ตอนที่ 229 ตามหาพ่อเฒ่าเฮ่อ
โจวฉายอวิ๋นพึมพำ “พ่อเฒ่าเฮ่อรับปากกับเราแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะตักเตือนลูกชายของตัวเองให้ดี เขาจะปล่อยให้ลูกชายตัวดีพาพวกนักเลงมาสร้างปัญหาที่ร้านของเราได้ยังไง ไม่น่าเป็นไปได้เลย!”
หลินม่ายคร้านจะพูดอะไรแล้ว ข้อเท็จจริงอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ ๆ แต่หล่อนยังปฏิเสธไม่ยอมรับมัน
“บอกพนักงานทุกคนว่าอย่าได้ยั่วโมโหนักเลงพวกนี้เป็นพอ” หลินม่ายหันไปกำชับเสร็จสรรพก็หันหลังเตรียมเดินจากไป
โจวฉายอวิ๋นถามไล่หลัง “แล้วนั่นเธอจะไปไหน?”
“ไปหาพ่อเฒ่าเฮ่อ”
ทันทีที่หลินม่ายเข้าไปในเขตชุมชนที่พ่อเฒ่าเฮ่ออาศัยอยู่ เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาพ่อเฒ่าเหยาที่กำลังเล่นกับหลานชาย
ดวงตาของพ่อเฒ่าเหยาเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เธอมาที่นี่ทำไม?”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยบุกมาถึงพื้นที่ส่วนตัวของพ่อเฒ่าเฮ่อมาก่อน จึงคิดว่าสถานการณ์อาจไม่ปกติ
หลินม่ายเล่าให้เขาฟังสั้น ๆ “พวกนักเลงมาสร้างปัญหาที่ร้านของฉันค่ะ ฉันสงสัยว่าเฮ่อเชิ่งคือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ฉันเลยแวะมาถามพ่อเฒ่าเฮ่อ”
“ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครไปได้?” พ่อเฒ่าเหยาอุ้มหลานชายขึ้นมา ก่อนจะเดินนำเธอไปหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่งภายในอาคารที่พักด้วยความกระตือรือร้น “พ่อเฒ่าเฮ่ออยู่ที่นี่แหละ”
หลินม่ายกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ยกมือขึ้นเคาะประตูเป็นเวลานาน แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวตอบรับ
แม่บ้านของอีกครอบครัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอาคารเดียวกัน ทั้งยังเป็นเพื่อนบ้านของพ่อเฒ่าเฮ่อเปิดประตูออกมา
พ่อเฒ่าเหยารีบถาม “เห็นตาเฒ่าเฮ่อบ้างไหม ทั้งวันมานี้ฉันยังไม่เห็นหน้าเขาเลย”
ผู้หญิงคนนั้นมองเลยไปที่หลินม่าย ก่อนจะหันมาตอบ “เขาออกไปข้างนอกแต่เช้าแล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่กลับมา ไม่แปลกหรอกที่คุณจะไม่เจอหน้าเขา”
พ่อเหยาถามต่อ “เธอรู้ไหมว่าเขาออกไปไหน?”
ผู้หญิงคนนั้นส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน!”
หลินม่ายถามบ้าง “คุณพอรู้หรือเปล่าคะว่าลูกชายของเขาจะกลับมาประมาณกี่โมง?”
“เรื่องนั้นฉันยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่”
ผู้หญิงคนนั้นคาดเดา “พ่อของเขาไม่อยู่บ้าน แปลว่าไม่มีใครทำอาหารให้เขา เฮ่อเชิ่งคงไม่กลับมาในเร็ว ๆ นี้แน่”
หลินม่ายกล่าวขอบคุณหล่อน ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับพ่อเฒ่าเหยา
พ่อเฒ่าเหยาบอกเธอ “ถ้าตาเฒ่านั่นกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะรีบออกไปเรียกเธอให้มาพบเขาทันที”
หลินม่ายขอบคุณเขาอีกครั้ง จากนั้นก็ตรงกลับร้าน
เมื่อเห็นว่าเธอเดินกลับมาตามลำพัง โจวฉายอวิ๋นแทบไม่เชื่อสายตา แต่พอชะโงกหน้าไปมองอีกครั้งก็ไม่เห็นใครเดินตามหลังเธอมาเลยสักคน
เธอถามด้วยความแปลกใจ “ทำไมพ่อเฒ่าเฮ่อถึงไม่ยอมตามเธอมาล่ะ?”
หลินม่ายแบมือยักไหล่ “พ่อเฒ่าเฮ่อไม่อยู่บ้าน”
โจวฉายอวิ๋นแสดงสีหน้าผิดหวัง “พ่อเฒ่าเฮ่อไปไหนกันนะ? ถ้าเขาอยู่บ้านละก็ ปัญหาที่เกิดขึ้นคงได้รับการสะสางในไม่ช้านี้แน่”
เมื่อหลินม่ายเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงคาดหวังกับอะไรที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง หลินม่ายก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “อย่าแม้แต่จะคิดเลย ทั้งหมดนี่จะเป็นแค่เรื่องบังเอิญได้ยังไง ร้านของเรากำลังประสบปัญหา แต่พ่อเฒ่าเฮ่อกลับไม่อยู่บ้าน”
โจวฉายอวิ๋นเบิกตากว้างทันที “เธอสงสัยว่าพ่อเฒ่าเฮ่อสมรู้ร่วมคิดกันกับลูกชายของเขา แล้วคิดแผนทวงบ้านหลังนี้คืนอย่างนั้นเหรอ?”
“หรือไม่ก็คงอยากทวงบ้านคืนโดยที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องควักเงินจ่ายค่าชดเชย”
นั่นต้องเป็นจุดประสงค์ที่เฮ่อเชิ่งพานักเลงพวกนี้มาสร้างปัญหาไม่ผิดแน่
ตราบใดที่นักเลงพวกนี้มาสร้างปัญหาให้กับที่ร้านทุกวันจนขายของไม่ออก นานวันเข้าหลินม่ายก็แบกรับความขาดทุนไว้ไม่ไหว แล้วตัดสินใจคืนบ้านหลังนี้ให้กับพวกเขาด้วยตัวเอง
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง สองพ่อลูกก็จะกล่าวหาว่าหลินม่ายเป็นฝ่ายผิดสัญญา และเรียกร้องให้เธอชำระค่าเสียหาย
โจวฉายอวิ๋นแสดงสีหน้าเหลือเชื่อ “พ่อเฒ่าเฮ่อเป็นคนดี เขาจะสมคบคิดกับลูกชายของตัวเองได้ยังไง?”
หลินม่ายตอกตะปูแทงใจดำหล่อนทันที “ต่อให้เขาเป็นคนดีแค่ไหนก็ไม่มีวันเข้าข้างคนนอกแน่”
“แต่ลูกชายของเขาเป็นแค่กองโคลนเน่าเสีย เขาไม่มีวันช่วยลูกชายหรอก”
“ถึงไม่อยากช่วย แต่ในฐานะที่เขาเป็นพ่อก็ไม่แน่…”
โจวฉายอวิ๋ยถามอย่างกระวนกระวาย “แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ? ยอมให้พวกเขายึดบ้านคืนงั้นเหรอ?”
ถึงหลินม่ายจะซื้อตึกแถวฝั่งตรงข้ามเอาไว้แล้ว แต่ภายในยังปรับปรุงไม่เสร็จ และต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนถึงจะย้ายเข้าไปอยู่ได้ ถึงอย่างไรก็ยังคืนบ้านหลังนี้ให้เขาไม่ได้อยู่ดี
หลินม่ายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “เรายังคืนบ้านให้เขาไม่ได้ในทันที เงื่อนไขคือพวกเขาต้องยอมให้เราเปิดกิจการต่อไปอีกหนึ่งเดือน และเขาต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับเราด้วย”
โจวฉายอวิ๋นเงียบไป “ให้พวกเขาจ่ายค่าเสียหายให้เรางั้นเหรอ? ฉันว่าเขาคงไม่ยอมง่าย ๆ!”
“ถ้าพวกเขาไม่ยอมจ่าย ค่าเช่าร้านที่จ่ายไปล่วงหน้าเดือนละยี่สิบห้าหยวนก็จะสูญเปล่า ฉันไม่ยอมเสียมันไปฟรี ๆ แน่”
หลินม่ายพูดต่อ “กิจการอาหารเช้ากับอาหารว่างคงขายต่อไม่ได้แล้ว แต่กิจการร้านช่วงกลางคืนยังต้องเปิดขายตามปกติ เราจะปล่อยให้รายได้เป็นศูนย์ไม่ได้ อย่างน้อยต้องได้ทุนคืนมาบ้าง”
โจวฉายอวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ “โต๊ะทุกโต๊ะในร้านถูกนักเลงพวกนั้นยึดหมดแบบนี้ แล้วเราจะเปิดร้านช่วงกลางคืนกันยังไงล่ะ?”
หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง “งั้นเราไม่ต้องขายยำผักกับอาหารตุ๋น ขายแค่เซาเข่าอย่างเดียวก็พอ เซาเข่าเป็นอาหารที่เดินไปถือกินไปได้ ไม่จำเป็นต้องนั่งโต๊ะ ต่อให้นักเลงพวกนั้นยึดโต๊ะไปก็ไม่ส่งผลกระทบมากนัก”
“ได้ ฉันจะสั่งให้ทุกคนเตรียมของเสียบไม้สำหรับทำเซาเข่า” โจวฉายอวิ๋นหันกลับไปจัดการงานครัว
หลินม่ายเดินขึ้นไปชั้นบน ถอดสร้อยข้อมือหยกเก็บไว้รวมกับเครื่องประดับมีค่า จากนั้นก็เข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารมื้อเย็นให้ฟางจั๋วหรานกับโต้วโต้ว
จู่ ๆ คำถามหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว “ตอนที่คุณหมอฟางแวะมากินอาหารกลางวัน พอเขาเห็นพวกนักเลงอยู่กันเต็มร้านแบบนี้ เขามีท่าทียังไงบ้าง?”
โจวฉายอวิ๋นตอบ “คุณหมอฟางไม่ได้แวะมากินอาหารกลางวันหรอก”
ทันใดนั้นหลินม่ายก็นึกขี้นได้ว่าฟางจั๋วหรานนัดหมายสถาปนิกให้เข้าไปตรวจดูบ้านของเธอในตอนเที่ยง เขาคงพาอีกฝ่ายไปกินข้าวที่ร้านอาหาร
เธอไม่อยากให้ฟางจั๋วหรานเป็นกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ร้าน ดังนั้นจึงตั้งใจว่าจะออกไปส่งอาหารให้เขาทันทีที่ปรุงเสร็จ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาแวะมาที่ร้านแล้วเจอกับนักเลงกลุ่มนี้ ไม่อย่างนั้นเขาต้องช่วยเธอจัดการแก้ปัญหาแน่
ฟางจั๋วหรานเพิ่งผ่าตัดใหญ่ให้กับผู้ป่วยรายหนึ่งเสร็จสิ้น พอออกมาจากห้องผ่าตัด ก็เห็นว่าหลินม่ายมายืนรอเขาที่ห้องทำงานพร้อมกับกล่องอาหารในมือ
เขายิ้มกว้าง “ทำไมวันนี้ถึงได้แวะเอาอาหารมาส่งให้ผมล่ะ?”
หลินม่ายชี้ไปยังนาฬิกาแขวนในห้องทำงานของเขา “ถึงเวลาเลิกงานแล้ว แต่คุณยังไม่แวะมากินข้าวสักที ฉันเป็นห่วงว่าคุณจะหิว ก็เลยแวะมาส่งอาหารให้คุณค่ะ!”
“ช่างเป็นผู้หญิงที่รู้ใจผมจริง ๆ”
ฟางจั๋วหรานเอื้อมมือไปหยิกแก้มเธอด้วยความรักใคร่ “ผมกำลังหิวอยู่พอดีเลย”
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องพักแพทย์ของฟางจั๋วหราน
ฟางจั๋วหรานเปิดฝากล่องอาหารออก เห็นว่าข้างในเต็มไปด้วยกับข้าวน่าอร่อยหลายอย่าง เขาคีบหมูสามชั้นทอดกรอบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกินมันอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากนั้นก็หัวเราะชอบใจ
หลินม่ายถาม “หัวเราะอะไรคะ?”
“ผมมีความสุขมาก วันชาติที่จะถึงนี้เราสองคนจะได้หมั้นกันแล้ว”
หลินม่ายหน้าแดงขึ้นมาทันที กระแอมในลำคอแก้เขิน “ค่อย ๆ กินนะคะ ฉันต้องกลับแล้ว”
ฟางจั๋วหรานคว้ามือเล็ก ๆ ของเธอไว้ “จะกลับไปดื้อ ๆ แบบนี้เหรอ?”
หลินม่ายไม่ตอบสนองอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วจะให้ฉันลาคุณแบบไหนล่ะ?”
ฟางจั๋วหรานเอียงใบหน้าให้เธอ
หลินม่ายเข้าใจทันที มองซ้ายขวาเหมือนวัวสันหลังหวะ ก่อนจะจูบเขาที่แก้มอย่างรวดเร็วเหมือนแมลงปอโฉบบนผืนน้ำ(1)
ฟางจั๋วหรานถึงยอมปล่อยมือจากเธอด้วยความพึงพอใจ “วันนี้คุณยังออกไปตั้งแผงลอยบนถนนเจียงฮั่นเหมือนเดิมหรือเปล่า?”
“อืม”
“วันนี้ผมต้องเข้างานกะกลางคืน เลยไปช่วยคุณตั้งแผงขายของไม่ได้ อย่าขายจนดึกเกินไปล่ะ พยายามกลับถึงบ้านก่อนสามทุ่ม ผมไม่อยากให้คุณนอนดึก”
หลินม่ายพูดด้วยความเป็นห่วง “คืนนี้คุณไม่ได้นอนอีกแล้วสินะ”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า
หลินม่ายถามคำถามหนึ่งซึ่งเป็นคำถามที่เธออยากรู้มานานแล้ว “คุณเป็นถึงรองศาสตราจารย์ ทำไมยังต้องเข้ากะกลางคืนอยู่หรือคะ?”
“อาจารย์ของผมอายุหกสิบแล้ว เขายังต้องเข้ากะกลางคืนเดือนละสองสามครั้ง ผู้ป่วยพึ่งพาความสามารถของแพทย์ฝึกหัดพวกนั้นไม่ได้เสมอไป พวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้”
หลินม่ายทำสีหน้าว่างเปล่า “พูดอย่างกับว่าตัวเองเป็นคุณหมออายุมากอย่างนั้นแหละ คุณเองก็ยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลยนะคะ…”
ฟางจั๋วหรานหัวเราะอีกครั้ง “ผมดีใจที่ได้ยินคุณชมว่าผมยังหนุ่มแน่น ผมอายุมากกว่าคุณตั้งสิบปี ผมกลัวมาตลอดว่าคุณอาจคิดว่าผมแก่เกินไป”
หลินม่ายคิดว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าทุกครั้งที่อยู่กับเขา ไม่คิดเลยว่าฟางจั๋วหรานเองก็คิดว่าตัวเองมีจุดที่ด้อยกว่าเธอเหมือนกัน
หลังออกมาจากโรงพยาบาล หลินม่ายก็กลับไปที่ร้าน วางแผนว่าจะเตรียมอาหารมื้อดึกให้กับฟางจั๋วหราน
เมื่อมองจากระยะไกล พอเห็นว่าบริเวณหน้าร้านยังมีลูกค้าจำนวนมากก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าตลอดทั้งวันนี้ร้านของเธอจะถูกกลุ่มนักเลงที่เฮ่อเชิ่งส่งมารบกวน อย่างน้อยร้านเซาเข่าของเธอก็ยังเป็นที่นิยมไม่แปรเปลี่ยน ผู้คนจึงแวะมาอุดหนุนไม่ขาดสาย…
แต่ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ หลินม่ายกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลกออกไป
เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้คนเฉียดเข้าใกล้แผงขายเซาเข่าของเธอ พวกนักเลงที่ยืนรายล้อมอยู่รอบร้านจะคอยขับไล่คนเหล่านั้นออกไปทุกครั้ง ทำให้ลูกค้าต่างหวาดกลัวและเดินหนีไป
……………………………………………………………………………………………………………..
โฉบอย่างรวดเร็วและแค่เฉียดๆ
สารจากผู้แปล
สู้ๆ นะม่ายจื่อ ทนอีกนิดเดี๋ยวก็ได้ย้ายร้านแล้ว
ไหหม่า(海馬)