บทที่ 238 ชิวเฟิงจู้
บทที่ 238 ชิวเฟิงจู้
หลังฟังเรื่องราวมากมายจบ ชิวเฟิงจู้เคาะโต๊ะอย่างแผ่วเบาด้วยมือเรียวของนางพลางหลุบสายตาลงต่ำ
เรื่องแค่นี้… ย่อมไม่อาจทำลายชิวชิงหลีได้
เรื่องของลู่หยวน นางเคยได้ยินมามากมาย แม้เขาจะเป็นปีศาจร้ายในคราบมนุษย์ แต่ภูมิหลังตระกูลของเขาโดดเด่น การมาอยู่ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ของชายผู้นี้ได้สร้างความโกลาหลยิ่งนัก อุบายร้อยเล่ห์มารยามีแววเป็นจ้าวยุทธจักรในอนาคต
หากเรื่องนี้ถูกรายงานกลับไป ไม่เพียงบรรพชนจะไม่กล่าวโทษชิวชิงหลี แต่อาจริเริ่มคิดการใหญ่ ส่งคนไปติดต่อกับตระกูลลู่ในแดนเหนือเพื่อเจรจาการหมั้นหมายระหว่างทั้งสอง
ชิวเฟิงจู้มาในยามนี้ เพื่ออยากหาหลักฐานที่สามารถโค่นชิวชิงหลีได้ในคราวเดียว!
“หนึ่งเดือนก่อน ไม่ใช่ว่าชิวชิงหลีลักลอบกระทำบางอย่างหรือ? นางขอให้พวกเจ้าไปตรวจสอบอะไรบ้าง?”
สตรีในชุดเขียวเอ่ยถาม
แม่เฒ่าชิวหรันได้ยินคำถามนี้ และกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่กลับชะงักงันไป จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้คุณหนูขอให้นางทำบางอย่าง แต่อีกฝ่ายเน้นย้ำเรื่องนี้หลายครั้งว่าห้ามพูดอะไรออกไปเด็ดขาด!
ท่าทีลังเลของชิวหรันไม่อาจรอดพ้นสายตาของพวกชิวเฟิงจู้ไปได้
สตรีชุดเขียวคลี่รอยยิ้มออกมา “ดูเหมือนจะมีสินะ ในเมื่อมีเจ้าก็จงพูดออกมา ต่อให้ไม่อยากพูด ข้าก็จะทำให้พูดอยู่ดี!”
ชิวเฟิงจู้ลุกขึ้น ก่อนเดินไปที่ตำหนักด้านหลัง “ภายในครึ่งชั่วยาม ข้าต้องได้ฟังนางพูด”
หลายคนลุกขึ้นแล้วเดินไปหาชิวหรัน พวกเขาชักอาวุธออกมาพร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก
…
ส่วนด้านราชวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม เรือเหาะเคลื่อนลงใต้หมู่เมฆ ก่อนจะลงจอดบนลานกว้าง
มู่พ่านซานชี้ไปยังหอคอยสูงที่อยู่ไม่ไกล “นี่คือหอคอยสวรรค์ประทาน สถานที่เก็บงำวาสนามากมาย ไปซะ!”
สายตาของทุกคนร้อนผ่าว เพียงหนึ่งย่างก้าว พวกเขาก็กลายเป็นแสงสว่างสีแดงพุ่งทะยานไปยังหอคอยสูงที่อยู่ไม่ไกล
วิ้ง!
หอคอยคล้ายกับสัมผัสบางอย่างได้ เมื่อหลายคนเข้าใกล้ ค่ายกลมิติรอบข้างพลันลอยขึ้นมาทันที
หลายคนแยกย้ายกันทะลวงผ่านค่ายกล ไม่นานร่างของพวกเขาก็หายไปจากสายตาจนไร้วี่แวว
“บุตรศักดิ์สิทธิ์!”
ยามนี้มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ลู่หยวนหันไปหาต้นเสียง จึงพบว่าฮ่วนซิงไป๋กำลังตรงมาพร้อมกระบี่ในมือ
ฮ่วนซิงไป๋เข้ามายืนประชิดตัว เอ่ยเสียงเคร่งขรึมกับชายหนุ่มว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ไปกันเถอะ!”
ยามนี้ชิวชิงหลีมาถึงที่นี่ นางคารวะว่าที่น้องเขยของจักรพรรดินีก่อน แล้วชี้ไปยังค่ายกลที่หมุนอยู่นอกหอคอย “บุตรศักดิ์สิทธิ์ เขตแดนลับอยู่ทางนี้”
ฮ่วนซิงไป๋ได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันทีว่านางหมายความว่าอย่างไร
ชิวชิงหลีผู้นี้ถึงกับเชื้อเชิญลู่หยวนให้เข้าค่ายกลไปกับนางงั้นหรือ?
เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าชวนบุตรศักดิ์สิทธิ์ก่อน?!
ใครเร็วใครได้ รู้จักคำนี้บ้างหรือไม่?!
หรือชิวชิงหลีคิดจะพึ่งสถานะตระกูลชิวแห่งวิถีคุณธรรม เพื่อทำตามใจชอบงั้นหรือ?!
ฮ่วนซิงไป๋เดือดดาล เขากำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่ลู่หยวนส่งยันต์มาให้แล้วเอ่ยว่า “ข้าขอตัวไปกับนางก่อน ส่วนเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”
“ไม่ต้องห่วง ใช้เวลาไม่นานหรอก”
สิ้นคำชายหนุ่ม ฮ่วนซิงไป๋จึงพาลอารมณ์เสียขณะรับยันต์มาด้วยความไม่พอใจ “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ช่วยเร่งมือด้วย!”
ร่างของลู่หยวนและชิวชิงหลีวูบไหว จากนั้นจึงปรากฏอยู่นอกค่ายกล
บุตรศักดิ์สิทธิ์ยื่นมือขวาออกไป เปลวเพลิงที่หลอมรวมจากเพลิงม่วงครามกับเพลิงเหมันต์สงัดปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขา
วิ้ง!
เมื่อเปลวเพลิงในมือของชายหนุ่มสัมผัสค่ายกล มันหมุนไปมา อักขระปรากฏขึ้นพร้อมส่องแสงสว่างวูบไหว แล้วดึงดูดพวกเขาทั้งสองเข้าไปข้างในค่ายกล
ฮ่วนซิงไป๋ทนยืนอยู่กับที่อยู่นาน เขาจึงหันไปสนทนากับมู่พ่านซาน ก่อนจะเลือกเข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้วเข้าไป
บนเรือเหาะ ฉู่เชิ่งยังคงยืนอยู่กับที่ เขาไม่คิดจะเข้าไปในหอคอยแต่อย่างใด
เสียงของท่านหู่ดังขึ้น “เจ้าหนู เหตุใดไม่ลองไปแสวงหาวาสนา ก่อนไปเข้าพบจักรพรรดินีดูเล่า?”
“ไม่ดีกว่า วาสนาอะไรกัน ไม่มีอะไรเทียบกับจักรพรรดินีได้!”
ฉู่เชิ่งเดินไปหาองครักษ์ เขายืนนิ่งและทำความเคารพ “ข้าทราบมาว่าท่านจักรพรรดินีทรงประชวรด้วยโรคประจำตัว ข้ามีวิธีช่วยบรรเทาอาการให้ท่าน”
มู่พ่านซานหันมองด้านข้าง สายตาของเขาเรียบเฉยจนผิดปกติ เพียงถามอย่างแผ่วเบาว่า “วิธีที่ว่าคืออะไร?”
ฉู่เชิ่งยื่นมือออกไป เพลิงเหมันต์สงัดปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขา เปลวเพลิงเย็นเยือกน่าหลงใหลแผดเผาทีละน้อย
“ท่านจักรพรรดินีคือลูกหลานของสายเลือดวิหคเพลิง โรคเก่าของท่านย่อมเป็นข้อบกพร่องที่มีมาแต่กำเนิด จึงทำให้สูญเสียเพลิงสวรรค์ไปจนเส้นชีพจรบอบช้ำ ผู้อาวุโส ข้าพูดถูกหรือไม่?”
สายตาของฉู่เชิ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขามุ่งมั่นที่จะเอาชนะใจจักรพรรดินี!
มู่พ่านซานมีสีหน้าราบเรียบยามมองชายตรงหน้า
อีกฝ่ายเอ่ยต่อว่า “เพลิงเหมันต์สงัดนี้ เป็นเพลิงเย็นเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ท่ามกลางเพลิงวิญญาณทั้งหลาย”
“หากนำเปลวเพลิงนี้เข้าสู่ร่างของท่านจักรพรรดินี ไม่เพียงชดเชยเพลิงสวรรค์ที่ขาดหายไปเท่านั้น แต่ยังช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากเปลวเพลิงได้ แม้มันจะไม่สามารถรักษาโรคเก่าของท่านได้ แต่ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้”
จักรพรรดินีคือสายเลือดวิหคเพลิง นางเกิดมาพร้อมกับเพลิงสวรรค์ …ราชันแห่งเพลิงวิญญาณทั้งมวล
เพลิงสวรรค์เปรียบเสมือนเจ้านาย เพลิงวิญญาณเป็นดั่งข้ารับใช้ ทั้งสองนับว่าคนละชั้น
ด้วยเหตุนี้ เพราะการสูญเสียเพลิงสวรรค์ของจักรพรรดินีจึงส่งผลให้นางไม่สามารถดูดกลืนเพลิงวิญญาณด้วยตนเองเพื่อชดเชยได้
หากต้องการชดเชยในสิ่งที่ขาดไป ต้องใช้ผู้ครอบครองเพลิงวิญญาณ เพื่อถ่ายเทเพลิงวิญญาณเข้าสู่กายจึงจะสามารถช่วยบรรเทาการสูญเสียของจักรพรรดินีได้ชั่วคราว
ฉู่เชิ่งเข้าใจจุดนี้ดี เพลิงเหมันต์สงัดที่เขาใช้นั้น หากเทียบกันในหมู่เพลิงวิญญาณแล้ว มันเหมาะจะบรรเทาความเจ็บปวดของจักรพรรดินีและชดเชยส่วนที่สูญเสียไปได้มากที่สุด!
บุตรแห่งโชคชะตาฉู่มองตรงไปที่มู่พ่านซาน เขาคาดเดาว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงแน่นอน
ถึงอย่างไรนับตั้งแต่วันที่จักรพรรดินีถือกำเนิดขึ้นมา ราชวังจักรพรรดิแดนมัชฌิมก็ได้ส่งคนไปทั่วหล้าเพื่อตามหาผู้ครอบครองเพลิงวิญญาณ
ขอเพียงฉู่เชิ่งชดเชยการสูญเสียให้นาง เขาก็จะกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติของราชวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม
ถึงตอนนั้น ทั้งทรัพยากรและวาสนาก็จะตกอยู่ในกำมือ!
“ไม่จำเป็น…”
มู่พ่านซานเอ่ยอย่างแผ่วเบา
รอยยิ้มของฉู่เชิ่งเมื่อครู่พลันแข็งค้าง “ไม่จำเป็นหรือ? ทำไมกัน?!”
องครักษ์ยืนเอามือไพล่หลัง สายตามองตรงไปที่หอคอย “เพลิงเหมันต์สงัดทำได้เพียงชดเชยการสูญเสียของท่านจักรพรรดินีได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่อาจช่วยรักษาได้”
ฉู่เชิ่งเย้ยหยันว่า “ท่านจักรพรรดินีเสียเพลิงสวรรค์โดยกำเนิด ต่อให้ควานหาวิธีรักษาทั่วทั้งแผ่นดินหยวนหงก็ไม่มีทางเป็นไปได้! เว้นเสียจากสมุนไพรวิญญาณสองสามชนิดที่สูญพันธุ์ไปนานแล้วกับมังกรเจินหลง”
คำพูดของเขาพลันหยุดชะงัก
ใช่แล้ว!
ขอเพียงมีมังกรเจินหลง ข้อบกพร่องโดยกำเนิดของสายเลือดวิหคเพลิงก็จะได้รับการคลี่คลาย!
“เจ้า…”
ฉู่เชิ่งเพิ่งรู้สึกว่าแผนที่วางไว้พลันพังทลาย
มังกรเจินหลงเป็นของคู่กายลู่หยวน ขอเพียงเจ้านั่นตกปากรับคำ เพลิงเหมันต์สงัดของฉู่เชิ่งยังเหลือค่าอะไรอีก?!
ใบหน้าของบุตรแห่งโชคชะตาฉู่ราวกับถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสลับขาว เขาพลันรู้สึกว่าตนเองไม่ต่างจากตัวตลก
ด้านหนึ่ง มู่พ่านซานเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “ฉู่เชิ่ง โอกาสการเข้าหอคอยสวรรค์ประทานนั้นเกินกว่าที่หลายคนจะเอื้อมถึงได้ วาสนามากมายขนาดนั้นน่าจะมากเกินพอสำหรับเจ้าแล้ว หากละโมบในสิ่งที่ไม่สมควร ความตายจะคืบคลานเข้ามา เรื่องธรรมดาเช่นนั้นเจ้าเข้าใจหรือไม่?”
คำพูดของมู่พ่านซาน ประหนึ่งหอกยาวหมื่นวิถีที่แทงเข้าใส่ผู้ฟัง ทำให้ร่างของคนตรงหน้าถูกทะลวงในบัดดล
ฉู่เชิ่งพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
“ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้วก็ไสหัวไปซะ!”
ตูม!
สิ้นประโยคของมู่พ่านซาน คลื่นอากาศรอบข้างพังทลายทันที
พรวด!
ฉู่เชิ่งเจ็บปวดหัวใจ ลมปราณและโลหิตเคลื่อนมาตามช่องท้อง จนเลือดสีแดงทะลักออกจากปากอย่างต่อเนื่อง