บทที่ 242 เจ้ายังมีชีวิตอยู่

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 242 เจ้ายังมีชีวิตอยู่
บทที่ 242 เจ้ายังมีชีวิตอยู่

ฉินปู้เข่อปาดน้ำตาบนใบหน้าของตนอย่างลวก ๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ เจ้าเพียงแค่ต้องกวาดล้างพวกคนร้ายที่อยู่ในตำหนัก”

หลังจากพูดเช่นนั้นจบ นางก็ลากหมี่โม่หรู่เข้าไปในห้องชั้นในและนำ ‘น้ำห้ามเลือด’ และ ‘น้ำแกงพุทราเพิ่มโลหิต’ ออกมาจากระบบอย่างรวดเร็ว

เสียงกลไกของระบบดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในใจอันเย็นยะเยือกของนาง และบาดแผลลึกหลายจุดบนร่างกายของหมี่โม่หรู่ก็ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ใบหน้าซีดเผือดของเขาเผยให้เห็นร่องรอยแห่งความตาย

หลังจากฉินปู้เข่อได้ตรวจดูแล้ว นางก็รู้ว่าเขามีโอกาสสูงที่จะเสียเลือดมากเกินไปจากการบาดเจ็บ และเขาจะพ้นขีดอันตรายได้ก็ต่อเมื่อเลือดหยุดไหลทันเวลา

หลังจากใช้ ‘น้ำแกงเพิ่มโลหิต’ ไปสามถ้วยก็เห็นได้ชัดว่าผิวของหมี่โม่หรู่ดีขึ้น

เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยในอนาคต ฉินปู้เข่อจึงทิ้งบาดแผลสำคัญสองแผลไว้ และใช้ยารักษาแผลสีทองของหมอหลวง ก่อนจะพันแผลไว้ด้วยผ้าพันแผล

บัดนี้ฮ่องเต้ต้าเซี่ยยังคงอยู่ในสวนชิงอวี้ ตอนแรกเขาคิดจะให้องครักษ์ข้างกายพาเขาออกจากตำหนักเพื่อกลับไปที่วัง แต่เมื่อเขาหันไปมองก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นคนที่หายสาบสูญไปนาน

เขาจ้องเขม็งไปยังคนสองสามคนที่กำลังต่อสู้กับมือสังหารนอกสวนชิงอวี้ และอดไม่ได้ที่จะเดินออกไปนอกสวน

ชุดนี้มัน…

อี้เฉียนเซียวหรือ?!

ฮ่องเต้ต้าเซี่ยรู้สึกสับสน เขาหยิบมีดยาวจากมือขององครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาแล้วกรีดลงบนมือของตน จากนั้นก็หยิบจี้หยกมาถือไว้ในมือพร้อมกับพูดว่า “อี้ควนเซียว”

ทันใดนั้น ทหารที่แต่งกายคล้ายอี้เฉียนเซียวราวสิบสองคนหรือมากกว่านั้นก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าสวนชิงอวี้

เมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าเซี่ย คนเหล่านี้ก็ไม่ได้แสดงความเกรงกลัวหรือคำนับเลย เมื่อพวกเขาหันไปเห็นอี้เฉียนเซียวที่กำลังต่อสู้อยู่ก็แสดงความสนใจเล็กน้อย

จู้อิงผู้เป็นหัวหน้าเข้าไปรับคมดาบที่สะท้อนแสงวาววับ และยกยิ้มให้จู้ชิงผู้เป็นหัวหน้าของ ‘อี้เฉียนเซียว’ ที่อยู่ข้างเขา “เคยบอกแล้วว่าเราจะต้องได้เจอกันอีก เชื่อเถอะน่า”

จู้ชิงเหลือบมองผู้มาเยือนและพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “เอาฟันขาวซี่โตของเจ้าไปไกล ๆ เลย ข้าเห็นแล้วขัดตานัก”

จู้อิงหัวเราะเผยให้เห็นฟันขาวซี่ใหญ่ของเขามากกว่าเดิม “หนึ่งเค่อ?”

“ไม่ เพียงชั่วครู่เท่านั้น” จู้ชิงเอ่ยแก้

“ลงมือได้”

นี่เป็นนิสัยชอบแข่งขันที่พัฒนาขึ้นเมื่อทหารเดนตายสองกลุ่มต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันเมื่อหลายปีก่อน พวกเขาสังหารคู่ต่อสู้นับสิบคนและดูว่ากลุ่มใดจะใช้เวลาน้อยกว่ากัน

เพียงชั่วก้านธูป ทั่วทั้งตำหนักก็เงียบลง

องครักษ์ที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ต้าเซี่ยยืนเป็นสองแถว และเว้นตรงกลางไว้เพื่อปกป้องผู้เป็นนาย

บัดนี้จู้อิงและจู้ชิงเดินเข้ามาหาเขา ก่อนจะประสานมือคำนับและพร้อมที่จะจากไป

พวกเขาถูกเรียกให้มาช่วยเหลือโดยเจ้านายเท่านั้น และเมื่อภารกิจสังหารศัตรูสิ้นสุดลง พวกเขาก็จะจากไปโดยไม่ถามเหตุผลหรือย้อนกลับมา และกระจายตัวกันไปทุกหนทุกแห่ง

“เดี๋ยวก่อน” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยมองจู้ชิงแล้วถามเสียงเบาว่า “ผู้ใดเรียกเจ้ามา”

จู้ชิงตกใจ “เลือดของนายน้อยพ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากตอบแล้วเขาก็รู้สึกว่าไม่ได้เข้มงวดมากนักจึงพูดต่ออีกว่า “นายน้อยตัวน้อยก็เคยเรียกมาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

“องค์ชายน้อยหรือ?” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยตกใจ “เด็กน้อยผู้นั้นได้รับบาดเจ็บเมื่อใด?”

“ไม่ได้ถูกสองคนนี้เรียกมาเองพ่ะย่ะค่ะ” จู้ชิงพยายามอธิบาย “ครั้งแรกคือแม่ของนายน้อยตัวน้อย ในตอนที่นางคลอดบุตรยาก ส่วนคราวนี้เป็นสตรีผู้ครองจี้หยกที่อยู่ข้างกายนายน้อยพ่ะย่ะค่ะ”

“นางหรือ?” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยครุ่นคิดเล็กน้อย และโบกมือให้คนของ ‘อี้เฉียนเซียว’ และ ‘อี้ควนเซียว’ กลับไปได้

จากนั้นเขาก็มองไปรอบ ๆ “อ๋องหลี่ชินอยู่ที่ใด”

“ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อสักครู่นี้พระชายาพาเข้าไปในห้องเพื่อทำการรักษาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ของวังก้าวมาข้างหน้าเพื่อรายงาน

“ไปดูกันเถอะ” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก้าวเดินไปทางสวนเฉินอวี้

ทันทีที่เขาเปิดประตู เขาก็เห็นว่าฉินปู้เข่อกำลังพันแผลและแต่งตัวให้หมี่โม่หรู่ที่หมดสติ

บาดแผลจากการถูกแทงที่หน้าอกยาวตั้งแต่กระดูกไหปลาร้าไปถึงช่องท้อง และบาดแผลที่เลือดยังไม่หยุดไหลดีเผยให้เห็นเนื้อสีแดงสด

เมื่อฉินปู้เข่อเห็นว่ามีคนมาก็ไม่ได้หยุดมือ เมื่อพันแผลด้วยผ้าพันแผลเสร็จแล้วนางก็ลุกขึ้นถวายบังคม และพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “เสด็จพ่อ”

ก่อนที่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยจะทันได้เอ่ยคำใด ฉินปู้เข่อก็คุกเข่าลงขณะที่ตัวสั่นเทา “กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกสะใภ้เพิ่งให้กำเนิดลูกชายตัวน้อยท่ามกลางการต่อสู้เมื่อเดือนก่อน และตอนนี้เพียงหนึ่งเดือนต่อมา มือสังหารอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้เข้ามาในตำหนักอ๋องหลี่ชินอีกครั้งเพื่อพยายามสังหารท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ต้องการเสียลูกไปและไม่ต้องการให้ลูกสูญเสียพ่อไปเมื่อเขาเกิดมา!”

ฮ่องเต้ต้าเซี่ยนั่งบนเก้าอี้นวม และมองหมี่โม่หรู่ที่นอนสลบอยู่บนเก้าอี้ยาวพลางขมวดคิ้ว หลังจากเงียบไปนาน เขาก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าไปรู้เรื่อง ‘อี้เฉียนเซียว’ มาจากที่ใด”

ฉินปู้เข่อที่นั่งอยู่บนพื้นตัวแข็งทื่อและพูดไม่ออกอยู่นาน

“ตอบเร็ว!” สายตาราวกับมีดคมกริบของฮ่องเต้ต้าเซี่ยกดลงบนศีรษะของนาง

ฉินปู้เข่อก้มหน้าลงเล็กน้อย “คือว่า… เจ้าของมัน…”

“ใคร!” เพียงแค่ได้ยินคำตอบเช่นนี้ ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป เขาเกือบจะกระโดดลงจากเก้าอี้อย่างกระตือรือร้นและเข้าไปใกล้ฉินปู้เข่อมากขึ้น เพื่อพยายามฟังคำพูดของนางให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“มัน เจ้าของมัน…”

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ฉินปู้เข่อก็พบว่ามีเพียงตนเอง ฮ่องเต้ต้าเซี่ยและหมี่โม่หรู่ที่หมดสติเท่านั้นที่เหลืออยู่ในห้อง

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไรอยู่?” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้จ้องมองฉินปู้เข่อ พลางพยายามหาเบาะแสบางอย่างบนใบหน้าของนาง

“รู้ รู้เพคะ” ฉินปู้เข่อตัวสั่นขณะมองฮ่องเต้ต้าเซี่ย “ตอนนั้นเจ้าของมันเป็นคนช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้ตอนคลอดลูกเพคะ”

“แล้วเจ้าได้เจอเขาหรือไม่?”

ฉินปู้เข่อคิดครู่หนึ่ง “เจอเพคะ”

“ที่ไหน!” คำถามรัดกุมมากขึ้นเรื่อย ๆ

ฉินปู้เข่อรู้สึกหวาดเกรงจนตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ “หม่อมฉันไม่รู้เพคะ ตอนนั้นหม่อมฉันเสียเลือดมากและถูกพาไปที่ตำหนักด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากที่หม่อมฉันฟื้นขึ้นมาก็ไม่เจอผู้ใดเลย มีเพียงห้องที่ว่างเปล่าเพคะ”

นางไม่กล้าบอกว่านางใช้เวลาหนึ่งเดือนกับหมี่อี้เหิง

ทว่าสิ่งที่นางไม่รู้ในตอนนี้ก็คือหมี่เฉินอี้ที่เพิ่งหนีออกจากสนามรบในตำหนัก และยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเปื้อนเลือดบนร่างกายของเขาด้วยซ้ำได้กลับเข้าไปยังตำหนักของหมี่อี้เหิง

จากแผนผังเส้นทางที่ฉินปู้เข่อเคยให้ไว้ ในที่สุดหมี่เฉินอี้ก็มาถึงประตูตำหนักของหมี่อี้เหิงภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว

เขาไม่ได้มีเจตนาซ่อนตัวหรือหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย เขาต่อสู้กับองครักษ์ในตำหนักอย่างเปิดเผย

เสียงต่อสู้กันดังสนั่น

“อาเหิง เสด็จพี่ยังคงอยู่กับเจ้าเจ็ด… พวกเขาไม่อาจสู้ได้อีกต่อไป!”

“คืนนี้คือวันฉลองพระจันทร์เต็มดวงของเด็กน้อย และเสด็จพี่ได้เสด็จมาด้วย แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะได้เผชิญหน้ากับมือสังหาร และ ‘อี้ควนเซียว’ กับ ‘อี้เฉียนเซียว’ จะถูกส่งมาพร้อมกันเพื่อขับไล่มือสังหาร!”

“แต่พวกเขามาสายเกินไป!”

“อาเหิง ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เร็วเข้า… รีบออกมา!”

หมี่เฉินอี้ก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่บาดแผลของเขาไม่หนักเท่าบาดแผลของหมี่โม่หรู่ และระหว่างทางเขายังได้ใช้ ‘น้ำห้ามเลือด’ ทาแผลที่สาหัสแล้วก่อนจะเข้ามา

“อาเหิง!”

หมี่เฉินอี้ที่ต่อสู้อย่างต่อเนื่องหมดแรง เมื่อเขามาถึงประตูตำหนักของหมี่อี้เหิงได้ เขาก็เกือบจะสูญเสียพละกำลังทั้งหมดแล้ว

‘ปัง ปัง ปัง!’ รอยมือเปื้อนเลือดปรากฏขึ้นที่ประตู

หมี่อี้เหิงที่ถูกประตูขวางกั้นเอาไว้มองดูรอยมือเปื้อนเลือดและยกมือขึ้นเปิดประตู

ฟึ่บ

หมี่เฉินอี้ที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดล้มลงสู่อ้อมแขนของเขา

“อาเหิง…” หมี่เฉินอี้มองใบหน้าที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยตรงหน้าเขา ใจหนึ่งอยากร้องไห้และอีกใจหนึ่งก็อยากจะหัวเราะ “เจ้ายังมีชีวิตอยู่… เกรงว่าพวกเรา…”

………………………………………………………………………………