ตอนที่ 228 น่าตกใจ แต่ไร้อันตราย

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 228 น่าตกใจ แต่ไร้อันตราย

เมื่อออกจากสวนกลับมาถึงเรือนของตน ท้องฟ้าก็เริ่มมืดสลัว โคมไฟถูกจุดขึ้นมา

บ่าวรับใช้เดินเข้ามาจัดโต๊ะอาหาร เซ่าหลิ่วเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างโต๊ะ กินอาหารอย่างไม่เร่งร้อน ตอนนี้นางยังไม่รีบร้อนจะอ่านเนื้อความที่อยู่บนใบไม้ ไม่กล้าเผยพิรุธใดๆ

แววตานางฉายแววกังวลนิดๆ จิตใจก็ว้าวุ่นเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าไม่ใช่เพราะเรื่องชายคนรัก หากแต่เป็นเรื่องในบ้านที่ช่วงนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายเหลือเกิน แม่รองกับพี่ชายอีกสองคนถูกคนวางยาพิษสังหารในจวนผู้ว่าการมณฑล พี่ใหญ่ก็ถูกส่งตัวเข้าคุกใต้ดิน

หลังเกิดเรื่อง ท่านพ่อที่อยู่สภาพเศร้าซึมเคยมาหานาง บ่าวไพร่ไม่กล้าแจ้งให้นางทราบ เป็นเซ่าเติงอวิ๋นที่มาบอกนางด้วยตัวเอง

แม้ว่าเซ่าเติงอวิ๋นจะไม่ได้บอกสาเหตุที่แน่ชัด แต่นางรู้ดีว่าพี่ใหญ่เป็นอริกับพวกอนุหร่วนแม่ลูกเสมอมา พี่ใหญ่ถูกจับกุมในเวลานี้ ในใจนางพอจะคาดเดาได้แล้ว แต่ก็ไม่กล้าครุ่นคิดลึกลงไป คิดๆ ไปแล้วก็รู้สึกหวาดกลัว

ทางด้านคุกใต้ดิน นางคิดจะไปหาพี่ใหญ่ แต่นางไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป เซ่าซานเสิ่งที่เป็นพ่อบ้านในจวนของพี่ใหญ่บอกว่าพี่ใหญ่ไม่อยากพบนาง บอกเพียงว่าสบายดี ให้นางดูแลตัวเองให้ดี ไม่จำเป็นต้องห่วงพี่ใหญ่

หลังกินอาหารเสร็จ นางให้คนจุดโคมในห้องหนังสือ นั่งอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพัง หยิบใบไม้ที่สอดอยู่ในหนังสือออกมาอ่านดู

เดิมทีเวลานี้ของทุกวันจะเป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุด ทว่าครั้งนี้หลังจากอ่านเนื้อหาบนใบไม้ เซ่าหลิ่วเอ๋อร์กลับนั่งไม่ติด ลุกพรวดขึ้นยืนทันที เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องหนังสืออย่างกระวนกระวาย

ถานเย่าเสี่ยนบอกว่าเขาจะไปแล้ว ไปจากมณฑลเป่ยโจว อยากพบนางเป็นครั้งสุดท้าย ทำอย่างไรดี? จะให้นางหักใจลงได้อย่างไร!

นางอยากจะทำทุกอย่างเพื่อออกจากบ้านไปพบเขา ทว่าในบ้านมีคนจับตามองนางอย่างแน่นหนา ไม่มีทางปล่อยให้นางออกไปได้เลย บ่าวไพร่เจ็ดแปดคนที่คอยรับใช้นางล้วนเป็นคนที่คอยจับตามองนาง เป็นคนที่พี่ใหญ่ส่งมาทั้งสิ้น นางไม่มีวิธีหลบออกไปเลย

ฝืนหนีออกไปอย่างนั้นหรือ? หนีออกไปไม่ได้อยู่ดี ผู้คุ้มกันในจวนหาใช่ของตกแต่งไม่!

ยิ่งไปกว่านั้นคือในช่วงเวลานี้ นางเองก็ไม่ควรก่อเรื่องวุ่นวาย

ไปขอร้องพี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ? พี่ใหญ่ที่อยู่ในคุกไม่ยอมพบตัวเอง ไม่รู้ว่าเพราะกลัวนางถามถึงสาเหตุการตายของสามแม่ลูกหรือเปล่า

เมื่อนึกถึงสาเหตุการตายของพวกแม่รอง เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่เดินกลับไปกลับมาอยู่ริมหน้าต่างชะงักไปเล็กน้อย คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้

……

เช้าวันต่อมา แสงตะวันส่องเข้ามาในลานเรือน ถานเย่าเสี่ยนที่ไปอ่านหนังสือข้างนอกแต่เช้าตรู่กลับมาแล้ว

เขาปิดประตู รีบเดินเข้าไปด้านใน ลู่เซิ่งจงรอคอยเขาอยู่ในโถงรับแขกตั้งแต่เช้าแล้ว พอเห็นหน้าก็ถามทันที “เป็นอย่างไรบ้าง?”

ถานเย่าเสี่ยนพยักหน้า นั่งลงข้างโต๊ะพลางหยิบใบไม้ที่สอดอยู่ในหน้าหนังสือออกมา เอ่ยอย่างยินดีว่า “ตอบกลับมาแล้ว”

ลู่เซิ่งจงเอ่ยว่า “ดี! รีบอ่านดูเถอะว่าเป็นอย่างไร”

ถานเย่าเสี่ยนถือใบไม้อ่านถอดความเนื้อหาที่อยู่บนใบไม้อย่างละเอียด ข้ามคำหวานแสดงความคะนึงหาเหล่านั้นไม่ให้ลู่เซิ่งจงรู้ “หลิ่วเอ๋อร์ถามว่าเหตุใดต้องจากไป นางบอกว่านางออกมาไม่ได้ สาวใช้ประจำตัวล้วนเป็นคนที่พี่ใหญ่ของนางส่งมาจับตามองนาง…” เนื้อหาส่วนหลังกลับทำให้อึกอักลังเล

ลู่เซิ่งจงถามด้วยความแปลกใจ “เท่านี้หรือ? จบแล้วหรือ?”

ถานเย่าเสี่ยนส่ายหน้า อึกอักลังเล

ลู่เซิ่งจงร้อนใจ “ถานซยง หรือคิดว่าข้าไม่น่าไว้ใจ?”

เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ถานเย่าเสี่ยนโบกมือ เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “หลิ่วเอ๋อร์บอกว่าขอเพียงจัดการบ่าวไพร่รอบตัวได้ นางก็มีวิธีแอบหนีออกมาจากจวนผู้ว่าการมณฑลได้ นางให้ข้า..ให้ข้าหายานอนหลับมาให้นาง”

“…..” ลู่เซิ่งจงพูดไม่ออก จากนั้นหัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น พบว่าคุณหนูเซ่าคนนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะวางยาบ่าวไพร่ของตน ดูเหมือนแผนการของตนจะได้ผล คำขู่ที่ว่าขอพบหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนไปจากมณฑลเป่ยโจวทำให้คุณหนูใหญ่คนนั้นร้อนใจแล้ว กระทั่งวิธีการเช่นนี้ก็คิดออกมาได้

หากว่าคุณหนูเซ่าคนนั้นมีวิธีหนีออกมาเองจริงๆ เช่นนั้นก็นับเป็นการลดภาระตนไปไม่น้อย เขาเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์จะให้ความร่วมมือขนาดนี้ กระทั่งวิธีการนางก็คิดมาเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนการที่ตนลองเข้าหาถานเย่าเสี่ยนจะบังเอิญมาถูกทางเข้าเสียแล้ว

เขาตบไหล่ถานเย่าเสี่ยน ถอนใจพลางเอ่ยว่า “ถานซยงโชคดีจริงๆ มองออกเลยว่าคุณหนูเซ่าชอบท่านจริงๆ”

ถานเย่าเสี่ยนทั้งรู้สึกตื้นตัน แล้วก็รู้สึกหวาดวิตก “ยานอนหลับ นี่…ข้าจะหาสิ่งนี้ได้จากที่ไหน?”

ลู่เซิ่งจงตบหน้าอกตนเอง เอ่ยว่า “ถานซยงเป็นสุภาพชน ไหนเลยจะทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ได้ เรื่องน่ารังเกียจแบบนี้ให้ข้าไปจัดการเถอะ”

ถานเย่าเสี่ยนถามด้วยความกังวล “แบบ…แบบนี้จะดีเหรอ?”

ลู่เซิ่งจงถาม “หรือว่าถานซยงไม่อยากพบหน้าคุณหนูเซ่า? คุณหนูเซ่ารักมั่นต่อท่านเสมอมา เพื่อท่านแล้วถึงกับยอมทำทุกอย่างเช่นนี้ ท่านคิดจะถ่วงเวลานางไปถึงเมื่อไร? หากท่านปฏิเสธ ท่านจะให้นางรู้สึกอย่างไร? เหอะๆ ท่านคิดว่าตัวเองเป็นสุภาพชน อย่างนั้นคุณหนูเซ่าเป็นคนถ่อยหรือ?”

“ไม่ๆๆ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!” ถานเย่าเสี่ยนรีบโบกมือปฏิเสธ บัณฑิตที่อ่อนต่อโลกอย่างเขา ไหนเลยจะใช่คู่ต่อสู้ของลู่เซิ่งจง แค่คำพูดไม่กี่ประโยคก็บีบเขาให้จนมุมได้แล้ว เขารวบรวมความกล้า กัดฟันเอ่ยถามออกไป “ต่อให้หลี่ซยงหามาได้ แล้วจะส่งเข้าไปได้อย่างไร?”

ลู่เซิ่งจงเอ่ยด้วยรอยยิ้มประหลาด “ในเมื่อมีช่องทางติดต่อแล้ว ย่อมส่งเข้าไปได้ เรื่องนี้ก็ยกให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ”

ถานเย่าเสี่ยนพลันมีสีหน้าตื้นตันขึ้นมาอีกครั้ง “หลี่ซยงดีต่อข้าเช่นนี้ แซ่ถานไร้ซึ่งสิ่งใดจะตอบแทนจริงๆ!”

ลู่เซิ่งจงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มิตรภาพลูกผู้ชายบริสุทธิ์ดั่งสายน้ำ มาพูดเรื่องตอบแทนไม่ตอบแทนอะไรกัน?ข้าชื่นชมในนิสัยของถานซยง ข้าเองก็ยินดีช่วยเหลือคนให้สมปรารถนา เพียงแต่ในอนาคตถานซยงอย่าได้ลืมพ่อสื่ออย่างข้าก็แล้วกัน สุรามงคลในงานวิวาห์ของท่านกับคุณหนูเซ่าต้องมีส่วนของข้าด้วยนะ”

ถานเย่าเสี่ยนเขินอาย ถูกคำพูดอีกฝ่ายทำให้เกิดความเพ้อฝันขึ้นมา วาดหวังว่าจะได้ครองคู่ใช้ชีวิตร่วมกับเซ่าหลิ่วเอ๋อร์

“เอาล่ะถานซยง เรื่องบางอย่างยังคงต้องถามคุณหนูเซ่าให้ชัดเจน ไม่อาจชะล่าใจได้…” ลู่เซิ่งจงเอ่ยเสี้ยมสอนอยู่ต่อ

เขาทราบชัดเจนดี ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็มีโอกาสใช้วิธีการแบบนี้เพื่อหนีออกจากจวนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากพลาดไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมีโอกาสที่สองอีก เขากังวลเล็กน้อยว่าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์จะทำสำเร็จหรือไม่ จึงตัดสินใจที่จะสอบถามสถานการณ์ทางนั้นให้ชัดเจน เพื่อจะช่วยวางแผนให้เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ได้อย่างละเอียด

หลังจากบอกถานเย่าเสี่ยนไปแล้วว่าควรถามอะไร ลู่เซิ่งจงที่บอกว่าจะช่วยเหลือก็ออกจากบ้านสกุลถานไป ไปช่วยเตรียมของที่จำเป็นต้องใช้ให้เซ่าหลิ่วเอ๋อร์

ทั้งนอกจวนและในจวนทำงานประสานกัน หลังจากติดต่อกันอยู่สองวันจนทราบสถานการณ์ชัดเจนแล้ว ลู่เซิ่งจงก็นำเอาแผ่นเงินจำนวนหนึ่งมาม้วนเป็นเหมือนเข็มขนาดเล็ก ด้านในบรรจุสิ่งที่เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ต้องใช้ไว้ จากนั้นสอดเข้าไปในก้านใบไม้ที่ถานเย่าเสี่ยนจัดเตรียมเอาไว้

ครั้งนี้เตรียมใบไม้เอาไว้ไม่น้อย มิเช่นนั้นฤทธิ์ยาจะไม่เพียงพอ และครั้งนี้เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็ต้องเก็บใบไม้ไม่น้อยเลยเช่นกัน

…..

ภายในห้องหนังสือ ใต้แสงเทียน เซ่าหลิ่วเอ๋อร์คลี่แผ่นเงินออกทีละอันๆ เทผงที่อยู่ด้านในออกมา

เก็บใบไม้มาสามวันแล้ว สะสมได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็รวบรวมผงละเอียดเป็นห่อเล็กๆ ได้ห่อหนึ่ง

เมื่อออกจากห้องหนังสือ นางเรียกสาวใช้มาหา บอกว่าพรุ่งนี้เตรียมให้คนออกไปซื้ออะไรทำนองนั้น

สาวใช้ถามว่าต้องการซื้อสิ่งใด เซ่าหลิ่วเอ๋อร์บอกว่ายังไม่รู้ ให้สาวใช้ไปทำเรื่องขอป้ายผ่านเข้าออกจากพ่อบ้านก่อน เอาไว้พรุ่งนี้พอคิดได้แล้วจะได้ออกไปซื้อได้ทันที

จวนผู้ว่าการมณฑลมีกฎระเบียบ ข้ารับใช้จะเข้าออกตามอำเภอใจไม่ได้ หากจะออกไปต้องทำเรื่องขออนุญาตก่อน

……

ช่วงเช้าวันต่อมา เซ่าหลิ่วเอ๋อร์สั่งให้คนตุ๋นน้ำแกงหม้อหนึ่งขึ้นมาเป็นการเฉพาะ ต่อมาก็รังเกียจว่าทำมาเยอะเกินไป อ้างว่าพี่ชายไม่ชอบให้กินทิ้งกินขว้าง จึงเรียกบ่าวไพร่ทั้งหมดที่คอยรับใช้ข้างกายมากินด้วยกัน

ไม่นานนัก พวกบ่าวไพร่ก็ล้มระเนระนาดอยู่ในห้องโถง

นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าภัยนอกป้องกันได้ ภัยในป้องกันยาก!

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์รีบปลอมตัวแต่งกายเป็นบ่าวรับใช้อย่างรวดเร็ว ปลอมเป็นบุรุษ พอกสีดำลงบนใบหน้าเล็กน้อย ปกปิดความอ่อนหวานงามละมุนเอาไว้ เดินตรงออกจากเรือนของตน มายังประตูด้านข้างของจวนผู้ว่าการมณฑล แสดงป้ายอนุญาตให้ผ่านเข้าออก

ปกติแล้วข้ารับใช้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าออกประตูใหญ่ ส่วนใหญ่จะใช้ประตูข้างเท่านั้น ตรงประตูก็มีคนตรวจตราเช่นกัน

แม้ว่ารูปลักษณ์ของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์จะดูค่อนข้างแปลกหน้า แต่ในจวนผู้ว่าการมณฑลมีข้ารับใช้อยู่มากมาย ปกติแล้วยามเฝ้าประตูก็จำได้ไม่หมดเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือการผ่านเข้าออกของข้ารับใช้ไม่นับว่าเป็นเรื่องสำคัญนัก ประกอบกับอีกฝ่ายถือป้ายผ่านเข้าออกมาด้วย ยามเผ้าประตูตรวจดูป้ายนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาก็ปล่อยเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ออกไป

หลังจากเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่จิตใจตึงเครียดเดินพ้นไปสองสามช่วงถนนแล้ว ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก นางเองก็ตื่นกลัวอย่างมากเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีอันตรายอะไร

ยังดีที่นางทราบถึงสถานการณ์ภายในจวนผู้ว่าการเป็นอย่างดี จึงรับมือได้ไม่มีปัญหา

เมื่อมาถึงปากทางเข้าตรอกที่นัดหมายกันไว้ รถม้าคันหนึ่งจอดรอนางอยู่ หลังจากตรวจสอบยืนยันแล้ว เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็มุดเข้าไปในรถม้า

รถม้าเคลื่อนตัวออกไปทันที มุ่งหน้าออกจากเมือง

รถม้าจอดลงตรงหน้าประตูกระท่อมที่ดูร่มรื่นหลังหนึ่งนอกเมือง

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์กระโดดลงมาจากรถม้า ผลักประตูรั้วไม้ของกระท่อมให้เปิดออกด้วยความรู้สึกตื่นเต้น เมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดชาวนายืนอยู่ในลานหน้ากระท่อม นางก็จำได้ทันทีว่าเป็นถานเย่าเสี่ยน

ถานเย่าเสี่ยนที่ได้ยินเสียงล้อรถม้าจ้องมองไปที่ประตูหน้าเช่นกัน เมื่อเห็นคนที่แต่งกายเป็นบ่าวรับใช้ผลักประตูเข้ามา เขาก็จำได้เช่นกันว่าเป็นเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ พลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างที่ยากควบคุมตัวเองได้

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์รีบวิ่งเข้าไป ความรู้สึกคะนึงหาที่อัดอั้นมาเป็นเวลานานนำไปสู่การโผเข้าสู่อ้อมอกในเวลานี้

ถานเย่าเสี่ยนเองก็อ้าแขนโอบกอดนางไว้ด้วยความตื่นเต้น

ทั้งสองกอดกันแน่น ราวกับอยากจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวใจแทบขาด

หัวใจเองก็เต้นแรงขึ้นมาในเวลาเดียวกัน โอบกอดกันอย่างเงียบๆ

ที่ผ่านมาเคยแค่จับมือกันเท่านั้น เรื่องที่จะโอบกอดกันเช่นนี้เป็นเรื่องที่ทำได้แค่เพียงคิดอยู่ในใจเท่านั้น ถูกผูกมัดด้วยเรื่องศีลธรรมจรรยา ไม่เคยกล้าข้ามเส้นนั้นไป

นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้โอบกอดบุรุษเช่นนี้ ได้กลิ่นกายจากร่างของชายหนุ่ม เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ค่อนข้างปั่นป่วนฟุ้งซ่าน

ได้โอบกอดร่างอ้อนแอ้นอรชรอยู่ในวงแขน ได้กลิ่นกายสาวจากร่างของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ ถานเย่าเสี่ยนเองก็ปั่นป่วนฟุ้งซ่านเช่นกัน

ในที่สุดเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็เงยหน้าเอ่ยถามเขา “เหตุใดต้องจากไปด้วย?”

นี่คือเหตุผลที่นางยอมทำทุกอย่างเพื่อออกมา

ที่นี่ไม่เหมาะจะพูดคุยกัน ถานเย่าเสี่ยนจึงจูงนางเข้าไปด้านใน เข้าไปในบ้านแล้วปิดประตู

“เหตุใดต้องจากไปด้วย?” หลังเข้ามาในบ้าน เซ่าหลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามอีกครั้ง

ถานเย่าเสี่ยนอึกอักลังเล ส่ายหน้าอย่างขมขื่นพลางเอ่ยว่า “หลิ่วเอ๋อร์ ข้าเองก็ไม่อยากจากเจ้าไป แต่ข้าหมดหนทางจะตั้งหลักในมหานครเป่ยโจวแล้วจริงๆ โรงเรียนไล่ข้าออก ไม่มีผู้ใดในเมืองกล้ารับข้าเข้าทำงาน ฐานะทางบ้านข้าเจ้าเองก็รู้ดี…”

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์เบิกตากว้าง เอ่ยถาม “เป็นเพราะบ้านข้าใช่หรือไม่?”

ถานเย่าเสี่ยนก้มหน้าเงียบงัน

เดิมทีตามที่ลู่เซิ่งจงเอ่ยกำชับมา คำพูดนี้ไม่ควรเอ่ยออกมาในเวลานี้

เจตนาของลู่เซิ่งจงคือหุงข้าวสารให้เป็นข้าวสุกเสียก่อน จากนั้นค่อยเล่าถึงสภาพความลำบาก แบบนั้นจะมีโอกาสพาเซ่าหลิ่วเอ๋อร์หนีไปด้วยกันได้มากกว่า

สำหรับลู่เซิ่งจงแล้ว หากว่าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ไม่ยอมให้ความร่วมมือล่ะก็ การจะพาคนตัวเป็นๆ คนหนึ่งออกจากมณฑลเป่ยโจวนับว่าเป็นเรื่องยากเย็น ทันทีที่ตระกูลเซ่าพบว่าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์หายตัวไป พวกเขาจะต้องออกตามหาทั่วทุกสารทิศแน่ จะให้เขาอุ้มเซ่าหลิ่วเอ๋อร์หรือแบกเซ่าหลิ่วเอ๋อร์หนีไปหรือ? การจับตัวคนคนหนึ่งเอาไว้แล้วพาออกจากมณฑลเป่ยโจวนั้นสะดุดตาเกินไป ยิ่งจะทำให้หลบหนีได้ยากลำบากยิ่งขึ้น เพราะมณฑลเป่ยโจวนั้นเป็นถิ่นของตระกูลเซ่า

เพียงแต่เขาก็เตรียมทางถอยไว้เรียบร้อยแล้ว หากว่าเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ไม่ให้ความร่วมมือ เขาก็จะพาเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ไปซ่อนตัวในสถานที่ลับ รอหนิวโหย่วเต้าส่งคงมารับช่วงต่อ

ทว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ ถานเย่าเสี่ยนที่ได้รับการกำชับมาอย่างชัดเจนกลับไม่อาจกระทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนั้นได้

“เหตุใดท่านไม่บอกข้าตั้งแต่แรก?” ขอบตาเซ่าหลิ่วเอ๋อร์แดงก่ำ ยกสองมือขึ้นกุมใบหน้าของเขาเอาไว้ เอ่ยด้วยสภาพน้ำตาคลอเบ้า “พี่ถาน ขออภัยด้วย เป็นข้าที่ทำร้ายท่านเสียแล้ว”

…………………………………………………….