บทที่ 236 สงสัย

บทที่ 236 สงสัย

เส้นชีพจรคุณธรรมสวรรค์ถูกเรียกว่าเส้นชีพจรแรกแห่งวิถีคุณธรรม ในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหยวนหง มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เคยครอบครองมัน

คนผู้นั้นคือผู้สูงสุดเพียงหนึ่งเดียวแห่งวิถีคุณธรรม อีกทั้งยังเป็นบรรพบุรุษของเจิ้งชิงเทียน… เจิ้งอู๋เสีย

ตำนานกล่าวไว้ว่าคนผู้นี้คือทายาทตระกูลวิถีคุณธรรม โดยในวันที่เขาเกิด ตระกูลถูกเผ่ามารโจมตี ทำให้สมาชิกมากกว่าสามพันคนตายในชั่วข้ามคืน

และยามนั้นเองที่สายเลือดของเจิ้งอู๋เสียพัฒนา มันย่างก้าวจากเส้นชีพจรคุณธรรมไปเป็นเส้นชีพจรคุณธรรมสวรรค์ ทำให้ฟ้าดินแปรปรวน สัตว์เทพนับร้อยต่างกรูกันเข้ามาช่วยเหลือทารกน้อย

หลายสิบปีต่อมา เขาก้าวเข้าสู่ขั้นอมตยุทธ์และสร้างตระกูลวิถีคุณธรรมขึ้นมาอีกครั้ง และคอยปกปักวิถีคุณธรรมของโลกเอาไว้!

ยามเจิ้งอู๋เสียอายุได้หนึ่งร้อยปี เขาก้าวเข้าสู่การเป็นเทพเซียนโดยการทะลวงขั้นสู่สวรรค์

เมื่อเจิ้งชิงเทียนมองลู่หยวนในยามนี้ ในใจของนางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

เดิมนางอยากให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ล้างแค้น แต่การสังหารชิวสิงก็ชวนให้นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามแสนปีก่อน

หลังจากเรื่องนี้สิ้นสุดลง เจิ้งชิงเทียนเต็มใจที่จะสละชีวิตตัวเองเพื่อมอบเส้นชีพจรคุณธรรมให้กับลู่หยวน

แต่สิ่งที่ชายหนุ่มต้องการกลับเป็นเส้นชีพจรคุณธรรมสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งในล้าน นั่นหมายความว่า สมาชิกตระกูลชิวทั้งหมด… จะต้องตาย!

“ข้ายังจำได้ว่า หากต้องการเส้นชีพจรวิญญาณของผู้อื่น ต้องขุดออกมาทั้งเป็น เส้นชีพจรคุณธรรมสวรรค์มีความพิเศษมาก เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด ข้ายังต้องการผู้อาวุโสวิถีคุณธรรมมาเผาผลาญวิญญาณตนเองเพื่อคุ้มกันข้า”

สายตาของลู่หยวนจับจ้องมาที่เจิ้งชิงเทียน ความหมายคือให้นางเผาผลาญวิญญาณตนเอง เพื่อนำเส้นชีพจรคุณธรรมสวรรค์มาให้เขา

ไอเย็นเยือกเกาะกุมแผ่นหลังของเจิ้งชิงเทียน เพียงชั่วครู่ เหงื่อเย็นพลันปกคลุมทั่วร่าง คำพูดที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้า ไม่ต่างจากปีศาจจากขุมนรก

หากบุตรศักดิ์สิทธิ์เพียงต้องการเส้นชีพจรคุณธรรมของเจิ้งชิงเทียน นางอาจจะสามารถปกป้องวิญญาณของตนเองไว้ได้ หากโชคดีมากพอ อาจจะสามารถหาสักร่างเพื่อไปเกิดใหม่ หรือตามหาผู้มีวาสนามาช่วยสร้างกายหยาบให้นางได้ในอนาคต

แต่เงื่อนไขที่ลู่หยวนเสนอในวันนี้คือการทำให้นางสูญเสียวิญญาณ ไม่หลงเหลือชีวิตอีกไม่ว่าภพภูมิไหน

เจิ้งชิงเทียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนระบายยิ้มออกมา “สิ่งที่บุตรศักดิ์สิทธิ์พูดมา ข้าพร้อมน้อมรับ!”

“ตระกูลชิวสมควรตาย!”

ดวงตาของนางมารทอประกายเย็นเยือก จิตสังหารไม่มีสิ้นสุดอบอวลอยู่ข้างใน

ขอเพียงชิวสิงถูกสังหาร ต่อให้วิญญาณของนางหายไป… แล้วอย่างไร?!

ในตอนนั้นชิวสิงทรยศนาง ทำให้นางกลายเป็นมารที่มีนามว่าเจิ้งชิงเทียน ผู้คนนับหมื่นเบือนหน้าหนี ส่วนชิวสิงก่อตั้งวิถีคุณธรรมขึ้นมา ลูกหลานอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข แม้ไม่ทราบว่าเขาใช้วิธีอะไร แต่มันทำให้เขามีชีวิตอยู่มาได้ถึงสามแสนปี!

ลู่หยวนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาสนทนากับเจิ้งชิงเทียนอีกสองสามประโยค ไม่นานจึงก้าวออกจากหอคอยอสูรสวรรค์

ไม่กี่วันต่อมา มู่พ่านซานมาที่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ด้วยตนเอง เขาบอกว่าอยากนำคนบางส่วนที่ติดอันดับจากการแข่งขันภายในเข้าสู่หอคอยสวรรค์ประทานแห่งแดนมัชฌิม!

ในบรรดาสิบอันดับแรกจากการแข่งขันภายใน นอกจากฮ่วนซิงไป๋ผู้กลับไปราชวังจักรพรรดิแดนมัชฌิมแล้ว คนที่เหลือต่างมารวมตัวกันบนยอดเขา

ลู่หยวนมาถึงจุดนัดพบอย่างไม่รีบร้อน ทันทีที่ปลายเท้าจรดยอดเขา ก็พบว่า ณ สุดขอบจัตุรัสขนาดใหญ่ ชิวชิงหลีกับฉู่เชิ่งต่างยืนอยู่กันคนละฝั่งด้วยสีหน้าไม่ยินดีนัก

ค่ายกลปรากฏขึ้นรอบข้างทั้งสอง จึงเป็นการยากที่จะได้ยินว่าพวกเขากำลังสนทนากันเรื่องอะไร

ผ่านไปหลายอึดใจ ฉู่เชิ่งก็เดือดดาล สีหน้าดุร้ายน่ากลัว ทันใดนั้นพลันทะลวงออกจากค่ายกล แล้วมุ่งหน้าสู่ห้องโถงใหญ่บนยอดเขา

ส่วนชิวชิงหลียืนอยู่กับที่ นางกำยันต์สื่อสารในมือเอาไว้มั่น ใบหน้างดงามเย็นชาจนน่าสะพรึง

[ระบบแจ้งเตือน ชิวชิงหลีสงสัยบุตรแห่งโชคชะตาฉู่เชิ่ง!]

[ค่าชะตาขอเขาลดลง 3,000 แต้ม! ค่าชะตาคงเหลือในตอนนี้คือ 22,000 แต้ม!]

[ค่าชะตาวายร้ายของท่านเพิ่มขึ้น 6,000 แต้ม! ค่าชะตาวายร้ายในปัจจุบันคือ 33,000 แต้ม!]

ลู่หยวนคิ้วขมวด มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

ในที่สุดทั้งสองก็เกิดความขัดแย้งกันแล้ว!

แต่ชายหนุ่มทราบดีว่าความขัดแย้งระหว่างสองคนนี้ไม่ได้มาจากข่าวลือที่เขาแพร่งพรายออกไป

ลู่หยวนจับจ้องแผ่นกระดาษที่ชิวชิงหลีกำลังกุมเอาไว้ พลางหรี่ตาลง เมื่อเนตรเทวะจะปรากฏขึ้น ทำให้ฉากตรงหน้ากระจ่างชัดขึ้นทันที

บนแผ่นกระดาษที่มีรอยยับเป็นลูกคลื่น มีเพียงตัวอักษรไม่กี่คำที่เห็นได้ชัดเจน

“วิญญาณพยัคฆ์โลหิต… เพลิงเหมันต์สงัดแห่งเขตแดนลับหุบเขาเมฆาหรือ?”

ลู่หยวนพึมพำกับตัวเอง ขณะอ่านตัวอักษรไม่กี่คำที่เห็น

“วิญญาณพยัคฆ์โลหิต”

บุตรศักดิ์สิทธิ์แสยะยิ้มกว้างขึ้น “ดูท่าว่าชิวชิงหลีจะส่งคนไปตรวจสอบฉู่เชิ่งมา หากข้อมูลเป็นจริง เช่นนั้นสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณพยัคฆ์โลหิต น่าจะเป็นไพ่ตายของฉู่เชิ่งในตอนนี้!”

ลู่หยวนเคยได้ยินเรื่องเผ่าพยัคฆ์โลหิตมาบ้าง แม้พวกมันจะเป็นเผ่าขนาดใหญ่ในหุบเขาบูรพา มีมรดกมากมาย แต่เมื่อเทียบกับเผ่าจิ้งจอกหุบเขาบูรพาของเทียนเม่ยเอ๋อร์ ยังนับว่าอ่อนแอกว่ามาก

บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่สนใจชิวชิงหลีผู้มีสีหน้าผิดหวัง เขาสาวเท้ายาวมุ่งหน้าสู่ห้องโถงใหญ่บนยอดเขา

เมื่อเข้าไปในห้องโถงใหญ่ หลายคนยกมือขึ้นทำความเคารพลู่หยวน ส่วนฉู่เชิ่งผู้ยืนอยู่ด้านข้างกลับมีสีหน้าหนักใจ เส้นโลหิตบนหน้าผากปูดโปนขึ้นมา

ในไม่ช้า ชิวชิงหลีก็เดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ยามทุกคนมากันพร้อมหน้า มู่พ่านซานลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ทุกคนติดตามข้าไปราชวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม ระยะเวลาเปิดของหอคอยสวรรค์ประทานอยู่ที่สามวัน ภายในหอคอยสวรรค์ประทานไม่เพียงมีตำราโบราณเท่านั้น แต่ยังมีวาสนาจากเขตแดนลับอื่นรวมอยู่ด้วย ทั้งหมดนี้อยู่ที่โอกาสของพวกเจ้า”

สิ้นคำ มู่พ่านซานสะบัดมือ อาวุธวิเศษที่มีรูปทรงประหนึ่งเรือเหาะพุ่งออกจากห้องโถง มันขยายขนาดขึ้น ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เรือเหาะลำใหญ่ก็บดบังยอดเขาบรรพชนเกือบทั้งลูก

สายตาของศิษย์ทั้งหลายเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วาสนาของราชวังจักรพรรดิแดนมัชฌิมว่าหายากแล้ว แต่วาสนาของหอคอยสวรรค์ประทานกลับหายากยิ่งกว่า!

ฉู่เชิ่งมองเรือเหาะที่บดบังท้องนภา ในที่สุดโทสะในใจของเขาก็สงบลงประมาณหนึ่ง ก่อเกิดความปรารถนาปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา

เขาชำเลืองมองชิวชิงหลีและลู่หยวนผู้ยืนอยู่ไม่ไกล เย้ยหยันออกมาว่า “พวกเจ้าทั้งคู่… รอข้าก่อนเถอะ!”

สิ้นคำ ศิษย์เอกยอดเขาดาบเดินนำขึ้นเรือเหาะ ขณะที่บุตรศักดิ์สิทธิ์เดินขึ้นไปพร้อมคนอื่น ๆ

มู่พ่านซานยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเรือ กลิ่นอายของเขาหนักอึ้ง ไม่นานเรือเหาะลำใหญ่จึงเริ่มเคลื่อนตัวทีละน้อย เพื่อมุ่งหน้าสู่ราชวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม

เรือเหาะลอยขึ้น หมู่เมฆรอบข้างเคลื่อนตัวออกไป สายลมไล้ไปตามผิวกาย อีกไม่นานหลังจากนี้พวกเขาก็จะได้พบโอกาสมากมายที่รออยู่ เหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์อารมณ์ดีนัก

ลู่หยวนนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างเรือเหาะ สายตาคมจับจ้องหมู่เมฆที่ล่องลอยไปมา ขณะโคจรพลังในทะเลลมปราณ

ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นไม่ไกล…

บุตรศักดิ์สิทธิ์เหลือบมองด้านข้าง พบว่าผู้เดินเข้ามาหาคือชิวชิงหลี

“มีอะไร?”

ชิวชิงหลีตอบตามตรงว่า “ข้ามาในยามนี้ก็เพราะสถานที่แห่งหนึ่งของราชวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม”

“ข้าทราบว่ามีเขตแดนลับที่มีวาสนาหายากอยู่ภายในวัง แต่ด้วยพลังของข้าอาจไม่สามารถทะลวงเข้าไปได้ …หวังว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์จะให้การช่วยเหลือ”

ลู่หยวนยกมุมปาก มีผู้คนบางส่วนกำลังมองมาทางเขา

ตอนแรกก็มู่พ่านซาน ตอนนี้ยังชิวชิงหลีอีก

ชายหนุ่มเอนกายไปด้านหลังด้วยสีหน้าเกียจคร้าน “บอกข้ามาว่าข้างในมีอะไร แล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไรจากการให้สัญญากับเจ้า”