ตอนที่ 256 ยึดครองอำนาจ แก้ปัญหาที่ต้นตอ (1)
ขณะซูชีเล่าเรื่องเหล่านี้ นัยน์ตาของเขาฉายความชื่นชม ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับโมโหยิ่งนัก บิดาของนางยอมเสี่ยงชีวิตช่วยฮ่องเต้ แต่ในท้องพระโรงเมื่อสองวันก่อน นางเพียงพูดไม่เข้าหูฮ่องเต้ เขาก็คิดจะเอาชีวิตนาง
“เมืองเฮยมู่และเมืองรั่วสุ่ยไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของชาวชัง สองเมืองนี้ติดกัน แต่ต่างเป็นสองเมืองที่ปกครองตนเอง ครอบครองโดยสองตระกูลลึกลับอย่างตระกูลเฮยมู่และตระกูลรั่วสุ่ย สองตระกูลนี้เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันหลายชั่วอายุคน ไม่เคยมีปัญหากันมาก่อน เมื่อครั้นยุคสมัยของปฐมจักรพรรดิ ชาวบ้านในสองเมืองนี้ถือเป็นไพร่ฟ้าของเทียนฉี เป็นด่านสุดท้ายที่เทียนฉีใช้ขวางกั้นชาวชัง ทว่าไร้ซึ่งหนทาง ราชวงศ์ไร้ความสามารถ จึงทำให้ทั้งสองเมืองตกอยู่ในกำมือของชาวชัง เวลานี้จะพูดถึงกองกำลังทหารของบิดาเจ้า ย่อมต้องพูดถูกสองเมืองนี้ ได้ยินว่าบิดาของเจ้ามีป้ายไม้ดำหนึ่งแผ่น เป็นของกำนัลที่หัวหน้าตระกูลเฮยมู่และรั่วสุ่ยยกให้ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองตระกูล ขอเพียงมีป้ายไม้ดำ ก็ทำให้คนตระกูลเฮยมู่และตระกูลรั่วสุ่ยเชื่อฟังคำสั่ง”
ป้ายไม้ดำ? หรือว่าจะเป็นแผ่นป้ายที่เสวี่ยเอ๋อร์เก็บเอาไว้ให้นาง มั่วเชียนเสวี่ยก้มหน้าลงเอามือกุมหน้าผาก ที่แท้ ป้ายไม้ดำก็มีประโยชน์จริงๆ…
ซูชีเล่าถึงตรงนี้ เห็นมั่วเชียนเสวี่ยได้ยินเรื่องป้ายไม้ดำก็ก้มหน้าลงโดยไร้ซึ่งความตกใจและไร้ซึ่งความดีใจ หัวใจของเขาหนักอึ้ง นัยน์ตาทอประกาย “เชียนเสวี่ย ป้ายไม้ดำคือความลับสูงสุด ในใต้หล้าคนที่รู้เรื่องนี้มีไม่เกินสิบคนอย่างแน่นอน คนในเมืองหลวงที่รู้เรื่องนี้ มีไม่เกินสามคน แม้กระทั่งท่านพ่อและพี่ชายของข้าก็อาจจะไม่รู้เรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ บิดาของเจ้าเก็บป้ายไม้ดำแผ่นนี้เอาไว้ที่เจ้าใช่หรือไม่”
มั่วเชียนเสวี่ยดึงสติกลับมา เงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน นัยน์ตาคมเฉียบ “แล้วเจ้าทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร” ในเมื่อแม้แต่บิดาและพี่ชายของเขายังไม่รู้เรื่องนี้ ตระกูลซูไม่ได้เป็นคนแพร่งพรายเรื่องนี้ออกมาอย่างแน่นอน
ซูชีตอบไม่ตรงคำถาม แต่กลับคลี่ยิ้ม “ข้าออกจากเมืองหลวงตั้งแต่อายุสิบขวบ ตลอดหลายปีมานี้ข้าเคยเที่ยวเล่นพเนจรมาหลายแห่ง เมืองเฮยมู่และเมืองรั่วสุ่ยนั่นข้าก็เคยไปมาก่อน เป็นเมืองน่าท่องเที่ยวยิ่งนัก วันข้างหน้าหากเจ้าอยากไป ข้าไปกับเจ้า…” หากมีวันนั้นจริงๆ แม้ต้องเดินทางไกลสุดหล้าฟ้าเขียวไปพร้อมกับนาง เขาก็ไม่เสียใจ!
เขาออกจากเมืองหลวงตอนอายุสิบขวบจริงๆ ทั้งยังเคยไปที่ต่างๆ นับไม่ถ้วน ทว่า ไม่ได้เที่ยวเล่นโดยไร้จุดหมาย
ในสายตาของผู้อื่น บางทีเขาอาจจะเป็นบุรุษคนหนึ่งที่ไม่กลับบ้านนานถึงแปดปี เป็นคุณชายจอมทะเล้นที่อกตัญญู ทว่าคนในตระกูลยังคงรักและเอ็นดูเขามาก ผู้คนต่างบอกกันว่าเพราะเขาเป็นบุตรชายสายตรง เป็นคนที่เกิดมาโชคดี
แต่จะมีผู้ใดบ้างรู้ว่า หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาเกือบตายมาแล้วกี่ครั้ง ตามสืบเรื่องต่างๆ ให้กับตระกูลซูตั้งเท่าใด ลอบทำงานให้ตระกูลซูอย่างลับๆ มากน้อยเพียงใด มิเช่นนั้น เขาที่สร้างปัญหาเช่นนี้ ดื้อรั้นเช่นนี้ จะเป็นคนที่คนในตระกูลให้ความสำคัญเช่นนั้นหรือ!
เขาเพียงไม่อยากอยู่ในเมืองหลวง ไม่อยากเห็นคนชั่วช้าเหล่านั้น ไม่อยากเห็นหน้าพวกคนเสแสร้งก็เท่านั้น
มั่วเทียนฟ่างเป็นคนตรงไปตรงมา ทั้งยังซื่อสัตย์และกล้าหาญ ทหารตระกูลมั่วและตระกูลซูก็ไม่ได้มีปัญหากัน ถึงขั้นกล่าวได้ว่า เพราะมีทหารตระกูลมั่วของมั่วเทียนฟ่าง ทำให้ตระกูลซูของเขาปลอดภัยยิ่งขึ้น
ในชีวิตของเขาซูชี คนที่เขาให้ความเคารพมากที่สุดก็คือวีรบุรุษเยี่ยงมั่วเทียนฟ่าง ดังนั้นตอนที่เขารู้ว่ามีป้ายไม้ดำ รู้ว่าหัวหน้าตระกูลทั้งสองตระกูลยกป้ายไม้ดำให้กับมั่วเทียนฟ่าง เพื่อแสดงความจงรักภักดีและเคารพ จึงเก็บงำเอาไว้ไม่ได้รายงานเรื่องนี้ให้ตระกูลซูรับทราบ
เห็นซูชีพูดเรื่องอื่น มั่วเชียนเสวี่ยทำเสียง ชิ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เล่าต่อสิ เรื่องของเมืองเฮยมู่และเมืองรั่วสุ่ยเป็นเช่นไรกันแน่”
เวลานี้นางเข้าใจแล้ว อย่ามองว่าซูชีบ้าบิ่น แต่หากเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากจะพูด ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่อาจล้วงเรื่องนั้นออกมาได้ เป็นหลักการเดียวกับที่นางไม่ยอมรับกับซูชีว่านางมีป้ายไม้ดำ
ป่าไผ่ ลานฝึกยุทธ์ เสียงพิณ เสียงขลุ่ย บุรุษรูปหล่อและหญิงงาม รั้วไม้ มองดูแล้วช่างผ่อนคลายยิ่งนัก ช่างเป็นภาพที่งดงามชวนฝัน
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยก้มหน้าลง สายลมแผ่วเบาพัดเส้นผมของนาง ซูชีอยากจะทัดเส้นผมของนางขึ้นโดยไม่อาจหักห้ามใจได้
มั่วเหนียงนั่งดีดพิณอยู่ทางด้านนั้น ด้วยจิตใจที่สงบสุข ทางด้านด้านสืออู่ที่เป่าขลุ่ยอยู่ทางด้านนั้น เป่าขลุ่ยจนแทบจะมีควันลอยออกมาจากคอของนางแล้ว
สืออู่จับจ้องไปที่ซูชีด้วยความขุ่นเคือง คุณหนูมีกูเหยียแล้ว บุรุษคนนี้โผล่มาจากที่ใด แค่เพียงเคยส่งคุณหนูหนึ่งครั้งหนึ่งคราเท่านั้นไม่ใช่หรือ อีกเรื่องนี้ แม้คุณหนูจะไม่เอากูเหยีย แต่ก็ยังมีคุณชายเฉินไม่ใช่หรือ
ซูชีสัมผัสไวยิ่งนัก เขาสัมผัสถึงแววตาที่ไม่เป็นมิตร มือที่ยกขึ้นจึงหยุดลงกลางอากาศ แล้วยื่นมือไปวางบนชั้นวางอาวุธ เมื่อหันกลับไปมอง เขาเห็นสาวใช้เป่าขลุ่ยคนนั้น มองมาที่เขาราวกับมีความแค้นเคืองต่อกัน ท่วงทำนองที่เป่าบรรเลงก็รวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่เป็นจังหวะ ซูชีหลุดหัวเราะทันที
ดวงตาทั้งสองหรี่เป็นเส้นตรง พูดหยอกล้อ “เชียนเสวี่ย สาวใช้ของเจ้าช่างน่าสนใจยิ่งนัก” หันกลับมา เห็นมั่วเชียนเสวี่ยมองค้อนมาที่เขา พูดด้วยความดูแคลน “เช่นนั้นหรือ ให้นางกลับไป…ปรนนิบัติรับใช้เจ้าดีหรือไม่”
ปรนนิบัติรับใช้เนี่ยนะ! เห็นชัดว่าสายตาของสาวรับใช้คนนี้ หมายจะหยิบกระบี่ขึ้นมาฟาดฟันเขา! ซูชีหนาวสั่น รีบส่ายหน้า กว่าจะดึงสติกลับมาได้
เขาพูดต่อ “บิดาของเจ้าไม่ได้กลับเข้าเมืองมานานกว่าห้าปี ท่านทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับเมืองเฮยมู่และเมืองรั่วสุ่ย อีกทั้งหลายปีมานี้ท่านกั๋วกงก็ได้กวาดล้างพวกโจรไปมาก ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นมากมายต่างพากันมอบตนอยู่ใต้อำนาจ ถูกบิดาของเจ้าทำให้สวามิภักดิ์ต่อทั้งสองเมือง เวลานี้เกรงว่าในเมืองเฮยมู่และเมืองรั่วสุ่ยมีกองกำลังทหารไม่น้อยกว่าสองแสนนาย ภูมิทัศน์ทางทิศตะวันตกโดยมากเป็นทะเลทราย มีโจรทะเลทรายออกอาละวาดจำนวนมาก เต็มไปด้วยทรายสีเหลืองทอง ทว่า หลังจากบิดาของเจ้าไป ท่านได้แจกจ่ายเสบียงอาหาร ให้เมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ… สุดท้าย แม้แต่โจรทะเลทรายก็ยอมแพ้ บิดาของเจ้าไม่รังเกียจชาติกำเนิดของพวกโจร รับพวกเขามาเป็นทหาร แบ่งคนพวกนี้เป็นสองกองกำลัง จัดสรรให้ประจำอยู่ในเมืองเฮยมู่และเมืองรั่วสุ่ย แม่ทัพกองกำลังหนึ่งคือฮูเหยียนเจ๋อ แม่ทัพอีกกองกำลังคือแม่ทัพเกาเหอซวี่ ทั้งสองล้วนมีชาติกำเนิดเป็นโจร แม้ตอนแรกผู้คนจะเรียกว่าท่านแม่ทัพ แต่ความเป็นจริงมีทหารอยู่ใต้อำนาจเพียงพันกว่านายเท่านั้น…ทว่าเวลานี้ พวกเขามีทหารอยู่ใต้อำนาจคนละหนึ่งแสนกว่านาย นอกจากคำสั่งของบิดาเจ้าแล้ว แม้กระทั่งรับสั่งของฮ่องเต้ก็ไม่ฟัง หากฮ่องเต้ทำให้พวกเขาโมโห มีความเป็นไปได้ว่าทั้งสองอาจจะนำกองกำลังทหารคนละแสนกว่านาย กลับไปเป็นโจรอีกครั้งก็ย่อมได้”
โจรสองแสนกว่านาย? เพียงคิดถึงภาพเหตุการณ์นั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้ฮ่องเต้สำลัก
ซูชีเพียงคำนวณคร่าวๆ ก็มีกองกำลังทหารสี่ห้าแสนนายแล้ว ไม่แปลกที่ฮ่องเต้อยากจะครอบครอง
พูดถึงเรื่องราวของมั่วกั๋วกง เพียงนึกว่าวีรบุรุษมีจุดจบเช่นนี้ ชั่วขณะหนึ่งความเศร้าโศกและขุ่นเคืองก่อตัวขึ้นในใจของนาง คว้าดาบออกมาจากชั้นวางอาวุธ กวัดแกว่งดาบฟาดฟัน กระแสลมแผ่ซ่านไปทั่ว “หากข้าคิดไม่ผิด ป้ายไม้ดำสามารถทำให้ตระกูลเฮยมู่และตระกูลรั่วสุ่ยเชื่อฟัง เช่นนั้นต้องทำให้แม่ทัพสองคนนั้นที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาสนใจอย่างแน่นอน…”
หมายความว่า เสวี่ยเอ๋อร์พูดถูก ป้ายไม้ดำนี้สามารถเคลื่อยย้ายกองกำลังทหารอย่างน้อยสองแสนนาย แม่ทัพสองคนนั้นที่มีชาติกำเนิดเป็นโจร ยังไม่ต้องสนใจว่าจะเชื่อฟังคำสั่งหรือไม่ แต่กองกำลังทหารสองแสนนาย ไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ
มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในต้นฤดูวัสสานะที่แสงแดดเจิดจ้า นางเหมือนจะได้กลิ่นความชื้นในอากาศ ซ่อนพายุลูกใหญ่ที่ยังไม่กระหน่ำลงมา
ความนิ่งสงบในเวลานี้ เป็นเพียงความนิ่งสงบชั่วคราวก่อนที่พายุลูกใหญ่จะถาโถมเท่านั้น…
วันนี้ เป็นวันที่มั่วเชียนเสวี่ยถูกกักบริเวณอยู่ในจวนกั๋วกงวันที่เจ็ด
พรุ่งนี้ ท่านหญิงซูซูเชิญไปงานเลี้ยงดอกท้อ
หลังจากซูชีมาในวันนั้น เขาก็งานยุ่งมาโดยตลอด ในตอนหลังเขาหาเวลาว่างมาสองครั้ง สอนวิชากระบี่ให้นาง เพียงแต่ทั้งสองครั้งล้วนมาไม่นาน ยังไม่ทันให้คำแนะนำกับนาง ก็ถูกอาจ้าวเร่งให้กลับไป