บทที่ 190 เช่นนั้นก็ต้องเสียเปรียบอย่างเงียบ ๆ อย่างนั้นสิ
เหยาซูขยับเข้าไปพูดใกล้ ๆ ส่งผลให้กลิ่นสุราดอกกุ้ยฮวาอันหอมละมุนและเบาบางนั้นอวลออกมาจากปาก ทำให้หลินเหราหลงใหลเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ
เขาตอบรับด้วยเสียงทุ้มต่ำหนึ่งครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันนั้น เหยาซูก็ได้รินสุราอีกครั้ง นางเขย่าขวดสุราในมือ ก่อนจะพูดด้วยความประหลาดใจว่า “นี่ใกล้จะหมดแล้วหรือ? หนึ่งขวดมันไม่น้อยเลยนะ!”
เหยาซูหันหน้าไปมองหลินเหรา ก่อนจะใช้ปลายนิ้วที่ขาวเนียนนั้นชี้ไปทางเขา “ท่านแอบดื่มเยอะเกินไปใช่ไหม!”
ภายใต้แสงไฟสีส้มเรืองรอง ใบหน้าของนางถูกย้อมไปด้วยสีชมพูที่ชวนหลงใหล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุณหภูมิที่ร้อนระอุภายในห้อง หรือเพราะสุรากุ้ยฮวาที่มีกลิ่นหอมบริสุทธิ์พาให้รู้สึกมึนเมากันแน่
แม้ว่าหลินเหราจะไม่ได้รู้สึกมึนเมา แต่ร่างกายก็รู้สึกร้อนรุ่มอยู่ไม่น้อย มือเจ้ากรรมที่กุมมือของเหยาซูไว้ ไม่รู้ว่าในสมองของเขากำลังคิดสิ่งใด ถึงได้กล้าลูบไล้มือที่อ่อนนุ่มของนาง “อาซู เราดื่มเยอะเกินไปทั้งคู่”
เหยาซูกลับยังยืนกรานพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าข้าดื่มไปไม่กี่จอก…”
ปกติหญิงสาวมักจะดื่มน้อยมาก เมื่อครู่ก็สนใจแต่เพียงการพูดคุยกับหลินเหราเท่านั้น จึงไม่ได้สังเกตว่าตัวเองนั้นดื่มไปเท่าไร
สุราดอกกุ้ยฮวาที่ไหลลงท้องไปไม่กี่จอกเหล่านั้น ทำให้เหยาซูรู้สึกมึนเมาแล้วจริง ๆ
ครั้นมองเข้าไปนัยน์ตาของหลินเหราก็เห็นถึงความคลุมเครือที่แฝงอยู่
หลินเหรามองนางตาไม่กระพริบ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ท่าทางแบบนี้กำลังมองว่าข้าจะทำอะไรใช่หรือไม่?”
เหยาซูคลี่ยิ้มบาง บนริมฝีปากยังคงชุ่มฉ่ำไปด้วยสุราดอกกุ้ยฮวา ทันใดนั้นก็พรั่งพรูออกมาหลายประโยค “ท่านหล่อเหลามาก หล่อเหลายิ่งกว่าทุกคนที่ข้าเคยเจอะเจอมา”
เขาถูกยั่วเย้าจนลมหายใจร้อนผ่าว
“อาซู เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดสิ่งใด?”
เสียงของชายหนุ่มที่ทุ้มต่ำและแหบแห้ง ดังสะท้อนในโสตประสาทของเหยาซู ลมหายใจที่รินรดอยู่บนหลังคอได้กระตุ้นให้ขนทั่วร่างพากันลุกชัน
แม้จะรู้ว่านางเมาแล้ว แต่หลินเหราก็ยังอาศัยความมึนเมาจากฤทธิ์สุรานี้เอ่ยถามอย่างไม่ลังเล “ที่พาอาจื้อและอาซือไปส่งที่บ้านของพี่รองในคืนนี้ คิดจะทำสิ่งใด?”
สีหน้าของนางดูมึนงง ไร้เดียงสา และงดงามเสียจนทำให้ผู้อื่นอยากจะแกะสลักความรู้สึกนี้ออกมาแทบขาดใจ จากนั้นก็ซ่อนมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของสมอง ไม่ยอมเปิดเผยให้ใครได้เห็น เว้นเสียแต่ว่าจะนำออกมาเชยชมในยามราตรีที่เงียบสงัดเท่านั้น
หลินเหรากุมมือของเหยาซูที่พยายามจะคว้าจอกสุรา กระทั่งสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลจากฝ่ามือนั้น มันช่างเหมือนกับหัวใจก็มิปาน อ่อนนุ่ม ร้อนผ่าว ทำให้เขาอยากจะปกป้องมันไว้อย่างสุดกำลัง
“เหตุใดถึงไม่พูดเล่า?”
เหยาซูที่ถูกแย่งจอกสุราไปจึงชักสีหน้าไม่พอใจ “ไหนตกลงกันแล้วว่าจะดื่มสุราในตอนกลางคืน? หากเด็กสองคนนั้นอยู่บ้าน เราก็ต้องกล่อมเด็ก ไฉนเลยจะได้พูดคุยกันดี ๆ ?”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น “ท่านเองก็รู้สึกว่าสุราของข้านั้นรสชาติดีใช่หรือไม่? อย่าแย่งข้า หลังครัวยังมีอีก…”
หลินเหราหัวเราะเบา ๆ ครั้นถูกหญิงสาวมองเช่นนี้ ไฉนเลยจะมีอารมณ์สนใจว่ามีหรือไม่มีสุราอีก
เขาแค่เกลี้ยกล่อมนางว่า “อาซู เจ้าเมาแล้ว เราควรพักผ่อนได้แล้ว”
ความฉลาดเจ้าเล่ห์ของเหยาซูถูกสุราดอกกุ้ยฮวาชะล้างไปหมดสิ้นนานแล้ว ไฉนเลยจะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้ นางยังคงพูดไม่จบไม่สิ้นว่า “ท่านยังไม่พูดเลยว่าสุราของข้ารสชาติดีมากใช่หรือไม่?”
หลินเหราจึงพูดคล้อยตามอีกฝ่ายว่า “ใช่ สุราของเจ้ารสชาติดีที่สุดเลย เจ้าทำสิ่งใดย่อมดีที่สุด เจ้าดีที่สุดเสมอ”
คำพูดหวานหยดที่พรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้สติปัญญาของหญิงสาวดับวูบลง เหยาซูยิ้มออกมาอย่างจริงใจ จากนั้นก็โน้มตัวลงไปจูบหลินเหราตามหัวใจของตัวเอง
อีกด้านหนึ่งก็เหมือนกับไร้เหตุผล ตั้งใจถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยว่า “ให้ข้าชิมหน่อยสิ ริมฝีปากนั้นคงจะกินน้ำผึ้งเข้าไปสิท่า? คำพูดถึงได้หวานหยดเพียงนี้…”
นอกจากความหอมรัญจวนใจเหมือนกับดอกกุ้ยฮวาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใด
หลินเหราข่มกลั้นอารมณ์อย่างมาก ได้แต่ปล่อยให้เหยาซูรุกต่อไป กระทั่งเห็นว่าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่ข้ามขั้นตอน จึงพยายามพูดโน้มน้าวนางด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ ไม่นานนางจึงถูกอุ้มขึ้นจากเก้าอี้
เปลวไฟอันโดดเดี่ยวในตะเกียงน้ำมันที่วางอยู่บนโต๊ะกำลังพลิ้วไหวไปตามเสียงภายในห้องเป็นครั้งคราว ยามไร้ลมก็เด้งขึ้นมาอีกครั้ง
ซานเป่าที่หลับใหลมาโดยตลอดไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลแต่อย่างใด เสียงที่ดังขึ้นจากในห้องที่อยู่ตรงข้ามเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา กระทั่งตอนใกล้รุ่งสางหลินเหราลุกขึ้นมาต้มน้ำเขาก็ยังไม่ได้ยิน
ยามที่เหยาซูตื่นขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือในเช้าวันรุ่งขึ้น รู้สึกได้ถึงสัมผัสที่แผ่ขยายอยู่บนหน้าผาก
เหยาซูไม่ต้องลืมตาก็รู้ว่าจะต้องเป็นหลินเหราอย่างแน่นอน นิ้วมือของเขานั้นแฝงไปด้วยความหยาบกร้านและมีพละกำลังอยู่เสมอ ค่อย ๆ ลูบไล้จากคิ้ว หน้าผาก และระหว่างคิ้วของนางอย่างนุ่มนวลที่สุด
สุดท้ายก็แตะเบา ๆ บนหนังตาข้างขวาของหญิงสาว
“ตื่นแล้วยังไม่ลืมตาอีก?” เขาหัวเราะเสียงต่ำ
เหยาซูจึงอดหรี่ตาไม่ได้ แต่สุดท้ายยังคงหลับตาลงเหมือนเดิม
และแล้วเรื่องเมื่อคืนก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในห้วงความทรงจำทีละน้อย แม้ว่านางจะหลับตา แต่ภาพที่หลินเหราปฏิบัติกับตนอย่างอ่อนโยนยังคงปรากฏอยู่เบื้องหน้าอย่างชัดเจน
หนังตาข้างขวาถูกแตะเบา ๆ ในที่สุดเหยาซูก็ทนไม่ไหว จึงลืมตาขึ้น
ดวงตาดุจลูกท้อคู่นั้นของนางช่างเปล่งประกายยิ่งนัก “ท่านทำอะไร?”
เหยาซูพูดอย่างขุ่นเคืองด้วยเสียงอันแผ่วเบา
ยามที่นางเปล่งเสียงออกมาก็เพิ่งสังเกตว่าเสียงนั้นค่อนข้างแหบแห้ง จึงอดเตะขาไปยังปลายเตียงไม่ได้ คล้ายกับกำลังเขินอาย
นัยน์ตาของหลินเหราก็เปล่งประกายระยิบระยับเช่นกัน จากนั้นก็ลูบเส้นผมของเหยาซูอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำอันไพเราะว่า “ยังจะทำอะไรล่ะ? ก็จูบเจ้านะสิ”
เหยาซูยิ้มอีกครั้ง
เดิมทีหลินเหรานั่งอยู่ข้างกายของเหยาซู จากนั้นเขาก็โน้มตัวลงมามองนาง
หญิงสาวได้ทีจึงดึงเขาให้ต่ำลงไป จนทำให้ลมหายใจของชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ เหยาซูก็พลันหน้าแดงทันใด จึงปล่อยมือที่คว้าคอเสื้อของเขาไว้
หลินเหราจึงพูดด้วยความสงสัยออกมา
ครั้นเหยาซูเห็นท้องฟ้าที่สว่างจ้าแล้ว จึงส่งเสียงกระแอมหนึ่งครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนคำถาม “ข้าอยากให้ท่านไปดูหน่อยว่าซานเป่าตื่นนอนแล้วหรือไม่”
สุ้มเสียงของหลินเหรายังคงทุ้มต่ำ “เขานอนหลับสบายตลอดทั้งคืน เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาครู่หนึ่ง ตอนนี้หลับไปอีกแล้ว”
เหยาซูรู้สึกแปลกใจ “ตื่นมาในตอนเช้าแล้วหรือ? ข้าไม่เห็นจะได้ยิน…”
หลินเหราพูดกับนางด้วยอิริยาบถนั้น “เจ้าคงเหนื่อย หลับต่ออีกสักหน่อยเถอะ”
เหยาซูขดตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่ม แล้วพลิกตัวนอนในท่าที่สบาย จากนั้นก็เอ่ยถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “เหตุใดวันนี้ท่านถึงไม่ตื่นขึ้นมารำมวยตั้งแต่เช้าตรู่ล่ะ? อีกทั้งยังไม่ไปจวนผู้ตรวจการด้วย?”
หลินเหรามองผู้เป็นภรรยา นัยน์ตาคู่นั้นเปล่งประกายงดงาม “เดิมทีก็อยากไปนั่นแหละ แต่เพราะเอาแต่มองเจ้า ก็เลยสายเสียอย่างนั้น”
เหยาซูไม่พูดสิ่งใด นอกจากหรี่ตาลงเล็กน้อยเพราะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แสนสบาย
ทั้งสองคนเสพสุขกับช่วงเวลาที่เงียบสงัดเพียงสั้น ๆ ในยามเช้าตรู่โดยไม่พูดสิ่งใด กระทั่งหลินเหราพูดกับเหยาซูด้วยเสียงทุ้มต่ำและงัวเงีย “ข้าต้องไปแล้ว ในครัวมีอาหารเช้าที่ทำเสร็จแล้ว หลังจากตื่นนอนก็อุ่นมันเสียหน่อยแล้วค่อยกิน”
เหยาซูตอบรับหนึ่งคำ จากนั้นก็เดินไปส่งเขาหน้าประตู
หลังจากที่หลินเหราจากไป หญิงสาวก็พาตัวเองมามุดอยู่ใต้ผ้าห่มพลางครุ่นคิดสัพเพเหระอยู่นานจึงได้โผล่หัวออกมา สูดเอาอากาศที่สดชื่นเข้าไปเฮือกแล้วเฮือกเล่า จนใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาดเล็กน้อย นางเป็นอย่างนั้นอยู่เนิ่นนาน
ส่วนหลินเหราก็เป็นดั่งที่เหยาซูพูดไว้จริง ๆ เพราะมีเวลารำมวยในตอนเข้าตรู่น้อยมาก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการไปจวนตรวจการแต่อย่างใด
เพียงแต่วันนี้เขาได้ตื่นขึ้นมาเห็นเหยาซูที่ยังคงนอนหลับอย่างสบาย จึงกระตุกยิ้มมุมปากโดยควบคุมไม่ได้
เดิมทีเขาก็ไม่ได้กระตือรือร้นเรื่องนั้นสักเท่าใด แต่เมื่อคืนกลับ…
เขาไม่เคยรู้สึกว่าหัวใจที่ส่งถึงกันระหว่างพวกเขาสองคนจะทำให้มีความสุขมากถึงเพียงนั้น คล้ายกับว่าความว่างเปล่าในส่วนลึกของจิตใจได้ถูกเติมเต็ม เวลานี้ตัวเองจึงได้รู้สึกถึงความสมบูรณ์ในที่สุด
ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ความสุขที่เขาไม่เคยมีมาก่อนยังคงตราตรึงอยู่บนร่างกายของหลินเหรา กระทั่งถึงจวนตรวจการ ไปจนถึงจัดการเรื่องวุ่นวายอันน่าเบื่อเรียบร้อย ความรู้สึกในใจของเขาก็ยังไม่จางหายไป
ช่วงเที่ยงวัน เจิ้งอันได้มาหาเขาและบ่นรำพึงรำพันอยู่เป็นครึ่งชั่วยาม หลินเหราล้วนไม่ได้มีทีท่าจะเบื่อหน่ายแต่อย่างใด
ครั้นเห็นหลินเหราฟังตลอด เจิ้งอันจึงยิ่งระบายความขมขื่นพูดไม่หยุดหย่อนว่า “สหายหลิน เมื่อคืนม้าที่ต้องมอบให้กับค่ายใหญ่ของจวนตรวจการได้ถูกส่งมาจากชายแดน ก่อนหน้านั้นได้ตกลงกันแล้วว่าเราจะได้รับม้าโตเต็มวัยจำนวนยี่สิบตัว ลูกม้าห้าสิบตัว …แต่ตอนที่ส่งมานั้นกลับพบว่ามีม้าโตเต็มวัยสิบตัว ลูกม้าแค่หกตัว! ในฝูงม้าโตเต็มวัยก็มีแค่ม้าเพศเมียเพียงสองตัวเท่านั้น ข้าคงได้ตายแน่!”
หลินเหรากำลังนึกถึงท่าหลับที่ดูสงบของเหยาซูในยามเช้าตรู่ พลางพูดด้วยสภาพจิตใจที่พยายามจะแยกแยะว่า “เรื่องนี้เราเสียเปรียบ ผู้ตรวจการไม่มีทางปล่อยไปแน่นอน”
เจิ้งอันทอดถอนใจและคร่ำครวญในเวลาเดียวกัน กลุ้มใจจนขนคิ้วแทบร่วงโรย “ก็ว่าไปตามนี้ละกัน ชาติพันธุ์กลุ่มนี้อาจจะไม่ค่อยเข้าใจหลักเกณฑ์ทองพันชั่ง[1] กระมัง! ผ้าไหมและเครื่องลายครามที่เราส่งไปยังเผ่าทุ่งหญ้า มีของชิ้นไหนบ้างที่ไม่มีมูลค่า? เมื่อถึงตาที่พวกเขาจะต้องส่งม้าให้เรา กลับกลายเป็นเช่นนี้! ส่งม้าเพศเมียมาแค่สองตัว …เป็นเช่นนี้เห็นทีจะต้องชดใช้ค่าเสียเวลาเป็นหลายเท่าเชียวนะ!”
หลินเหราส่ายหน้า “ตอนนี้ชายแดนยังคงสงบ เป็นช่วงที่กำลังพักฟื้นกำลังและเศรษฐกิจ สิ่งสำคัญคือต้องดูแลทหารม้าของเราเป็นอย่างดี ม้าจะดีหรือไม่ดีนั้นเป็นเรื่องรองลงมา”
รู้ทั้งรู้ว่าที่หลินเหราพูดนั้นก็สมเหตุสมผล แต่เจิ้งอันก็ยังปล่อยวางไม่ได้ และยังร้อนใจจนหน้าดำหน้าแดงด้วย “ทหารม้าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ม้าจากชายแดน เป็นม้าพันธุ์แท้! ไม่ว่าจะพละกำลังก็ดี ความเร็วก็ดี ครั้นเทียบกับม้าของเรายังดีกว่าหลายเท่าทีเดียว! ถ้าเป็นการฝึกจากหน่วยงานใหญ่…”
ชายหนุ่มปรายตามองก่อนจะพูดอย่างราบเรียบว่า “หากได้รับการฝึกจากหน่วยงานใหญ่ แล้วอย่างไร? สงครามที่ราบลุ่มกับชาติพันธุ์กลุ่มนี้ เดิมทีใช้ทหารม้าไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนควบม้าของเราก็มีจำนวนไม่เกินหนึ่งพันคนเสียด้วยซ้ำ ทหารม้าที่มีความสามารถในการยิงธนูก็มีจำกัด ม้าที่หน่วยก้านดีเช่นนี้ เป็นแค่ม้าที่ทำให้เราคุ้นเคยกับม้าของคนต่างเผ่าเท่านั้น”
เดิมทีเจิ้งอันไม่เคยลงสนามรบมาก่อน สงครามระหว่างเมืองต้าเยี่ยนกับคนต่างแดนไฉนเลยจะเทียบเคียงกับหลินเหราได้ วิสัยทัศน์และแววตาก็ต่างกันมากโข ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการฝึกฝนม้าของเมืองต้าเยี่ยนที่ไม่ง่ายเลย ในเมื่อฝึกฝนออกมาแล้ว ราชสำนักคงไม่มีทางใช้จุดด้อยไปต่อต้านจุดเด่นของคนต่างแดนอย่างแน่นอน
หากต้องการทำลายกลุ่มชาติพันธุ์ชาวทุ่งหญ้าจริง ๆ ก็ยังต้องอาศัยแรงสนับสนุนในด้านทรัพยากรอันแข็งแกร่งของทหารม้าที่ราชสำนักมอบให้ชายแดน แล้วก็ยังมีแผนการและอุบายอย่างต่อเนื่องให้แก่เหล่าทหารอีกด้วย ให้ตระหนักได้ถึงสถานการณ์ในสนามรบได้อย่างว่องไว
ครั้นเจิ้งอันได้ยินคำพูดของหลินเหรา ก็เข้าใจทันทีว่าตัวเองนั้นเข้าใจผิด แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่ยอม “เช่นนั้นเรา…ก็ต้องเสียเปรียบอย่างเงียบ ๆ อย่างนั้นสิ?”
หลินเหรามองไปยังเขาแวบหนึ่ง “ในจวนมีการฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหัวหน้าเซี่ยสำนักบัณฑิตฮั่นหลินไม่ใช่หรือ? ปัญญาชนที่เอาแต่ร่ำเรียนคงจะแก้ไขปัญหาได้ ไม่ต้องปวดหัวหรอก”
…………………………………………………………………………………………………..
[1] ทองพันชั่ง หมายถึง เมื่อรับปากแล้วมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง คำที่รับปากนั้นเชื่อถือได้มาก รับปากแล้วต้องทำให้ได้
สารจากผู้แปล
ฤดูวสันต์มาเยือนจนได้ ซื่อเป่าต้องมาแล้วแหละ ทีนี้รู้หรือยังว่าเหล้าหอมหมื่นลี้มันแรงน่ะอาซู
เผ่าทุ่งหญ้าเหมือนรู้แกว ขืนส่งม้ามาเยอะก็โดนโจมตีกลับน่ะสิ
ไหหม่า(海馬)