากขอพบหน้ากับบุรุษก่อน เขาคิดว่าคงมิใช่สตรีผู้เพียบพร้อมนัก…แต่ตอนนี้ เขากลับไม่คิดเช่นนั้นแล้ว
เจียงซิ่วไฉพอใจกับเฉียวเวยมาก
ส่วนเฉียวเวย…
“คุณชายเจียงเป็นบัณฑิตซิ่วไฉปีใดหรือ”
“รัชศกเหวินตี้ ปีที่ยี่สิบเจ็ด”
“นั่นก็คือหกปีที่แล้ว หลังจากนั้นคุณชายเจียงได้ไปสอบอีกครั้งหรือไม่”
“แค่กๆ ธุระในบ้านยุ่งจึงมิได้ไป”
เฉียวเวยยิ้มหวาน “บัณฑิตซิ่วไฉมีสอบคุณสมบัติทุกสามปี ผู้ที่สอบไม่ผ่านหรือไม่ไปสอบจะถูกถอดฐานะบัณฑิตซิ่วไฉ นั่นย่อมหมายความว่าตอนนี้คุณชายเจียง…มิได้เป็นบัณฑิตซิ่วไฉแล้ว”
คุณชายเจียงหน้าแดง
เฉียวเวยหลอกถามต่อไป ถามจนกระทั่งพบว่าคนแซ่เจียงผู้นี้มิเคยเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ครั้งใดทั้งสิ้น เขาเพียงเคยร่ำเรียนในสำนักศึกษาไม่กี่วันเท่านั้น เฉียวเวยให้เขาเขียนบทกวี ลายมือของเขากลับแย่กว่าจิ่งอวิ๋นเสียอีก!
สีหน้าของป้าหลัวบึ้งตึงทันควัน
จางฮูหยินปาดเหงื่อเย็นๆ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ยังมีอีกคน มีอีกคน!”
คนที่สองคือหมอหนุ่ม อายุไล่เลี่ยกับเจียงซิ่วไฉ สวมอาภรณ์งามสง่าดั่งเทพเซียนผู้มีความรู้ แต่รูปร่างหน้าตากลับดู…ธรรมดา
“บุรุษหน้าตาดีก็ไร้ประโยชน์ สิ่งสำคัญที่สุดคือมีความสารถ” ป้าหลัวกระซิบ ดูท่าในใจนางก็คงไม่ค่อยพอใจกับรูปโฉมของพี่ชายท่านนี้นัก
“สีหน้าของแม่นางดูซีดเซียว คืนวานนอนหลับไม่สนิทใช่หรือไม่” หมอหนุ่มถามเฉียวเวย
มุมปากของเฉียวเวยกระตุก “ใช่ ช่วงนี้ข้ามักตื่นกลางดึกบ่อยๆ รบกวนท่านหมอช่วยตรวจให้ข้าสักหน่อย”
หมอหนุ่มปั้นหน้าวางท่า ท่าทางแลดูสูงส่งยิ่งนัก “แม่นางโปรดยื่นมืออกมา”
เฉียวเวยวางมือบนโต๊ะ หมอหนุ่มเห็นข้อมือขาวนวลก็กลืนน้ำลายดังเอื้อก ยื่นสามนิ้วออกไปจับชีพจรของนาง
เฉียวเวยถามยิ้มๆ “ชีพจรเป็นเช่นไรหรือ ท่านหมอ”
“แม่นางคือ…” หมอหนุ่มลิ้นพันกัน
เฉียวเวยหัวเราะเบาๆ “มิใช่ว่าชีพจรของคนตั้งครรภ์ ท่านก็ยังตรวจไม่พบหรอกกระมัง”
จางฮูหยินสำลัก ชีพจร ชีพจรของคนตั้งครรภ์หรือ
หมอหนุ่มลุกพรวดราวกับเห็นผี “ในเมื่อเจ้าตั้งครรภ์ เหตุใดจึงมานัดพบ หน้าไม่อาย!”
เฉียวเวยเลิกคิ้วอย่างไร้เดียงสา หันไปถามจางฮูหยิน “เขายังไม่รู้หรือว่าข้ามีลูกแล้ว”
จางฮูหยินเหงื่อกาฬแตกพลั่ก “ข้า ข้าตั้งใจว่า…จะบอกเขาช้าหน่อย”
หมอหนุ่มสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความอับอายและขุ่นเคือง!
ขณะที่เขากำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู เฉียวเวยก็คลี่ยิ้มเอ่ยปากว่า “ข้าไม่ได้ตั้งครรภ์ ข้าคลอดลูกมานานแล้ว แม้แต่เรื่องเช่นนี้เจ้ายังตรวจไม่ได้ เจ้าก็คงมิใช่หมอจริงๆ หรอก”
หมอจอมปลอมสะดุดทันที เขาล้มหน้าทิ่มดิน!
เขาเป็นเพียงเด็กเก็บสมุนไพรในร้านยาเท่านั้น…
ป้าหลัวฉุนจัด “จางฮูหยิน ข้าเชื่อใจเจ้าจึงได้มอบเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตลูกสาวของข้าให้เจ้าดูแล แต่ดูเจ้าสิ เจ้าหาคนแบบไหนมาให้!”
หยาดเหงื่อเย็นๆ ของจางฮูหยินผุดพรายดุจน้ำพุ พรั่งพรูออกมาไม่หยุด นางปาดเหงื่อแล้วปลอบพร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ “ป้าหลัว เจ้าใจเย็นๆ ก่อน สองคนนี้เป็นความสะเพร่าของข้าเอง ข้าตรวจสอบเบื้องหลังของพวกเขามาไม่ดีพอ แต่เจ้าเชื่อข้า คนต่อไปเป็นบุรุษที่ดีแน่นอน!”
ป้าหลัวไม่หวังอะไรทั้งนั้นแล้ว นางมองออกแล้วว่าแม่สื่อคนนี้ชอบคุยโม้โอ้อวดเกินจริง พร่ำพูดถึงแต่เรื่องดีๆ ไม่เอ่ยถึงเรื่องไม่ดีแม้แต่น้อย โชคดีที่เสี่ยวเวยเอ่ยปากขอนัดพบหน้ากันก่อน มิเช่นนั้นรอจนขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแล้วก็คงยังไม่รู้ว่าเจ้าบ่าวอัปลักษณ์เพียงใด!
คนสุดท้ายใช้เวลารอนานอยู่บ้าง เฉียวเวยรอจนรู้สึกง่วง นางหาวหวอดๆ เมื่อลืมตาก็เห็นชายหนุ่มรูปงามกำลังเดินเข้าประตูมา กะจากสายตาเขาน่าจะสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร ใบหน้างดงามดุจไข่มุก ดั่งหยก มีเด็กรับใช้แต่งตัวสะอาดสะอ้านเดินตามมาด้านหลัง
เด็กรับใช้เข็นรถเข็นมาด้วยคันหนึ่ง
หลังจากข้ามธรณีประตูแล้ว บุรุษผู้นั้นก็นั่งบนรถเข็น ปล่อยให้เด็กรับใช้เข็นเข้ามาอย่างช้าๆ
“โอ๊ะ คุณชายโจวมาเสียที!” จางฮูหยินยิ้มพร้อมกับเข้าไปเข็นรถเข็นแทนเด็กรับใช้ ให้ชายผู้นั้นมานั่งข้างๆ ตัวเอง
นี่คงเป็นคนเดียวในวันนี้ที่ทำให้เฉียวเวยรู้สึกว่าเป็นหนุ่มรูปงามมองแล้วจรรโลงสายตา
ป้าหลัวพอใจกับรูปร่างหน้าตาและท่าทางของเขามาก เพียงแต่ขา…
ชายคนนั้นพูดเสียงนุ่มนวลประหนึ่งหยก “ข้าได้รับบาดเจ็บเมื่อหลายปีก่อน เมื่อพบอากาศร้อนชื้น อาการก็จะกำเริบ เดินเหินไม่สะดวกแต่ไม่สงผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทำเรื่องนั้นได้”
เฉียวเวยพ่นน้ำชา…
หลังจากนั้นอีกหลายวัน เฉียวเวยก็ยุ่งอยู่กับการนัดดูตัวอีกหลายครั้ง คนที่ได้เจอไม่ถึงห้าสิบคนก็มีสักยี่สิบคน แต่คนที่ป้าหลัวพออกพอใจมากที่สุดคือคุณชายโจวที่นั่งรถเข็น อย่าว่าแต่รูปร่างหน้าตาของคุณชายโจว แม้กระทั่งภูมิหลังครอบครัวยังมั่นคงและเพียบพร้อม เขาเป็นคุณชายเล็กของร้านขายผ้าโจวจี้ มารดาผู้ให้กำเนิดเป็นเพียงอนุภรรยา แม้จะไม่ได้รับความโปรดปรานเทียบเท่าพี่ชายคนโตที่เป็นลูกชายของภรรยาเอก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนายท่าน อนาคตคงได้รับมรดกตกทอดอยู่ไม่น้อย
นิสัยของเขายังอ่อนโยน ตอนพูดคุยกับเฉียวเวยไม่มีความวิตกกังวลแม้แต่น้อย ไม่อารมณ์ร้ายเหมือนคุณชายตระกูลใหญ่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่รังเกียจเลยที่เฉียวเวยมีลูกแล้วสองคน
บุรุษที่ดีเช่นนี้ต่อให้ตั้งใจหาก็มิใช่ว่าจะหาพบกันได้ง่ายๆ
วันนี้จีหมิงซิวก็ขึ้นเขามาซื้อไข่เยี่ยวม้าอีก เฉียวเวยไม่อยู่บ้าน นางไปหาหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อทำเอกสารดำเนินการซื้อที่ดิน ป้าหลัวทำอาหารเย็น แต่พบว่าไม่มีหัวไชเท้า นางจึงไปขุดจากแปลงผักตรงไหล่เขา แล้วกำชับคุณชายโจวว่าให้ดูแลเด็กๆ ทั้งสองคนให้ดี
ซาลาเปาน้อยทั้งสองคนกับเสี่ยวไป๋นั่งยองๆ บนพื้นเท้าคางมองคุณชายโจวผู้มีท่าทางสุขุมเยือกเย็นกับท่านลุงหมิงที่ยิ้มแต่ไม่เหมือนรอยยิ้ม ไม่รู้เหตุใดจึงรู้สึกว่าสองคนนี้ดูแปลกๆ เหมือนทั้งสองคนกำลังยิ้ม แต่ก็เหมือนกำลังโกรธมาก โกรธชนิดที่ว่าอาจลงมือวิวาทกันได้ทุกเมื่อ
“ข้าสกุลโจว เป็น…” คุณชายโจวชะงัก ไม่พบคำที่เหมาะสมในการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉียวเวย จะบอกว่าเป็นคู่หมั้นก็ยังไม่ได้มอบของหมั้น หากบอกว่าเป็นสหาย เขาก็เข้าหานางเพราะต้องการแต่งงานกับนาง จึงกระแอมเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “มารดาของนางเห็นด้วยกับการแต่งงานระหว่างข้ากับนางแล้ว”
จีหมิงซิวสีหน้านิ่งสงบ เขาลูบคางพลางยกขายาวๆ มาวางพาดบนเก้าอี้ แม้เป็นท่าทางอันหยาบคาย แต่เมื่อเขาทำเช่นนั้นกลับแลดูสง่างามและผ่อนคลาย
คุณชายโจวกระสับกระส่ายเล็กน้อย
จีหมิงซิวสะบัดแขนเสื้อของเขาเบาๆ “ข้าว่าจะไปปลดทุกข์ในป่าสักประเดี๋ยว”
คุณชายโจวก็กลั้นมานานแล้ว อยากไปปลดทุกข์อยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่ทราบว่าห้องส้วมอยู่ที่ใด และกระดากอายที่จะเอ่ยปากถาม “ข้า…ข้าก็จะไปด้วย”
จีหมิงซิวอมยิ้มหันมามองเขา “แน่ใจหรือว่าจะไปด้วย”
คุณชายโจวแสร้งทำเป็นเยือกเย็น “ถ้าเจ้ากลัวก็อย่าไป ข้าจะไปเอง!”
จีหมิงซิวกลั้นรอยยิ้มแทบไม่ไหว เขาพยักหน้ารับ “ได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน”
วั่งซูถามพี่ชายอย่างโง่เขลา “เหตุใดพวกเขาไปเข้าห้องส้วมยังต้องพาสหายไปด้วย ขนาดข้ายังไปเองได้”
ครึ่งเค่อต่อมาคุณชายโจวก็วิ่งออกมาจากป่าอย่างตื่นตระหนก สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด กำพัดของตนตั้งท่าจะวิ่งลงจากเขา!
เมื่อวิ่งมาถึงประตูบ้านก็พบป้าหลัวที่เก็บหัวไชเท้าเสร็จแล้ว
ป้าหลัวถามอย่างสงสัยว่า “เป็นอันใดหรือ คุณชายโจว”
คุณชายโจวหันกลับไปมองป่าฝั่งที่เพิ่งวิ่งออกมา จีหมิงซิวเดินตามออกมาอย่างสบายๆ รอยยิ้มเย้ยหยันและเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนมุมปากของเขา
หัวใจของคุณชายโจวถูกทำร้ายแสนสาหัส! หน้าอกของเขาพองยุบขึ้นลงอย่างรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง เขาไม่สนใจป้าหลัว เผ่นจากไปโดยไม่หันกลับมามอง!
ป้าหลัวขมวดคิ้ว หันมามองจีหมิงซิวที่กำลังยิ้มร้าย แล้วนึกในใจว่า เจ้าหนุ่มนี่มาได้อย่างไร แล้วยังทำให้คุณชายโจวหนีเตลิดไปอีก! นางหน้าบึ้งถามว่า “เจ้าทำอะไรเขา”
จีหมิงซิวตอบอย่างผู้บริสุทธิ์ “มิได้ทำสิ่งใด”
เพียงไปชมนกด้วยกันเท่านั้น พอนกเขาจิ๋วเจอนกเขายักษ์เข้าก็…ตกใจเตลิดไปเอง