บทที่ 189 ความหวังของทุกคน

เห็นได้ชัดว่าโซนั้นทํามาจากแสง แต่ก็ยังจับต้องได้

บรอมเดย์สตาร์ สัมผัสได้ถึงการผูกมัดของโซ่แห่งการสํานึกผิดที่ขดรอบตัวเขา นอกเหนือจากความรู้สึกขนลุกแล้ว เอลฟ์ป่าก็อดไม่ได้ที่จะกังวล

เมื่อไหร่ที่เวทมนตร์ของมนุษย์ก้าวหน้าถึงระดับนี้? เขาพยายามร่ายเวทมนตร์หลายครั้งเพื่อปลดตัวเอง แต่เขาก็ยังติดอยู่กับโซ่

นี่คือเวทมนตร์จริง ๆ รี?

คําว่า “จับโจรให้จับหัวหน้า” ไม่ใช่สํานวนของโลกนี้ แต่ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่ามันเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ดี อย่างน้อยก็สําหรับเอ็ดเวิร์ด แม้ว่ามันจะเรียบง่ายและหยาบคาย แต่มันก็ใช้ได้ผลดีในหลาย ๆ กรณี

ดังนั้นก่อนที่จะโจมตีเอลฟ์ เขาก็ได้วางแผนอย่างรอบคอบกับเอลีน่าและคนอื่น ๆ แล้ว

เขาและโจจะเป็นคนดึงดูดความสนใจของศัตรูและทําทุกอย่างเท่าที่ทําได้เพื่อลดจํานวนศัตรู

แม้ว่าเอลฟ์จะไม่มีคุณธรรมอย่างอัศวินที่ไม่ทําร้ายผู้หญิงและเด็ก แต่พวกเขาก็ยังดูถูกเมื่อเห็นผู้หญิงและเด็กเผ่ามนุษย์ และไม่คิดโจมตีทั้งเจสสิก้าและเอลีน่าในทันที

เมื่อเอ็ดเวิร์ดและโจดึงดูดความสนใจของเอลฟ์เอาไว้ พวกเอลฟ์ก็จะไม่ใช้กําลังส่วนใหญ่ไปกับเจสสิก้า แม้ว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นความสามารถในการรักษาของเธอและมีความคิดที่จะกําจัดผู้รักษาก่อน แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่าพวกเอลฟ์จะยึดติดกับความหยิ่งผยองของตน และมีเพียงเอลฟ์ระดับหัวหน้าเท่านั้นที่จะออกมา กําจัดเธอเพียงลําพัง หรือนํากองกําลังเอลฟ์กลุ่มเล็ก ๆ ไปกําจัดเธอ

ไม่ว่าเอลฟ์จะทําเช่นนั้นหรือไม่ เอลีน่านักบุญหญิงฝึกหัด ผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดและมือลาสประจําปาร์ตี้ เอ็ดเวิร์ดก็จะออกมาจัดการ

ท้ายที่สุดแล้วสถานการณ์ในตอนนี้ก็ทําให้เห็นได้ชัดว่าเอลฟ์ป่าไม่คิดว่าตนอยู่ระดับเดียวกับมนุษย์ เช่นเดียวกับที่มนุษย์ไม่คิดที่จะพยายามเข้าใจสิ่งที่หมูพูด

การจับหัวหน้าของเหล่าเอลฟ์ เป็นเพียงวิธีเดียวที่พวกเขาจะสามารถยืนได้อย่างทัดเทียมกับเอลฟ์เพื่อเริ่มต้นการสนทนา

เดิมเอ็ดเวิร์ดยังคิดว่าเอลฟ์ป่าอาจไม่เข้าใจภาษาของมนุษย์ แต่สิ่งต่าง ๆ ก็ได้มาถึงสิ่งขั้นนี้แล้ว ไม่สําคัญว่าพวกเขาจะต่อสู้กันเพียงเพราะอุปสรรคทางภาษาหรือไม่

ไม่ว่ายังไง การพ่ายแพ้ก็หมายถึงความตาย พวกเขาจะมี EXP หายไปบางส่วน และได้เดินทางกลับไปยังเมืองไร้ชื่อฟรี

แต่เห็นได้ชัดว่าเอลฟ์สามารถเข้าใจภาษาของมนุษย์ได้

“มนุษย์ปล่อยเขาซะ!”

บรอมเดย์สตาร์ เห็นรองหัวหน้าตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวใส่เด็กผู้หญิง 2 คนที่อยู่ข้างหลังเขา

“เพียงเพราะเจ้าบอกให้เราปล่อย? เราเลยต้องปล่อย!”

โจและเอ็ดเวิร์ดสบโอกาสฝ่าวงล้อมของเอลฟ์จากอีกด้านหนึ่งไปรวมตัวกับเจสสิก้าและเอลีน่า

เมื่อได้ยินคําพูดของเอลฟ์ โจก็กระดกโคล่าเพื่อดึง HP ที่อันตรายของเขากลับสู่ระดับปลอดภัยก่อนที่จะเยาะเย้ยพวกเอลฟ์ “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นลอร์ดแองโกร่ารึไง”

ในเวลาเดียวกัน แองโกร่าก็จามออกมาขณะดื่มน้ําชากับพ่อของเขาที่ปราสาทอินทรีเงิน

“เจ้า…” เอลฟ์โมโห แต่ไม่รู้จะหักล้างคําพูดของโจยังไง

“แม้คําพูดของโจจะฟังดูหยาบคายไปสักหน่อย แต่เขาก็พูดถูก กลุ่มของเจ้าเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน” เอ็ดเวิร์ดเสริมอย่างเย็นชา “ตอนนี้เมื่อสถานการณ์ไม่ดี เจ้าก็ต้องการยุติการต่อสู้ และบอกให้เราปล่อยเขา เจ้าคิดว่าเป็นไปได้ไหม?”

“ฮ่ม! ไม่ต้องคุยกับมนุษย์พวกนี้! ยิงเลยไม่ต้องสนใจข้า!” บรอมฯเดย์สตาร์ตะโกนคําสั่งออกไป “อย่าลืม หน้าที่ของเจ้า ไม่มีเวลาจะให้เสียแล้ว!”

ในขณะที่คําพูดของเขามีความชัดเจน มีเหตุผล และน่าเชื่อถือ แต่ท่าทางที่ถูกโซ่แห่งการสํานึกผิดรัดนั้นน่าตลกจนทําให้สิ่งที่เขาพูดกลายเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อถือ

เอ็ดเวิร์ดและเอลีน่ามองหน้ากัน ก่อนที่เอลีน่าจะพยักหน้าเล็กน้อยจนผมสีเงินของเธอขยับไหว

ในฐานะที่เป็นทักษะเลเวล 40 อันทรงพลังของคลาสลับอย่างนักบุญหญิงฝึกหัด โซ่แห่งการสํานึกผิดจึงไม่ง่ายอย่างที่เห็นจากภายนอก ความจริงมันคล้ายกับบ่วงแห่งความสัตย์จริงของวันเดอร์วูแมนที่จะบังคับให้เป้าหมายพูดความจริงโดยไม่มีการหลอกลวง พวกเขาจะสารภาพทุกอย่างเมื่อถูกถาม และหากพวกเขาถูกปิดปากไม่ให้ส่งเสียง พวกเขาก็จะบอกทุกอย่างในหัวของเอลีน่า

ดังนั้นสิ่งที่เอลฟ์ตนนี้ตะโกนออกมาจึงเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เขาให้ความสําคัญกับ “หน้าที่” ที่อยู่บนไหล่มากกว่าชีวิตของเขาเอง และมันก็เร่งด่วนพอที่จะ “ไม่มีเวลาให้เสีย

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งต่าง ๆ ดูซับซ้อนอย่างที่เอ็ดเวิร์ดและพรรคพวกได้จินตนาการไว้

หลังจากคิดสักพัก เอ็ดเวิร์ดก็ถามว่า “หน้าที่ของเจ้าคืออะไร? มีเกิดอะไรขึ้นกับถิ่นที่อยู่อาศัยของเอลฟ์”

“เลิกแสแสร้งได้แล้วพวกมนุษย์สารเลว เรารู้ว่าเจ้าทําอะไรกับสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา!” บรอมเดย์สตาร์พูดเย้ยหยันแม้ในขณะที่เขายังคงถูกมัดในท่าทางแปลก ๆ

“สมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด?” เอ็ดเวิร์ดถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ใช่ สมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอลฟ์ป่าแห่งทริเนีย หอกศักดิ์สิทธิ์เซฟาริม!”

“เซฟาริม? ถ้าข้าจําไม่ผิด มันเป็นหอกเล่มเดียวกับที่ใช้ปืนขึ้นไปบนต้นไม่โลกจันทร์สีเงินในตํานานใช่ไหม”

“เจ้าไม่ได้รู้อะไรเลย! นั่นเป็นเพียงตํานานที่เล่ากันปากต่อปากในหมู่มนุษย์ พวกเราเหล่าเอลฟ์มีชีวิตรอดมาตั้งแต่ยุคแรก เผ่าพันธุ์ที่มีประวัติศาสตร์ยืนยาวก่อนยุคสงครามเทพและปีศาจ! เซฟาริมไม่ใช่แค่ตํานาน เธอมีอยู่จริง และเธอก็เป็นสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ “ลูน่า” มอบให้กับเอลฟ์เพื่อให้เรารอดพ้นจากวิกฤตการสูญพันธุ์!”

เอ็ดเวิร์ดนึกขึ้นได้ทันที “พูดอีกอย่างก็คือเจ้าทํามันหาย

“เธอควรจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยภายในต้นแสงจันทร์ ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ามนุษย์ ใช่วิธีใดหลอกเธอหลอกล่อเธอออกจากอาณาเขตของเรา!”

“เธอ?”

“เซฟาริมเป็นอาวุธระดับสูงสุดแม้จะอยู่ท่ามกลางอาวุธสวรรค์ ไม่แปลกที่เธอจะมีความตระหนักรู้ในตนเอง!”

ในขณะเดียวกันเอลฟ์ตนอื่น ๆ ก็อ้าปากค้างจ้องหัวหน้าตนที่กําลังถาม-ตอบกับมนุษย์เหมือนคุยกับเพื่อน เขาเผยความลับของเอลฟ์ป่าอย่างไม่ลังเล นั่นทําให้เอลฟ์คนอื่น ๆ รู้สึกไม่สบายใจอย่างสุดแสนจะพรรณนา

หรือ…เขาอาจเป็นสายลับที่มนุษย์ส่งมา?

บรอมเองก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาพูดอะไรออกไป ขณะที่เอลฟ์คนอื่น ๆ เริ่มจ้องมาที่เขาอย่างแปลกประหลาด ทําให้สีหน้าของเขามืดลงทันที “ให้ตายเถอะ เจ้าทําอะไรกับข้า มนุษย์?!”

สิ่งที่เขาพูดเหมาะสมอย่างยิ่งกับท่าทางที่น่าขบขันของเขา

ถึงกระนั้นเอ็ดเวิร์ดก็ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนั้น และไม่สนใจท่าทางแปลก ๆ ของเขา นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมเขาถึงไม่ใส่ใจเสียงตะโกนของบรอม และรีบแบ่งปันข้อมูลกับโกวต้านผ่านฟอรัม

จากวิธีที่เอลฟ์ทําตัวเป็นปรปักษ์กับพวกเขาพวกเขาและยังคงไม่คิดจากไปไหนเร็ว ๆ นี้ นั่นหมายความว่าโกวต้านเป็นความหวังเดียวของพวกเขาที่จะทําภารกิจให้สําเร็จ

หลังจากนั้น คําตอบของโควต้านที่เงียบหายไปนานก็ปรากฏขึ้น

[อ่อ]

เอ็ดเวิร์ด: ???

“เจ้าจะไม่บอกหน่อยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น?

“ไม่ว่าเจ้าจะพบสมบัติของเอลฟ์ป่าหรือไม่ อย่างน้อยเจ้าก็ควรรายงานสถานการณ์ของเจ้า หลังจากที่เจ้าได้รับข้อความจากข้า! อย่างน้อยก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมกับ 600 คําที่ข้าเพิ่งพิมพ์ไป!”