บทที่ 219 แพะรับบาป

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 219 : แพะรับบาป

คิ้วของเจโรมขมวดเข้าหากันแน่น แล้วเขาก็เหงื่อแตกพลั่กในขณะที่เดินไปเดินมาในห้องของเขาอย่างหวาดวิตก

รูปลักษณ์ของเขานั้นตรงตามมาตรฐานของคนชั้นสูง ผมเรียบแปล้เป็นประกาย หนวดสั้น ๆ ที่ปลายทั้งสองข้างยาวเรียว สวมชุดสูทหรูเรียบกริบและแว่นตาข้างเดียวไร้กรอบบนใบหน้า

ทว่าการเดินไปเดินมาอย่างรีบร้อนและการถูฝ่ามือของเขา ทำให้ดูเหมือนแมลงวันไร้หัว

เจโรมมีสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้ในขณะที่มองลงไปที่คริสตัลสื่อสารที่ดับวูบเป็นครั้งคราว แล้วบ่นกระปอดกระแปดกับตัวเองเบา ๆ

“จากที่เห็นในคริสตัลครั้งสุดท้าย เจ้าของร้านหนังสือไม่ได้เป็นคนลงมือเอง แต่ตอนนี้คำถามก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพรีม่าคืออะไรกันแน่ แล้วทำไมเขาถึงช่วยเธอ?”

“พรีม่าไม่เคยไปที่ถนนเส้นนั้นมาก่อนเลย ดังนั้นเธอไม่ใช่ลูกค้าร้านหนังสือแน่ เจ้าของร้านหนังสือไม่มีเหตุผลต้องช่วยเธอเลย…”

“เดี๋ยวสิ บ้าเอ๊ย! ก่อนหน้านี้ยัยเอลฟ์มืดนั่นว่าไงนะ? เธอคงไม่ได้ส่งพรีม่าลอยเข้าไปในร้านหนังสือหรอกใช่ไหม?! นั่นทำฉันงานเข้าได้เลยนะ!”

“ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นฉันก็เหยียบเท้าคนคนนั้นเข้าเต็ม ๆ แล้วสิ…”

เจโรมหน้าซีดพลางขยี้ผมที่ดูแลรักษาอย่างดีของตัวเองด้วยมือที่สั่นเทา

ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของสมาคมแห่งสัจธรรม ความทรงจำตอนปฏิบัติการจัดการกับเทพพิรุณเมื่อหลายเดือนก่อนยังคงสดใหม่ในใจเขา มหาสงครามที่สุดท้ายพัฒนาไปเป็นสงครามเทพเจ้า แล้วหลังจากนั้น ปืนใหญ่ทลายอีเธอร์ก็ถูกทำลายลงด้วย…

ไม่ว่าใครที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็ลืมมันไม่ลง และมันคงตามหลอกหลอนพวกเขาไปจนตาย

สำหรับเจโรม สถานการณ์นี้ทำให้เขาได้ลืมตาตื่นใหม่อีกครั้ง

เพราะว่าเขาใช้ความสำเร็จของปฏิบัติการนี้เองในการไต่เต้าขึ้นเป็นสมาชิกหลักขององค์กรอันแข็งแกร่งที่ชื่อ ‘วิถีแห่งดาบอัคคี’

สมาชิกหลักคือผู้ที่จะได้รับการสนับสนุนเต็มที่เหมือนกับจุยคาคุและร็อดนีย์ ซึ่งพวกเขาสามารถติดต่อไปมากับองค์กรได้ตลอดเวลา

ในขณะเดียวกัน เฮริส อดีตหัวหน้าหมาป่าขาวที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นเป็นเพียงสมาชิกต๊อกต๋อยที่ทำได้เพียงรับคำสั่งเท่านั้น

ในฐานะของนักปรุงยาที่พลังต่อสู้ค่อนข้างอ่อนแอ เจโรมจึงไต่มาถึงจุดนี้ได้โดยแทบจะใช้แค่ ‘มันสมองและการวางแผน’ เพียงอย่างเดียว

เจโรมหยุดทึ้งผมตัวเองแล้วสงบสติลง ทว่าสีหน้าชั่วร้ายพลันฉายขึ้นบนใบหน้าของเขา

แล้วเขาก็ส่งเสียงฮึ่มลอดไรฟันออกมา “แล้วทำไมเราต้องกลัวด้วยล่ะ… เขาแข็งแกร่งมากจริง ๆ แค่เราก็มีวิถีแห่งดาบอัคคีหนุนหลังเราอยู่ ระดับเหนือนภาอย่างร็อดนีย์ก็เป็นแค่คนปวกเปียกที่งอมืองอเท้าให้วิถีแห่งดาบอัคคีป้อนทุกอย่างให้ ถ้าเป็นเรา เราต้องทำได้ดีกว่านั้นมากแน่”

ตอนนี้ทั้งร็อดนีย์และจุยคาคุต่างก็เป็นปุ๋ยกันไปหมดแล้ว แค่นี่ก็หมายความได้แค่ว่าพวกเขาไม่ฉลาดพอ และไม่มีค่าอะไร

การที่พวกเขาได้รับทรัพยากรจากวิถีแห่งดาบอัคคีมากมายแต่ก็ยังล้มเหลวนั้นก็ยิ่งพิสูจน์ถึงความไร้ความสามารถของพวกเขา

หลังจากแฝงตัวอยู่ในสมาคมแห่งสัจธรรมอยู่นานสองนาน เจโรมก็สามารถเขี่ยรองประธานสมาคมออกไปจากการทำหน้าที่แล้วกลายเป็นบุคคลที่ต้องถูกคุมประพฤติไปสองสามเดือนได้ และกระทั่งรอดจากการตรวจเข้มหาไส้ศึกของรองประธานคนดังกล่าวในช่วงสองสามสัปดาห์นี้มาได้ด้วย

“ฉันตะเกียกตะกายมาตั้งนาน จะมายอมแพ้ตอนนี้ได้ยังไง?!”

ดวงตาของเจโรมเต็มไปด้วยความเคียดแค้น หลังจากไตร่ตรองสักพักเขาก็สาวเท้ายาว ๆ ไปที่โต๊ะตัวหนึ่งแล้วกดปุ่มที่อยู่ใต้โต๊ะ

ครืด!

เสียงล้อหมุนเบา ๆ ดังออกมาเมื่อชั้นหนังสือเคลื่อนตัวไปข้าง ๆ เผยให้เห็นขวดและบรรจุภัณฑ์บรรจุโอสถสีและรูปร่างต่าง ๆ กันเต็มไปหมด

เจโรมเอื้อมมือออกไปเลือกมาสองสามขวดแล้วเทมันลงไปในเครื่องผสมยาที่ซุกอยู่ในแขนเสื้อของเขา

โอสถพวกนี้เป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่เสร็จดี มันเป็นเพียงการผสมวัตถุดิบหลายอย่างอย่างคร่าว ๆ เท่านั้น ของพวกนี้เป็นแค่ของทดลองไร้พิษภัยแม้กระทั่งในสายตาของเหล่าเภสัชกรด้วยกัน

ทว่าเมื่อผสมพวกมันเข้าด้วยกัน น้ำยาสะกดจิตที่รุนแรงก็จะถูกสร้างขึ้นมา

เจโรมเรียกยาสูตรนี้ว่า ‘สัมผัสแห่งจิตวิญญาณ’

เขาทดลองมันกับคนมากกว่าสิบคนแล้ว และมันก็ทำให้เขาสามารถบงการคนระดับสัตว์ประหลาดได้โดยไร้เงื่อนไข

เอลฟ์ดำนักสะกดรอยนั่นก็เป็นหนึ่งในเป้าทดลอง เจโรมก็เคยฉีดหมอก ‘สัมผัสแห่งจิตวิญญาณ’ ใส่เธอเหมือนกัน ซึ่งนั่นทำให้เธอเชื่ออย่างผิด ๆ ว่างานลอบสังหารนี้เป็นงานจากงานเลี้ยงโลหิต

แต่ที่จริงแล้ว งานเลี้ยงโลหิตได้หยุดงานใหญ่ ๆ ลงชั่วคราวหลังจากจุยคาคุซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งถูกจับกุม สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในตอนนี้คือการแย่งอำนาจกันระหว่างคนระดับสูงสุดในงานเลี้ยงโลหิต

ทว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดต่างไร้ค่า เพราะอีกไม่นานวิถีแห่งดาบอัคคีจะส่งคนไปรับหน้าที่ต่อแล้ว

ดังนั้นการติดต่อกับเอลฟ์ดำจึงเป็นเรื่องหลอกลวงมาแต่แรก

“รองประธานแอนดรูว์ที่รัก ทุกอย่างขึ้นกับคุณแล้วนะครับ” เจโรมพูดออกมาพลางแสยะยิ้มชั่วร้ายและลูบหนวดน้อย ๆ ของเขา “สุดท้ายแล้ว คุณก็จะกลายมาเป็นแพะรับบาปของผม”

“เพราะถึงอย่างไร…คุณก็ขัดแย้งกับเขามากกว่าตัวละครไร้ชื่ออย่างผมนี่”

บ้านเรือนในเขตกลางต่างถูกจัดเรียงตามลำดับตัวอักษร

เริ่มจาก ‘A’ ที่ใจกลางเขตแล้วจบที่ ‘Z’ ที่ท้ายเขต บ้านเรือนที่ใกล้จุดศูนย์กลางกว่าจะเป็นที่อยู่ของคนที่มีระดับฐานะสูงกว่า

แน่นอนว่าระดับฐานะที่ว่าก็เป็นได้ทั้งเงินตรา อำนาจ และความโด่งดัง

ในส่วนของเหล่าขุนนางที่ไร้อำนาจจริง ๆ พวกที่มีสามัญสำนึกอยู่คงขายบ้านเก่าของพวกเขาแล้วย้ายไปอยู่วงนอก ๆ กันหมดแล้ว ส่วนพวกที่ยังยึดติดกับเกียรติภูมิของต้นตระกูลก็จะมีชีวิตที่ออกจะน่าเวทนาสักนิด

เพื่อที่จะได้รักษาหน้าตาตัวเองไว้ได้อย่างสุดชีวิต พวกเขาก็จะต้องจ่ายเงินให้คนใช้กลุ่มใหญ่รวมไปถึงสิ่งของประจำวันในราคาแพงหูดับ การใช้ชีวิตที่รักษาสมดุลการเงินไว้ไม่ได้นี้ ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องหมดไป

ในตอนแรก พวกเขาก็จะต้องพึ่งพา ‘เพื่อน ๆ’ รอบตัวพวกเขา แล้วต่อมาพวกเขาก็ต้องฉีกยิ้มเร่ขอยืมเงิน ก่อนที่สุดท้ายก็จะตกสู่วังวนโศกนาฎกรรมการที่ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้…

ตระกูลผู้สูงศักดิ์ตระกูลหนึ่งที่เคยเป็นที่กลัวเกรงจะเหลือเพียงกลุ่มคนไร้ค่าอย่างสมบูรณ์ และเมื่อพวกเขาเหลือแค่เพียงสายเลือดที่เป็นสิ่งมีค่า ทางเดียวที่จะจ่ายหนี้ได้ของพวกเขาก็คือการส่งสมาชิกสาว ๆ ในตระกูลขึ้นเขียงเชือดโดยใช้การจัดงานเลี้ยงบ่อย ๆ เป็นฉากบังหน้า

แล้วสุดท้ายตระกูลเช่นนั้นก็จะไม่เหลือทางเลือกนอกจากวางยาพิษฆ่าตัวตายหมู่ กลายเป็นเรื่องตลกที่กลายเป็นขี้ปากเหล่าชาวบ้านในเขตกลางไป

แน่นอนว่าเมื่อความลับดำมืดเหล่านี้ถูกนำออกไปจากสมการแล้ว ความมั่งคั่งฟู่ฟ่าของเขตกลางก็ย่อมเป็นสิ่งดึงดูดใจผู้คนมากมาย

ความฝันชั่วชีวิตของคนธรรมดาที่อาศัยในเขตบนส่วนใหญ่ก็คงเป็นการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ตามชายขอบเขตกลางนั่นแหละ

แน่นอน เพราะเขามีตำแหน่งเป็นถึงรองประธานสมาคมแห่งสัจธรรม รวมกับมีสายเลือดขุนนางด้วย แอนดรูว์จึงอาศัยอยู่ในเขตกลาง

ที่อยู่ของเขาคือ B45

“เจโรมมาหาเหรอ?” แอนดรูว์ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกว้างขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อคนรับใช้ของเขารายงานมาเช่นนี้

เขาระลึกได้ว่าเจโรม รองหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมเคยเป็นศัตรูของมาร์กาเร็ตที่หายตัวไป แม้ว่าทั้งคู่จะเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดห่าง ๆ ก็ตาม ทว่าเมื่อเธอหายไปเขากลับเก็บตัวเงียบอย่างผิดปกติ ที่จริงแล้ว เจโรมกระทั่งทิ้งเป้าหมายของเขาแล้วสละตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมให้รองหัวหน้าอีกคนด้วยซ้ำ

มันดูเหมือนกับว่า ในฐานะญาติผู้ใหญ่ในตระกูล การหายตัวไปของมาร์กาเร็ตทำให้เขาท้อแท้แล้วไม่สามารถใส่ใจกับเรื่องของฝ่ายเภสัชกรรมได้

นี่ดูจะเป็นวิธีหลบความสงสัยที่ค่อนข้างแปลกใหม่

แต่คำถามคือ…ทำไมเจโรมถึงมาเรียกหาเขาในเวลาแบบนี้ล่ะ?

นับตั้งแต่ศึกกับเทพพิรุณ ฐานะของแอนดรูว์ในสมาคมแห่งสัจธรรมก็ร่วงไม่หยุดหย่อน

แต่เดิม…แอนดรูว์เคยจะส่งเจ้าพวก ‘ผู้แสวงหาความจริง’ ที่ทำอะไรตามอำเภอใจพวกนั้นไปตรวจสอบร้านหนังสือ ทว่าเมื่อเขาเริ่มมาคิดถึงปฏิบัติการนี้อีกทีแล้วถอนคำสั่งไป เขาก็ค้นพบว่ามีคนหยุดการถอนคำสั่งของเขาไว้และแอบทำตามคำสั่งแรกอย่างไม่ระบุตัวตน ซึ่งทำให้เขาตระหนักได้ว่ามีไส้ศึกอยู่ใกล้ ๆ เขา

ทว่าแอนดรูว์ไม่เชื่อว่าเหล่าบุคคลที่เชื่อใจและรู้เรื่องของเขาดีจะเป็นคนหักหลังเขาได้

จากข้อบ่งชี้ต่าง ๆ ไส้ศึกคนนี้ก็ดูจะอยู่ทุกที่ได้ในเวลาเดียวกัน แล้วส่งผลกระทบต่อสมาคมแห่งสัจธรรมแม้จะไม่มีรูปร่างเป็นตัวเป็นตน

ยิ่งกว่านั้น การใช้เครื่องตรวจจับอีเธอร์มาตรวจสอบก็ไม่ได้ผลอะไรเลย

แล้วแอนดรูว์ก็ได้ข้อสรุปของตัวเองแล้ว

ไม่ใช่ว่ามีไส้ศึกอยู่หลายคนหรอก แต่ไส้ศึกคนนี้สามารถควบคุมคนอื่นได้ต่างหาก…