บทที่ 187 การเล็งโจมตีใต้เข็มขัด เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจที่สุด
“ข้าสงสัยว่าโตวก้านเป็นยังไงบ้าง…” เจสสิก้าพูดอย่างเป็นห่วง
“เจ้าควรเป็นห่วงเราแทนที่จะเป็นเขา” เอ็ดเวิร์ดพูดอย่างปลง ๆ เมื่อเจสสิก้ามองเขาอย่างงง ๆ
“เอลฟ์ป่าพบเราแล้ว” เอ็ดเวิร์ดถอนหายใจ
ตอนนั้นเองที่เจสสิก้าพบว่าชื่อสีเหลืองที่กระจัดกระจายกันแบบสุ่มได้ก่อตัวเป็นวงกลมล้อมรอบพวกเขาอย่างเงียบ ๆ
“เราจะสู้กลับไหม” โจพร้อมลุย
ในฐานะผู้เล่นอันดับต้น ๆ ในหมู่ผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งเกม ปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดมีค่าเฉลี่ยเลเวล 40 เกือบจะ 50 พวกเขาใกล้แตะขอบเขตของยอดมนุษย์แล้ว
นั่นเพราะพวกเขาแต่ต่างจากผู้เล่นทั่วไปที่มักจะเลเวลอัพผ่านการฟาร์มดันเจี้ยนซ้ํา ๆ หรือเควสรายวัน
เอ็ดเวิร์ดและปาร์ตี้เป็นแนวหน้าที่คอยเปิดแผนที่ดันเจี้ยนใหม่อยู่ตลอดความจริงพวกเขาเป็นคนที่เคลียร์ ความคืบหน้าของการสํารวจหุบเขาแห่งความตายและท่าเรือเกรย์ฟยอร์ดไปกว่าครึ่ง
พวกเขาเป็นปาร์ตี้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้สูงมาก
และด้วยการที่เอลีน่านักบุญหญิงฝึกหัดอยู่กับพวกเขา ทําให้พวกเขาเป็นปาร์ตี้ที่แข็งแกร่งที่สุดหมู่ผู้เล่น ณตอนนี้
นั่นเพราะนอกจากเอลีน่า ก็มีเพียงเจ้าหญิงลีอาคนเดียวที่มีคลาสลับ แต่เธอมักจะถูกผู้เฒ่าแวนเค่อลากไปเรียนมารยาทที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการอัพเลเวลเลย ทําให้เลเวลของเธอยังห่างไกลจากเอลีน่ายิ่งไปกว่านั้น คลาสเจ้าหญิงนักรบก็เหมาะสําหรับการต่อสู้ขนาดใหญ่ที่มีคนจํานวนมากทําให้คลาสเจ้าหญิงนักรบเทียบไม่ได้คลาสนักบุญหญิงฝึกหัดในแง่ของการต่อสู้ขนาดย่อม
ดังนั้นเอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ จึงไม่กังวลเท่าไหร่แม้จะพบว่าปาร์ตี้ของพวกเขากําลังถูกพวกเอลฟ์ล้อม
“มาลองเจรจาดูก่อน อย่าสร้างศัตรูโดยไม่จําเป็น” เอ็ดเวิร์ดกล่าว
“แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าพูด คราวที่แล้วที่เจ้าพบกลุ่มโกโบลด์ที่เป็นกลางระหว่างทางมายังป่าทริเนีย เจ้ายังให้ข้ายั่วยุพวกมันอยู่เลย…” โจเถียง
“เจ้าจะรู้อะไร ข้อความเควสระบุว่าเราไม่ควรสร้างศัตรูโดยไม่จําเป็น” ไม่งั้นสิ่งมีชีวิตทุกตัวที่เราพบคงมอบ EXP ให้เราเหมือนกันหมดแล้ว” เอ็ดเวิร์ดโต้กลับอย่างมั่นใจ
โจตอบด้วยท่าทาง คําพูดของเจ้ามีเหตุผลมากจนข้าพูดไม่ออกเลย
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือเควสที่ซีเว่ยมอบให้ปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดนั้น ไม่ใช่เควสเดียวกับโกวต้าน แต่มีบางส่วนที่เหมือนกัน นั่นก็คือตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับเอลฟ์ป่าแห่งทริเนีย
แม้ว่าจะไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะต้องไม่มองว่าเอลฟ์เป็นศัตรู แต่ก็ยังมีคําใบ้และเงื่อนไขที่คลุมเครือ ซึ่งตามความเข้าใจของเอ็ดเวิร์ดเกี่ยวกับเควสดังกล่าว นั่นหมายความว่า เทพเจ้าแห่งเกมยังไม่ได้ตัดสินใจว่าเอลฟ์เป็นมิตรหรือศัตรู
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องอดทนรับการโจมตีจากอีกฝ่ายโดยไม่ตอบโต้อะไร หากพวกเอลฟ์ เป็นฝ่ายโจมตีก่อน ก็ไม่ใช่ปัญหาหากปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดจะโต้กลับ เนื่องจากซีเว่ยไม่ชอบให้ผู้ศรัทธาของเขาองคอยประจบเอาใจเผ่าพันธุ์หรือองค์กรอื่น ๆ
เจสสิก้ากางโล่มานาให้เพื่อน ๆ อย่างเงียบ ๆ เผื่อว่าพวกเอลฟ์จะยิงฝนธนูลงมาทันทีเหมือนที่พวกเขาทํากับพวกนักล่าทาส
ในเวลาเดียวกัน เอลีน่าผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา ก็แสร้งทําตัวเป็นเด็กน้อยธรรมดาที่อ่อนแอ เธอซ่อนตัวอยู่ตรงกลางระหว่างทั้ง 3 คน ขณะกินอมยิ้มอย่างเงียบ ๆ
เอ็ดเวิร์ดชูแขนขึ้นก่อนจะวางมือทั้ง 2 ข้างประสานกันไว้ที่ท้ายทอย และค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังว่า “ข้าเป็นนักผจญภัยจากเมืองเล็ก ๆ ใกล้หุบเขาแห่งความตาย! เราไม่ใช่เพื่อนของนักล่าทาสที่พวกเจ้าพบ! เราแค่ผ่านทางมาเท่านั้น!”
คําตอบของเอลฟ์คือลูกศรที่พุ่งตรงไปที่หน้าผากของเขา แต่มันก็แตกเศษไม้เมื่อกระทบเข้ากับโล่มานาที่เจสสิก้ากางไว้ก่อนหน้านี้
ดวงตาของเอ็ดเวิร์ดหรี่ลงสีหน้าของเขาดูอันตราย
“เราไม่มีเจตนาจะสู้กับพวกเจ้า ดังนั้นโปรดอย่ามองเราเป็นศัตรู เราสามารถพูดคุยกันก่อนได้ อย่าพยายามทําการยั่วยุที่หยาบคายเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นเราจะโจมตีเจ้าเพื่อป้องกันตัวเอง เพื่อความปลอดภัยของเจ้า…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงปล่อยลูกธนูออกจากสายก็ดังก้องขึ้นรอบตัวเขาทันที ลูกธนูเป็นห่าฝนพุ่งออกมาจากพุ่มไม้เข้าใส่ทุกคน!
มันเป็นการโจมตีที่รุนแรง แต่ลูกศรก็ยังไม่สามารถฝ่าโล่มานาของเจสสิก้าเข้ามาได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นสามารถเห็นว่าค่าความทนทานของมันลดต่ําลงถึงระดับอันตราย
เอ็ดเวิร์ดถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และหันไปหาสมาชิกปาร์ตี้ของเขา
“ดูเหมือนว่าเราไม่สามารถยุติเรื่องนี้ได้อย่างสันติทุกคนเตรียมพร้อมโจมตี แต่พยายามอย่าฆ่าเราจะคุยกันหลังจากทุบตีพวกเขาจนพอใจแล้ว”
“รับทราบ!” โจแสยะยิ้มและพูดว่า “ข้าหัวร้อนมานานแล้ว!”
ท่ามกลางห่าฝนธนู มีลูกศรหลายลูกเล็งไปยังพื้นที่วิกฤตใต้เข็มขัดของเขาโดยเฉพาะ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าโล่มานาของเจสสิก้าจะหยุดลูกศรทุกดอกเอาไว้ได้ แต่มันก็ยังทําให้เขารู้สึกหวิว ๆ
เอลฟ์ทุกตนที่เข่นฆ่านักล่าทาสเหล่านั้นล้วนเป็นเอลฟ์โตเต็มวัย และเอลฟ์วัยผู้ใหญ่ทุกตนก็เป็นนักแม่นธนูพวกเขาจะไม่มีวันยิงพลาดเมื่อพวกเขาขึ้นสายธนูนั่นหมายความว่าเอลฟ์เหล่านั้นจงใจ!
นั่นเป็นเพราะเหล่าเอลฟ์รู้ดีว่าเอลฟ์ที่ถูกจับโดยนักล่าทาสนั้น ส่วนใหญ่จะถูกขายเป็นทาสกามให้กับขุนนางมนุษย์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะเล็งโจมตีส่วนนั้นด้วยเจตนาร้าย
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้ทําให้ความขุ่นเคืองของโจลดน้อยลงขณะนี้เขากําลังหักข้อนิ้วดังกรอบ!
“ข้าจะขยพวกมัน!”
ซาเลนฟรอส์ลีฟเกือบจะหัวเราะกับคําพูดของเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์เหล่านั้น
จะเอาชนะพวกข้าร์ ช่างน่าขํา! แม้แต่มขนายกผู้ยิ่งใหญ่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรเช่นนั้น!
และการที่เด็กมนุษย์ที่แสร้งทําตัวเป็นผู้ใหญ่บอกว่าต้องการเจรจากับพวกเขา นั่นก็ตลกเช่นกัน
เด็กเหล่านี้ที่อายุแค่ 10 กว่าขวบกําลังบอกว่าพวกเขาแค่ผ่านทางมา และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกนักล่าทาส
เดินผ่านมาถึงใจกลางป่าทริเนีย? ใครจะเชื่อคํากล่าวอ้างที่ไร้สาระเช่นนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น มันจะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้หากพวกเขาร้องขอความเมตตา…แต่พวกเขากลับพูดจาก้าวร้าว และคุกคามพวกเขา
“เด็กพวกนี้ไม่เข้าใจสถานการณ์
“พวกเขาเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้กล้าพูดกับเอลฟ์เช่นนี้ หรือนเป็นเพียงความไร้เดียงสาของเด็ก?”
“ข้าจะสอนบทเรียนที่เจ้าจะไม่มีวันลืม…ถ้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่น่ะนะ
ซาเลนยึดตัวขึ้นรั้งสายธนู และพร้อมที่จะปล่อยลูกศร แต่จู่ ๆ เขาก็พบว่ากําปั้นที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ กําลังเข้ามาใกล้ใบหน้าของเขา…