248 โหมโรงแห่งภัยพิบัติ

“อืม ชุดเหล่านั้นคือ……?”

“ฉันได้ยินมาว่าเราจะมุ่งหน้าเข้าไปในป่า ดังนั้นฉันทำการเตรียมการจำนวนน้อยที่สุด”

“อืม…… แล้วกระเป๋าหลังนั่นล่ะ?”

“ฉันได้ยินมาว่าเราจะมุ่งหน้าเข้าไปในป่าดังนั้นฉันทำการเตรียมการจำนวนน้อยที่สุด”

ผมตอบด้วยประโยคเดียวกันแต่จริงๆแล้วนั่นคือเหตุผลอยู่ดี ดังนั้นมันช่วยไม่ได้

เหมือนเมื่อวานทุกอย่าง ลิเลียมเจอกับเราหน้าบัวดำเพื่อเป็นคนนำทางให้เราต่อไปและสับสนโดยอะไรที่เธอเห็น ทำไม? มันเพราะพวกเราทั้งหมดแต่งกายกันในชุดสำหรับรอดชีวิต รวมไปถึงผ้าคลุมอุณหภูมิคาเมเลี่ยน ผ้าคลุมอุณหภูมิคาร์เมเลี่ยนมีลายเหมือนหกเหลี่ยมที่เปลี่ยนสีเมื่อคนหนึ่งกดสวิตช์ที่อยู่ใต้คอที่ทำให้พวกเขากลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรายล้อม

เมื่อคนนั้นใช้วงานการทำงานนี้ มันจะค่อนข้างยากสำหรับคนอื่นที่จะเห็นคนนั้นถ้าคนนั้นสร้างระยะที่เหมาะสม

“อืม ยังไงซะ ท่านไม่จำเป็นต้องระแวดระวังขนาดนั้นรู้มั้ย……? เพราะทั้งหมดเราจะมีคนนำทางพื้นที่เมื่อเราไปถึงที่นั่น”

“แน่นอนว่าฉันก็หวังอย่างนั้น”

ผมแน่ใจว่าผมแสดงออกถึงสีหน้าของชายผู้ทำการตรัสรู้อยู่ตอนนี้ การกระทำของผมอาจดูเหมือนแปลกสำหรับคนอื่น แต่ในสายตาของผม นี่แค่เตรียมการสำหรับปัญหารูปแบบใดๆก่อนหน้า จากประสบการณ์ของผมเท่าที่ผ่านมา ถ้าบางอย่างจะเกิดขึ้นถ้าอย่างนั้นพื้นฐานแล้วนี่คือเวลาที่สมบูรณ์แบบ ใช่ ผมเกือบแน่ใจว่าบางอย่างหรืออย่างอื่นจะเกิดขึ้นกับเราระหว่างเราเดินเล่นรอบป่าภายในดินแดนเผ่ากราโด

ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับลายแล้ว

“ได้เลยถ้าอย่างนั้น เราจะต้องจัดหาการขนส่งเพื่อไปดินแดนเผ่ากราโด ดังนั้นได้โปรดตามดิฉันมา ทุกคน”

“ขอบคุณ”

ในท้ายที่สุด เราเริ่มเดินหลังลิเลียมทันที ผู้หยุดเอะอะเกี่ยวกับการแต่งกายของกลุ่มเราปัจจุบันแล้ว

ดูจากด้านข้าง ผมแน่ใจว่าเราดูเหมือนกลุ่มแปลกๆ แต่มันไม่เหมือนว่าผมสนใจเกี่ยวกับที่คนอื่นมองเราอย่างไรอยู่ดี ดังนั้นผมต้องทำอะไรอย่างจริงจัง จริงจังมากๆ

“เราทำมันเกินไปแล้วจริงๆ ไม่ใช่เหรอ?”

“เราเด่นเยอะเลย”

“ใช่ ไม่ใช่ว่าเราระวังเกินไปเหรอ?”

“แม้ว่าเราระวัง ไม่ใช่มันไม่เป็นไรเหรอไง? หนูก็ทำการค้นคว้ามาและเจอว่าที่นั่นมีแมลงอันตรายอยู่เยอะในป่าธรรมชาติที่ไม่ถูกบริหารจัดการ เราอาจถูกกัดโดยพวกมันระหว่างเดินไปทั่วและได้รับอาการคันอย่างย่ำแย่ พี่สาว”

“เฮฮ๋〜”

“ได้เลย พวกเธอ ถ้าทุกอย่างที่ฉันเตรียมสุดท้ายไร้ประโยชน์ในท้ายที่สุด ฉันสัญญาว่าจะซื้ออะไรก็ได้ที่เธออยากซื้อให้ แต่พวกเธอต้องเตรียมตัวเองจะดีกว่าถ้าความกังวลของฉันกลายเป็นถูกหวยรับทรัพย์ อืม ยกเว้นวิสเกอร์ด้วยนะ”

“ยังไงซะ บางคนทำตัวอวดดี เธอจะไม่ถอนคำพูด ใช่มั้ย?”

เอลม่า ผู้กำลังเดินต่อจากผม มองขึ้นมาหน้าผมและยิ้มมุมปากอย่างแหย่ๆ

“ตราบใดที่การขอนั้นมีเหตุผล ถ้าอย่างนั้นแน่นอน อย่าขอให้ฉันซื้อยานล่ะ เข้าใจมั้ย?”

“แน่นอนว่าฉันจะไม่ทำ ฉันจะไม่ไปไกลขนาดนั้น ฉันคิดว่าฉันจะแค่ให้เธอซื้อเหล้าแพงมากๆให้บ้าง”

“อืม ถ้ามันแค่นั้น ถ้าอย่างนั้นได้เลย”

ตัดสินจากการซื้อกก่อนหน้าของเธอ มันน่าจะไม่ทำให้ผมเสียไปมากกว่า 100,000 อีเนล และนั่นไม่เป็นอะไรกับผม

“แม้ว่าเธอพูดว่าเราต้องทำโดยมีเหตุผล แต่เหตุผลของอะไรที่จริงๆแล้ว ‘มีเหตุผล’ นั่นกว้างไปนะ ดังนั้นหนูตัดสินใจไม่ได้เลยว่าอะไรได้ไม่ได้”

“เอ๋? เอ่อ ฉันไม่เป็นไรกับมันถ้ามันแสนหรือประมาณนั้น ฉันว่า?”

“ฮิโระซามะ จำนวนนั้นมันเลยสามัญสำนึกปรกติไปไกลแล้วล่ะ”

“ความรู้สึกของพี่ใหญ่เรื่องมูลค่าแปลกมากๆ”

ผมแค่ตอบทีน่าตรงๆ แต่สุดท้ายมีมิและวิสเกอร์ตำหนิผม อะไรเล่า?

“เอ่อ โอเค ถ้าอย่างนั้นถ้า 10,000 อีเนลล่ะ?”

“พี่ใหญ่……”

“เราใช้ชีวิตในฝัน ไม่ใช่เหรอ?”

ผมลดจำนวนไปเยอะแล้ว แต่วิสเกอร์ยังคงมองผมดั่งผมเป็นบางคนสิ้นหวัง มันดูเหมือนเธอยังพบว่าจำนวนนั้นสูง

“พวกท่านกำลังพูดเกี่ยวกับอะไรน่าทึ่ง……”

“นั่นเป็นแค่ที่ทหารรับจ้างเป็น”

เอลม่าตอบลิเลียม ผู้ตะลึงกับการสนทนาของเราและยักไหล่เธอเหมือนไม่เชื่อ

ใช่ นั่นที่ทหารรับจ้างอย่างเราเป็น

 

 

“ถ้าอย่างนั้นนี่คือพาหนะของเราหือ…… อืม แน่นอนมันพิเศษไม่เหมือนใครนะ”

“หนูสงสัยว่าสิ่งนี่ทำงานยังไง”

“อึน……? มันน่าจะเป็นเครื่องบิน ถูกมั้ย? แต่เครื่องยนต์อยู่ไหนล่ะ……?”

พี่น้องช่างออกความคิดเห็นเครื่องบินที่จะทำหน้าที่เป็นพาหนะของเราและเริ่มเดินรอบมันเพื่อตรวจสอบทุกซอกทุกมุม

ลิเลียนนำเรามาสู่ที่ซึ่งมันจอดอยู่ มันเป็นพาหนะที่คล้ายกับตะขาบพร้อมส่วนที่ติดตั้งด้วยปีกแมงปอคู่หนึ่ง

เห็นว่า มันไม่มีเครื่องยนต์ใดๆ มันมีปีกคู่สองปีกคล้ายกับอะไรเหล่านั้นที่เป็นแมลงปอถูกติดตั้งอยู่กับรถโดยสารทรงกล่องแต่ละกล่องเพื่อทำการยกลอย พวกเขาก็ทำให้พาหนะดูเหมือนตะขาบด้วยเหมือนกัน

“สิ่งนี่บินโดยใช้พลังเวทมนตร์เหรอ?”

“ค่ะ มันเป็นพาหนะโดยสารแบบบินพลังงานเวทมนตร์ที่ใช้ปีกดัดแปลงเป็นพิเศษของสิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่าเย็นมุริริว มันบินโดยใช้พลังของภูติลม”

“ฮิเย็นมุริริว?”

“เย็นมุลิลุย?”

“ฉันคิดว่ามันเป็นเย็นมุริรัว”

“ใช่ค่ะ นั่นถูกต้อง”

ลิเลียมยิ้มอย่างหวานกับการตอบสนองของเรา ใช่ เธอเป็นคนสวยแน่นอน แต่เดี๋ยวก่อน เราจะขึ้นเจ้านี่จริงๆ? จริงๆจังๆ?

เราจะบินในพาหนะไม่รู้จักที่มีปีกที่ดูเปราะบางทำจากชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นบางอย่าง? ไม่ใช่นั่นค่อนข้างน่ากลัวหรือ?

“มันไม่เป็นไรจริงๆเหรอ? เราจะไม่ตกกลางทาง ใช่มั้ย?”

“อ่ะฮ่าฮ่า คนที่ขึ้นครั้งแรกทุกคนตอบสนองแบบนั้นตอนแรก แต่มันไม่เป็นอะไรค่ะ ปีกเย็นมุริริวบินด้วยพลังงานของภูติลมในชั้นบรรยากาศ ดังนั้นสิ่งนี้จะไม่มีวันตกยกเว้นมันบำรุงรักษาไม่ดี”

“แน่นอนเราดำเนินขั้นตอนบำรุงรักษาอย่างถูกต้องแล้ว นั่นไม่มีปัญหา”

ผู้ชายเอลฟ์ลงมาจากพาหนะบินและทำให้เรามั่นใจอีกครั้ง มันเป็นฮิอิชิ ผู้ทำหน้าที่เป็นคนขับของเราตั้งแต่วันแรกของการเที่ยวกันหยุดของเราที่นี่บนทีต้า เขาเป็นคนเงียบๆ และผมนับจำนวนครั้งที่ผมได้ยินเขาพูดได้ด้วยนิ้วของผมได้

“ฉันเดาว่ามันช่วยไม่ได้…… ขึ้นกันเถอะถ้าอย่างนั้น”

“รถโดยสารแต่ละลำไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น ฮิโระโดโนะขึ้นกับผู้หญิงดวอร์ฟสองคนในรถคันนึงระหว่างอีกสองคนที่เหลือขึ้นอีกคัน”

“โรเจอร์ มาเร็วพวกเธอสอง เร็วๆเข้าแล้วขึ้น”

“ได้”

“โอเค”

ผมคิดว่าพวกเธอจะลังเลมากกว่านี้ในการเผชิญหน้ากับเทคโนโลยีไม่รู้จัก แต่ตรงกันข้ามกับความคาดหวังของผม พี่น้องช่างขึ้นพาหนะอย่างเชื่อฟัง

“มาขึ้นด้วยเถอะ”

“ใช่”

“ค่ะ!”

เอลม่าใจเย็นเหมือนเคย แต่ความตึงเครียดของมีมิค่อนข้างสูง ผมสงสัยว่าเธอตื่นเต้นเพราะเธอจะได้ขีพาหนะเวทมนตร์ลึกลับครั้งนี้หรือเปล่า? ขณะสำหรับผม ผมกังวลมากกว่าตื่นเต้น

“บอสช้านะ บอส มาเร้ว เร็วเข้า”

รถนั้นแออัดจริงๆ มันค่อนข้างเหมือนนั่งบนที่นั่งรถไฟ อืม พวกมันเป็นที่นั่นที่หันหน้าไปทิศทางที่พาหนะจะเคลื่อนที่ไปสู่ …ผมคิดว่าพวกมันถูกเรียกว่าที่นั่งเครื่องหมายไขว้หรือบางอย่างแบบนั้น

รถโดยสารถูกติดตั้งด้วยที่นั่นเครื่องหมายไขว้หันหน้าไปข้างหน้าและพี่น้องทิ้งช่องเปิดสำหรับผมระหว่างพวกเธอ ผมจะถูกขนาบระหว่างพวกเธออีกแล้ว

“ดอกไม้ในสองมือหือ”

“ใช่มะ? ไม่ใช่บอสมีความสุขที่บอสจะถูกขนาบโดยสาวสวยสองคนเหรอ บอส?”

“ใช่ แน่นอนวิสเกอร์น่ารัก”

“ทีน่าจังก็น่ารักด้วยรู้มั้ย”

“ไชโยให้ทีน่าจังผู้น่ารัก เย้”

“นั่นฟังดูปลอมสุดๆ!”

“อ่ะฮ่าฮ่า”

และดังนั้นรถไฟบิน(?)ออกตัวพร้อมเราอาบอยู่ในบรรยากาศดนตรีเดียวกัน(?)

ดูเหมือนไม่มีสัญญาณอะไรถูกใช้เพื่อประกาศการบินขึ้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาผ่อนปรนเกินไปหรือ?

“โออ้ มันบินจริงๆ แต่หนูไม่เข้าใจว่ายังไงเลย”

“หนูสงสัยว่าปีกเหล่านั้นทำงานเหมือนกันกับอุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้มถ่วงมั้ย?”

“ไม่ใช่พวกเขาก็บอกว่าเจ้านี่ใช้พลังของภูติลมหรือบางอย่างแบบนั้นเหรอ?”

“มันเป็นพาหนะที่เมินหลักของอากาศกลศาสตร์หือ?”

เมื่อรถไฟบินขึ้นในอากาศ พี่น้องช่างเริ่มตรวจดูปีกที่ส่องในแสงเวทมนตร์จากหน้าต่างรถ ผมก็เอนไปเหนือหัวทีน่าและมองไปข้างนอกเพื่อดูปีกที่ทำจากเย็น… เอ่อ อะไรก็ตามที่เป็นชื่อของมัน

“มันส่องแสงแบบบ้าไปเลย จริงๆแล้วเราใช้อะไรนี่เป็นแสงแบบรักษาธรรมชาติได้มั้ย?”

“พี่สงสัย? พี่ว่าเราทำได้ถ้าพวกมันยังคงส่องสว่างเท่านี่ในอวกาศนอก แต่ภูติลมมีตัวตนอยู่ในอวกาศนอกอยู่ดีมั้ย บอส?”

“มืม หนูได้ยินว่าจริงๆแล้วเอลฟ์ใช้เวทมนตร์บนโคโลนี่และยานอวกาศได้ แต่ฉันไม่คิดว่าพวกมันจะส่องสว่างระหว่างร่ายเวทย์ นอกจากนี้ ปีกเหล่านี่ทำจากวัสดุชีวภาพ ถูกมั้ย? มันดูเหมือนรักษาอยากและผลิตจำนวนเยอะยาก มันจะเป็นปัญหาที่จะได้รับชิ้นส่วนเปลี่ยนเพราะความยากของการจัดหาพวกมัน”

“เข้าใจแล้ว”

พวก แน่นอนช่างมืออาชีพรู้เยอะแค่โดยการได้ดูปีกพาหนะชีวภาพที่เข้าใจไม่ได้เหล่านี้

เราบินกันต่อไปสักพัก และเมื่อรถไฟมาถึงครึ่งทางและเข้าสู่ดินแดนของเผ่ากราโด วิสเกอร์สังเกตุบางอย่างไม่ปรกติระหว่างเราอยู่ในการบินเหนือป่ากว้าง

“หือ?”

“นึน? มีอะไร?”

ผมได้ยินเสียงวิสเกอร์หายใจเข้าเร็วๆตกใจระหว่างมองออกไปนอกหน้าต่างและผมหันสู่เธอเพื่อถามว่ามีอะไร พูดถึงแล้ว ตอนนี้ทีน่ากำลังงีบระหว่างพิงและน้ำลายไหลใส่ผม เป็นเด็กหรือไง?

“อืม หนูคิดว่าปีกมันดูค่อนข้างแปลกตอนนี้”

“พูดอะไรนะ?”

ผมดูออกไปทันทีและเห็นแน่นอนว่าปีกทำอาการแปลกกๆ

แสงที่พวกมันส่งออกมาสว่างกว่าเมื่อเราออกบิน และปีกปรากฏว่าสั่นค่อนข้างแรงและไม่เป็นจังหวะ

“ฉันล่ะรู้สึกแย้แย่เกี่ยวกับนี่”

“มันค่อนข้างรู้สึกเหมือนเครื่องขับดันยานอวกาศอยู่ในระหว่างทำงานหนักเกินไปเลย”

วิสเกอร์หัวเราะคิกคักแห้งๆ ผมก็ทำตาม อ่ะฮ่าฮ๋า

“อะไรเนี่ย! นี่ไม่ใช่เวลาหัวเราะ ใช่มั้ย?”

“พ-พี่สาว! ตื่นได้แล้ว พี่สาว!”

“หือ!? อ-อะไรนะ!? เราถึงแล้วเหรอ!?”

หลังจากสะดุ้งตื่นโดยวิสเกอร์ ข้างบนหัวของทีน่าชนเข้ากับคางของผมอย่างจัง

“โอ้วว!?”

“โอ้ย!? อะไร!? อะไร!?”

หัวเธอทำจากหินหรือบางอย่างหรือไง!? ผมหมดสติไปช่วงเวลาหนึ่งแล้วนั่น! ผมเกือบไม่ให้ตัวเองร้องบ่นไม่ได้

“พี่สาว! ปีก! ปีก!”

“เอ๋? ปีก!?”

วิสเกอร์ชี้สู่ปีกนอกหน้าต่างบนฝั่งซ้ายที่ทีน่ากำลังนั่งติดกัน

และทันทีเมื่อทีน่าหันไปสนใจกับปีก พวกมันแตกสลายกระทันหัน ใช่ พวกมันแตกสายเป็นผุยผง

อา มันคล้ายกับอะไรที่เราเห็นในพิพิธภัณเมื่อถูกทำลาย

“บอส!?”

“พี่ใหญ่!?”

“ฉัน!? นี่เป็นความผิดฉัน!?”

ขณะเราตื่นตกใจ ปีกของฝั่งวิสเกอร์ก็แตกสลายเป็นฝุ่น

“คู่ปีกบนรถหน้าและหลังเราก็ไปแล้วด้วย!”

“ต้องล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย! เอ๋? อย่าบอกฉันนะว่า–”

รถไฟบินแยกเป็นสี่คัน คันข้างหน้าเราเป็นรถคนขับ ระหว่างรถหลังมันคือที่ลิเลียมกำลังขี่ คันต่อไปหลังจากนั้นเป็นที่ซึ่งเรากำลังนั่งอยู่ข้างใน และคันสุดท้ายเป็นที่มีมิและเอลม่าอยู่

รถรถไฟหนึ่งคันถูกติดตั้งด้วยสี่ปีกในแต่ละคัน มีทั้งหมดรวมสิบหกปีก พวกมันครึ่งหนึ่งถูกทำลายไปแล้ว พูดอีกอย่างครึ่งรถไฟหมดพลังงานบิน

“ฮ-ฮ่าฮ่า เราแค่เสียปีกไปครึ่งเดียว ฉันว่ารถไฟจะไม่ตกแค่จากนี่”

“ช-ใช่ หนูว่า หนูว่าอย่างน้อยพวกเขาคิดเรื่องความปลอดภัยล่วงหน้า–”

ต่อหน้าต่อตาของเรา ปีกของรถที่เหลือหน้าเราก็แตกเป็นผุยผง และหลังจากนั้นทันที รถเริ่มเอียงสู่พื้นข้างใต้

“ที่เหลือหนึ่งคู่บนรถข้างหลังไปด้วยเหรอ!?”

“่นี่แย่แล้ว! มีแค่ปีกที่รถหน้าสุดอย่างเดียวเหลืออยู่!”

“เราจะตะ–!?”

ปัง! หลังจากเสียงแตกรุนแรง รถโดยสารเริ่มตกตรงลงไป อะไรที่เข้าตาของผม ซึ่งดูเหมือนเห็นบางอย่างในภาพช้าสุดๆ คือรถรถไฟสองคันหน้าบินไป ด้วยหนึ่งคันเกาะรถนักบินแบบเกือบตก มันดูเหมือนรถนำมีแค่เปียกเดียวเหลืออยู่ด้วย

“คิ่ย้าาาาาา!?”

“ฮิ่ย้าาาาาาาา!?”

“บัดซบเอ๊ย!”

ผมจับร่างกายสั่นไหวของพี่สาวผู้กรีดร้องด้วยทั้งสองแขนและก้มตัวติดขาเพื่อเตรียมสำหรับแรงกระแทก

ไม่นานหลังจากนั้น การกระแทกแรงสะท้อนทั่วทั้งคันรถ และผมหมดสติเป็นผลลัพธ์

แปลโดย: wayuwayu

tipme : tipme.in.th/wayuwayutl

ได้โปรดโดเนทเพื่อสนับสนุนผู้แปล ติดตามข้อมูลข่าวสาร, ติดต่อ: ​http://linktr.ee/wayuwayu