บทที่ 239 เพราะนาง….. เร่าร้อนกับข้ามาโดยตลอดอยู่แล้ว
บทที่ 239 เพราะนาง….. เร่าร้อนกับข้ามาโดยตลอดอยู่แล้ว
ชิงเป่ยเงยหน้าขึ้น เห็นร่างสูงในชุดคลุมม่วงกำลังเดินเข้ามาหาช้า ๆ ใบหน้างดงามอย่างชั่วร้ายดูคุ้นตา หล่อเหลาล้ำลึก ที่ริมฝีปากมีรอยยิ้มจางประดับ
มีสตรีหน้าตางดงามเย้ายวนเดินตามหลังมาไม่ห่าง สีหน้านางดูน่าขันอยู่เล็กน้อย
“นายท่าน นี่คือน้องชายของแม่นางน้อยหรือ?” เม่ยจีถามพร้อมรอยยิ้ม “น่ารักทีเดียว”
โหลวจวินเหยาส่งสายตาเย็นยะเยียบให้ “อย่าให้ปีศาจน้อยได้ยินเชียว ไม่เช่นนั้นเขาจัดการเจ้าแน่”
รอยยิ้มมุมปากเม่ยจีพลันแข็งค้าง ก่อนจะเอ่ยเสียงเจื่อน “ข้าไม่กล้าพูดต่อหน้าเขาหรอก ข้ายังไม่คิดรนหาที่ตาย…..”
ล้อกันเล่นเป็นแน่ คนนิสัยใจแคบเช่นปีศาจน้อยผู้นั้น นางชื่นชมสิ่งมีชีวิตเพศผู้คนอื่น ๆ ยังไม่ได้ อยากจะเหลียวมองครั้งที่สองก็ยังไม่กล้า อีกทั้งนางเกิดมามีหน้าตายั่วยวน ยิ่งต้องระวังการกระทำอยู่ตลอดเวลา
โหลวจวินเหยาหัวเราะเหยียด “ไปทำหน้าที่เจ้าเสีย ทำไมยังรั้งอยู่ที่นี่อีก?”
เม่ยจีถูจมูกอับอายอยู่บ้าง หลบสายตานายท่านไม่พ้นจริง ๆ เขามองนางออกหมดเลย
“ยังยืนงงอยู่ทำไมอีก? มานี่สิ” โหลวจวินเหยายกยิ้มเอ่ยเสียงเบาเมื่อเห็นเด็กหนุ่มยังยืนนิ่งอยู่
ชิงเป่ยจึงเก็บสายตามองประเมินกลับไป บนใบหน้าพลันมีสีหน้าไม่สบายใจปรากฏ
ไม่รู้ทำไม บุรุษที่ชิงอวี่สนิทสนมด้วยผู้นี้มักปรากฏกายขึ้นอยู่เช่นนี้ตลอด แต่ยามมาพบกันต่างสถานที่เช่นนี้กลับรู้สึกแตกต่าง แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าต่างอย่างไร
ชิงเป่ยเดินตามไปเงียบ ๆ ระหว่างทางก็เห็นคนสวมชุดคล้ายกันที่ดูท่าจะเป็นลูกน้องของเขาด้วย ทุกคนโค้งคำนับด้วยความเคารพ เผยให้เห็นว่าเคารพชายเบื้องหน้าอย่างสูงสุด
ชิงเป่ยเห็นด้วยตาตนเอง เริ่มคิดสงสัยว่าอีกฝ่ายมีตัวตนเช่นไรกันแน่
ไม่ทันรู้ตัว ชิงเป่ยก็ถูกนำมายังสถานที่ที่แตกต่างจากเดิมที่กว้างใหญ่โอ่อ่า แต่กลับเต็มไปด้วยความมืดมิด
ราวกับมันเป็นอีกโลกหนึ่งที่ตั้งแยกจากคนอื่น ๆ มีหินงดงาม น้ำใสบริสุทธิ์ ทั้งยังมีศาลาดูงามสง่าตั้งอยู่ที่กลางน้ำ
เดินข้ามสะพานโค้งไปแล้วเห็นเป็นเรือนหนึ่ง ขนาดกำลังเหมาะ ดอกไม้ไม่รู้พันธุ์และพืชใบทั้งหลายถูกปลูกไว้ด้านหน้าเรือน ที่มุมหนึ่งมีโต๊ะและเก้าอี้หินเอาไว้นั่งพักผ่อน มองแล้วดูอบอุ่นปลอบประโลมเป็นยิ่งนัก
สิ่งที่ทำให้ชิงเป่ยประหลาดใจที่สุดไม่ใช่การได้เห็นสถานที่เช่นนี้บนแดนเมฆาสวรรค์ แต่กลับเป็นความรู้สึกคุ้นเคยมากต่างหาก
เรือนหลังเล็กแห่งนี้แท้จริงแล้วทำเลียนแบบเรือนสงบเงียบในจวนหย่งอันอ๋อง กระทั่งพืชใบทั้งหลายรอบตัวเรือนยังเป็นชนิดที่ชิงอวี่ปลูกไว้ในสวนยามว่าง
พวกเขาจากบ้านมาเยือนสำนักละอองหมอกมาได้เกือบหนึ่งปี ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้กลับไปอีก เมื่อเห็นที่นี่ ชิงเป่ยจึงรู้สึกว่าเขาเองคิดถึงอยู่บ้าง
“นี่…..” ชิงเป่ยมองชายหนุ่มแล้วเอ่ยถามเสียงประหลาดใจ
ทำไมเขาถึงสร้างสถานที่ที่เหมือนกับเรือนสงบเงียบไม่มีผิดไว้ที่นี่กัน?
โหลวจวินเหยาหัวเราะ “ต่อจากนี้ไปเจ้าจะอยู่ที่นี่”
“ทำไมเล่า?” ชิงเป่ยไม่รู้สึกดีใจ แต่กลับถามพร้อมคิ้วขมวด “ท่านให้คนพาข้ามาที่แดนเมฆาสวรรค์เพื่อบอกเท่านี้หรือ? ข้าเพียงอยากรู้ว่าชิงอวี่อยู่ที่ไหน”
“ย่อมไม่ใช่เท่านี้” โหลวจวินเหยาก้มหน้ามองเขา “เรื่องชิงอวี่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าย่อมปกป้องคนของข้า เจ้าดูแลตนเองให้ดีก็พอแล้ว”
เขาได้ยินคำระคายหูนั่นอีกแล้ว
ชิงเป่ยสีหน้าทะมึนลงอีก “ชิงอวี่ไปเป็นคนของพวกท่านเมื่อไหร่กัน….. ท่านแค่ช่วยพวกเราตามหาท่านแม่ไม่ใช่หรือ? ท่านเป็นเพียงสหายของท่านแม่ไม่ใช่หรือไร?”
“มันสำคัญด้วยหรือ?” โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว รู้สึกขบขันอยู่บ้าง
เจ้าเด็กนี่ท่าจะเอ่ยคำมีความนัย!
“ในเมื่อเป็นสหายของท่านแม่ ก็แสดงว่าท่านคงมีอายุบ้างแล้ว ดูจากอายุคนบนแดนเมฆาสวรรค์ อย่างน้อยท่านก็มีอายุหลายร้อยปีแล้วกระมัง”
ชิงเป่ยเอ่ยทั้งหมดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เว้นเสียแต่ท้ายประโยคที่กัดฟันพูด “ท่านถึงกับลงมือกับลูกสาวของสหายเช่นนี้….. อีกทั้งยังอายุมากกว่านางตั้งเยอะ….. ไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ?”
โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วก็รู้สึกจั๊กจี้นัก
ชั่วอึดใจหนึ่งเขาจึงหัวเราะเสียงเบาแล้วเอ่ยขึ้น “แล้วใครบอกว่าคนเราตกหลุมรักลูกสาวสหายไม่ได้เล่า? อีกทั้งเจ้าก็รู้ดีว่าอายุขัยคนบนแดนเมฆาสวรรค์นั้นยืนยาว บ้างมีอายุถึงพัน ๆ ปี คนอายุเช่นข้าก็ไม่ต่างจากชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่า ๆ ในดินแดนของเจ้าหรอก ดังนั้นเรื่องอายุนั้นไร้ปัญหา”
ชิงเป่ยยังไม่พร้อมยอมรับ พี่เขยที่เขาจินตนาการไว้อยู่หลายครั้งกลับกลายเป็นบุรุษผู้นี้ไปเสียได้
“เช่นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าชิงอวี่จะตอบรับความรู้สึกท่าน!” ชิงเป่ยเอ่ยเสียงโกรธ “นางหัวแข็งหัวดื้อจะตายไป หากท่านบังคับนาง นางย่อมไม่มีทางยอมเป็นแน่”
เขาปลอบใจตนเองเช่นนั้น คิดว่าคงจะเป็นชายหนุ่มที่รักชิงอวี่ข้างเดียว หากแต่การกระทำของอีกฝ่าย ในพริบตาต่อมากลับทำให้เขารู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าเปรี้ยง
โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วก็เม้มปากเหยียดยิ้มแข็งให้ ก่อนจะดึงคอเสื้อตนลงมาอีกนิดท่าทางซื่อ ๆ
ชิงเป่ยเห็นเขาทำเช่นนั้นก็ประหลาดใจ แต่เมื่อคอเสื้อนั่นถูกดึงลงมา ก็เห็นเป็นรอยสีแดงจาง ๆ บนลำคอขาวชัดเจน มองดูดี ๆ แล้วก็เห็นว่าเป็นรอยกัด
ชิงเป่ยยังไม่ทันพูด เสียงทุ้มของโหลวจวินเหยาก็เอ่ยขึ้นมาเสียงติดจะแหบไปบ้าง “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เพราะนาง….. เร่าร้อนกับข้ามาโดยตลอดอยู่แล้ว”
รอยกัดนี้ได้มาตอนที่เขาแอบไปหานางเมื่อคืนแล้วถูกนางกัดลงโทษ แม้นางจะไม่ได้กัดแรงนัก แต่ก็แรงจนทิ้งรอยไว้ได้ และตอนนี้มันกลายเป็นรอยแดงดูเย้ายวนบนลำคอขาวแล้ว
ชิงเป่ยยิ่งมองยิ่งเคืองตา เขาโกรธจนหน้าซีดขาว อารมณ์คุกรุ่นอยู่นานไม่อาจสงบลงได้
ไม่คิดเลยว่าชิงอวี่จะใกล้ชิดสนิทสนมกับชายหนุ่มถึงเพียงนั้น
แต่ความโกรธก็ยังไม่อาจกลบความเป็นห่วงชิงอวี่ได้ เขายังไม่ลืมสิ่งที่ไป๋จือเยี่ยนกล่าวไว้ก่อนหน้าว่าชิงอวี่ไม่ได้อยู่ที่นี่
จึงอดถามออกมาไม่ได้ “แล้วตอนนี้ชิงอวี่อยู่ที่ใด? ข้าอยากพบนาง”
“ตอนนี้พบไม่ได้” โหลวจวินเหยาว่าพลางจัดปกเสื้อใหม่ช้า ๆ
“ทำไมเล่า?”
“นางอยู่ในอารามจันทร์กระจ่าง มันไม่ใช่สถานที่ที่ใครคิดจะเข้าก็เข้าได้” โหลวจวินเหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจเอ่ยออกไป
อารามจันทร์กระจ่าง…..
ชิงเป่ยเงียบไปไม่เอ่ยคำอีก
เขารู้ว่าโหลวจวินเหยาไม่ได้โกหกเรื่องสถานที่นั้น อย่างไรเขาก็เข้าไปไม่ได้แน่
เว้นเสียแต่จะมีคนจากอารามจันทร์กระจ่างพาตัวเข้าไป
สัมผัสได้ถึงความผิดหวังของเด็กหนุ่ม โหลวจวินเหยาจึงตบไหล่ปลอบ “ไม่ต้องทำหน้าเศร้าสลดเช่นนั้นไป ข้าจะบอกนางให้ว่าเจ้ามาถึงแดนเมฆาสวรรค์แล้ว นางจะได้วางใจ เจ้าเองก็ไปห่วงเรื่องอื่นเถอะ สิ่งสำคัญตอนนี้คือการเพิ่มพลังบำเพ็ญของเจ้าต่างหาก”
“อืม ข้ารู้แล้ว”
ชิงเป่ยย่อมสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณที่นี่หนาแน่นกว่าในแดนมุกหยกมาก หากบำเพ็ญที่นี่ก็จะเร็วกว่าหลายเท่า ทั้งยังช่วยให้บำเพ็ญได้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย
โหลวจวินเหยาพยักหน้า “เจ้าทำใจให้สบายแล้วพักอยู่ที่นี่สักระยะ พอถึงเวลา ข้าจะส่งเจ้าไปหาบิดาเจ้า”
ช่วงเวลานี้ค่อนข้างลำบาก ให้เจ้าหนูอยู่ที่นี่ไม่น่าจะปลอดภัยนัก มีเพียงชนเผ่าหมานที่ปิดกั้นตนจากโลกภายนอกมานานหลายปีเท่านั้นจึงจะปลอดภัยที่สุด
เขาว่าจบ ชิงเป่ยก็ตกตะลึงไป
นัยน์ตาหงส์งดงามจับจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตั้งสติได้ “ท่านว่าอะไรนะ?”
หากฟังไม่ผิด อีกฝ่ายเพิ่งจะบอกว่า….. จะส่งเขาไปหาท่านพ่อหรือ?
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตกใจเกินเหตุ จากนั้นก็นึกได้ว่าเขาบอกแต่จิ้งจอกน้อย ไม่ได้บอกเจ้าหนูนี่ ไม่แปลกที่จะตกใจเช่นนี้
เขาหยุดไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้าพูด “อืม ถูกต้อง บิดาของเจ้า เขาเป็นหัวหน้าเผ่าชนเผ่าหมาน ถึงเวลาเจ้าจะได้พบหน้าเขา ไม่จำเป็นต้องประหม่าไปหรอก”
ไม่ให้ประหม่า?
เขาจะไม่ประหม่าได้อย่างไรกัน!?
ไม่ได้รู้เรื่องราวก่อนหน้าแล้วได้รับฟังข่าวฟ้าแทบถล่มโดยกะทันหันเช่นนี้
เขายังไม่ทันได้ย่อยข่าวเรื่องที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ลงท้องได้จนหมด ตอนนี้กลับต้องมารับรู้เรื่องที่ท่านพ่อเป็นใครอยู่ที่ไหนอีก นับว่าหนักหนาสาหัสเกินกว่าใจดวงน้อย ๆ ของเขาจะรับไหวจริง ๆ
เมื่อสัมผัสได้ถึงความโกรธที่คุกรุ่นจากเด็กหนุ่ม โหลวจวินเหยาก็ยักไหล่จนใจ “ข้านึกว่าแม่นางน้อยจะบอกเจ้าแล้ว ดูท่านางคงไม่อยากให้เจ้าเป็นกังวลเกินควร ไม่อยากให้เจ้ารู้สึกกดดันไปมากกว่านี้”
ชิงเป่ยเม้มปากแน่นไม่ตอบคำ
เขาเองก็รู้ดี
ชิงอวี่ไม่เคยเผยความอ่อนแอให้ใครมาก่อน กระทั่งตอนที่รู้ว่าบิดามารดายังมีชีวิตอยู่ นางไม่เผยอารมณ์สับสนเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่เอ่ยปลอบเขาว่า “เสี่ยวเป่ย ข้าต้องตามหาบิดามารดาเจ้าให้พบแล้วพาเจ้าไปหาพวกเขาให้ได้”
ใช่แล้ว เป็นบิดามารดาของเขา
นางพูดชัดเจนมาโดยตลอดว่านางไม่ใช่ชิงอวี่ตัวจริง ไม่ได้มาจากโลกแห่งนี้ วันหนึ่งนางก็ต้องจากไป
แต่นางคงไม่ทันสังเกตว่านางนั้นเริ่มเป็นตัวชิงอวี่มากขึ้นทุกวัน จนแทบจะกลายเป็นชิงอวี่ตัวจริงไปแล้ว เป็นพี่สาวของเขา
เขารู้สึกซาบซึ้งกับเมื่อตอนนั้นมากที่ทำให้ชิงอวี่ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาพร้อมกับวิญญาณดวงใหม่ ที่ทั้งแข็งแกร่งและสว่างไสวงดงามตานัก
– ชนเผ่าหมาน –
“เจ้าจะไม่รั้งอยู่ที่นี่หรือ?” ใบหน้าที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาของเหยียนจูยังดูน่ากลัวดุดันดังเดิม
ม่อจิ่งอวี้ทำท่าเหมือนไม่ค่อยได้เห็นใบหน้าจริงจังของอีกฝ่ายนัก ส่งหมัดกระแทกไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “ทำไมต้องทำหน้าเศร้าเช่นนั้น? ไม่ใช่ว่าจากตายกันเสียหน่อย”
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เหยียนจูหรี่ตาถาม ไม่ยอมให้อีกฝ่ายหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วเปลี่ยนเรื่องไปได้
ม่อจิ่งอวี้ถอนหายใจ “รู้อยู่แล้วว่าปิดบังเจ้าไม่ได้ ครั้งนี้ข้ามีเรื่องที่ต้องทำจริง ๆ”
“เป็นเรื่องเมื่อตอนนั้นหรือ?” เหยียนจูมุ่นคิ้ว
ม่อจิ่งอวี้หัวเราะเสียงเย็น นัยน์ตาสีดำทอประกายเหี้ยม “ใครก็ตามที่กล้าลงมือกับข้าไม่เคยอยู่รอดปลอดภัย ถึงจะเป็นสตรี แต่ข้าก็ไม่ปล่อยไปหรอก”
“หากเจ้าตั้งใจแล้วก็ไปเถอะ!” เหยียนจูพูดพลางหันกลับไป ก่อนจะค่อย ๆ เดินจากไปช้า ๆ “ ขอเพียงเจ้าไม่บาดเจ็บหนักกลับมาก็พอ”
“ข้ากลายเป็นคนไร้ฝีมือในสายตาเจ้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่?” ม่อจิ่งอวี้ถามพลางมองแผ่นหลังอีกฝ่าย มองผมที่กลายเป็นสีดอกเลาครึ่งหนึ่งแม้พวกเขาจะมีอายุเท่ากันก็ตาม นัยน์ตาเขาทอประกายวาบหนึ่ง แต่มันจับจางหายไปในพริบตา
“เหยียนจู ชีวิตของข้าไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปแล้ว ข้าไม่ยอมปล่อยให้ตนเองต้องเป็นเช่นนั้นอีกแน่”