ซ่างเชียนพยักหน้าแทนคำตอบ แต่ในใจเขาคิดว่าซูอันเป็นเพียงแค่ผู้บ่มเพาะระดับ 3 ธรรมดา ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อทั้งเขาและพ่อของตนอยู่ดี
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซ่างเชียนเลยไม่รู้สึกสนใจเหตุการณ์บนลานประลองอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้เวลานี้ชื่นชมคู่หมั้นแสนสวยของตนแทน จากนั้นก็หันไปมองเจิ้งตาน แต่ในทันใดนั้นเขากลับเห็นว่าอีกฝ่ายมองไปที่ซูอันอย่างตั้งใจ และนี่… มันก็ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นมืดหม่นทันที
เจิ้งตานลืมตัวไปเลยว่าตอนนี้คู่หมั้นของนางกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ ในตอนนี้ นางจ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่บนลานประลองด้วยสายตาประหลาดใจ “ผู้ชายคนนั้นเป็นผู้บ่มเพาะระดับ 3 จริง ๆ! แต่ผู้ชายที่สามารถต้านทานการยั่วยวนของข้าคงไม่อาจเป็นคนธรรมดาได้อยู่แล้วจริงไหม ? แต่ว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจวางเดิมพันว่าเขาจะแพ้กันล่ะ ? เขาคิดว่าวันนี้เขาจะแพ้จริง ๆ หรือว่าเขามีเหตุผลอื่นที่ลึกซึ้งกว่าที่ข้าเข้าใจ?
ถึงแม้ทุกคนจะคิดว่าซูอันไม่อาจเอาชนะหยวนเหวนตงได้แน่นอน แต่ฉู่ฮวนเจาเป็นข้อยกเว้น ! “พี่เขยของข้าช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ! เขาสามารถยืนหยัดต่อสู้กับหยวนเหวินตง แบบตรง ๆ ได้ด้วย!”
ข้างนาง ฉู่ชูเหยียนอธิบายอย่างอ่อนโยน “นั่นเป็นเพราะหยวนเหวินตงกลัวทักษะการเคลื่อนไหวของซูอัน ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้การโจมตีแบบวงกว้าง และนั่นส่งผลให้พลังการโจมตีของเขาลดลง ดังนั้นซูอันจึงสามารถรับมือกับเขาได้ง่ายกว่าเดิม”
ฉู่ฮวนเจาตกตะลึง “ถ้างั้นนี่มันไม่ได้หมายความว่าพี่เขยของข้าไม่มีโอกาสได้รับชัยชนะเลยงั้นเหรอ?”
ฉู่จงเทียนถอนหายใจยาว “พ่อคิดว่าเขาคงมีโอกาสหากเขามีทักษะการโจมตีที่ทรงพลังพอ ๆ กับทักษะการเคลื่อนไหวของเขา แต่จากที่พ่อเห็นในตอนนี้ดูเหมือนว่าซูอันจะรู้ทักษะที่ใช้โจมตีเพียงวิชาเดียวก็คือ 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานสถาบันจันทร์กระจ่าง ถึงแม้ว่า 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานจะถูกปรับปรุงมาแล้วหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ข้อบกพร่องของมันก็ยังมีอยู่อย่างชัดเจนเหมือนเดิม มันใช้ได้ดีกับคนทั่วไป แต่สำหรับต่อสู้กับผู้บ่มเพาะด้วยกันแล้วมันค่อนข้างไร้ประโยชน์”
“อา…” ฉู่ฮวนเจาเริ่มรู้สึกกังวลหลังจากได้ยินคำพูดพ่อของนาง
หงซิงอิงผู้ซึ่งเงี่ยหูฟังบทสนทนาอยู่ตลอดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ก่อนหน้าที่เขาเห็นว่าซูอันสามารถต้านทานได้ทั้งการควบคุมอาวุธและเพลงกระบี่ของหยวนเหวินตงได้ มันทำเอาหัวใจของเขาเกือบจะหลุดออกจากอกของเขา
ถ้าไอ้เวรนี่เอาชนะหยวนเหวินตงได้จริง ๆ นายท่านกับนายหญิงและคุณหนูทั้งสองคงไม่เห็นคุณค่าของข้าอีกแน่นอน ! ฟู่… โชคดีที่ตอนนี้นายท่านไม่คิดว่าเขาจะสามารถเอาชนะหยวนเหวินตงได้ ดีแล้วๆ…
กลับมาที่ลานประลอง หยวนเหวินตงเริ่มโจมตีซูอันอีกครั้ง เขาไม่ต้องการให้โอกาสอีกฝ่ายได้พักหายใจ และตั้งใจแน่วแน่ที่จะใช้ระดับการบ่มเพาะของตนบดขยี้ซูอันให้ลงไปกองอยู่ที่พื้น
ซูอันยังคงใช้ 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานเพื่อปกป้องตัวเองเหมือนเดิม แม้เขาจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถทนได้ในตอนนี้
“หืม ? 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานมีอำนาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ข้าต้องขอยอมรับเลยว่าซูอันไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด”
“แต่ไม่ว่าเขาจะเชี่ยวชาญแค่ไหน มันก็ยังคงเป็น 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน ในท้ายที่สุดมันก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อนายน้อยหยวนสักเท่าไหร่”
…
แม้กระทั่งพวกบุคคลระดับสูงก็มีความคิดแบบนี้เช่นกัน
ซ่างหงรู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าซูอันแม้จะมีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำ แต่กระบี่ของเขากลับแฝงไปด้วยปราณกระบี่ที่ทรงพลังซึ่งเป็นความสามารถที่ผู้บ่มเพาะระดับสูงเท่านั้นที่จะมีได้ พรสวรรค์ของคน ๆ นี้ช่างน่าทึ่งจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่เขาอยู่ในตระกูลฉู่…
ว่าแต่มันจะเป็นไปได้ไหมหากข้าจะลองชวนเขาอยู่เคียงข้างข้า?
ในทางกลับกัน เจียงลั่วฝูขมวดคิ้ว หากการโจมตีก่อนหน้านี้ของซูอันเร็วขึ้นกว่านั้นเล็กน้อยและขยับไปทางซ้ายอีกนิดหน่อย อำนาจของมันจะสูงขึ้นกว่ามาก นี่เขายังไม่เชี่ยวชาญมันเพียงพออีกงั้นเหรอ?
ในขณะเดียวกัน ซูอันรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่น่าเชื่อ มีหลายครั้งที่เขาอยากจะใช้เพลงกระบี่ปราบมารที่สร้างขึ้นเอง แต่เมื่อนึกถึงคำเตือนของผู้เฒ่ามี่เขาก็อดไม่ได้ที่จะลังเล ถ้าถึงขนาดเฒ่ามี่ไม่กล้าที่จะเปิดเผยถึงการมีอยู่ของทักษะ มันก็น่าจะเป็นภัยคุกคามที่ไกลเกินกว่าที่เขาจะรับมือได้[1]
เขาไม่แน่ใจว่าในที่แห่งนี้จะมีใครรู้จักวิชาร่างก้าวทานตะวัน อยู่รึเปล่า แต่ในขณะเดียวกัน เขารู้ว่าตนเองไม่สามารถเอาชนะหยวนเหวินตงได้หากไม่ใช้มัน
การที่เขาเคยทำให้ผู้บ่มเพาะระดับ 5 คนอื่น ๆ เช่น เสวี่ยเอ๋อร์และเพ่ยเหมียนหมานถอยหนีไปได้ในอดีต ทำให้เขาประเมินค่าของหยวนเหวินตงซึ่งอยู่ในระดับ 5 เช่นกันต่ำเกินไป
ในตอนนี้หลังจากที่เขานึกย้อนไปดี ๆ เขาก็เพิ่งจะบรรลุได้ว่าการต่อสู้กับเพ่ยเหมียนหมานและเสวี่ยเอ๋อร์ในตอนนั้นจริง ๆ แล้วเขาค่อนข้างอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังมาตลอด ตอนนั้นตัวเขาเกือบจะตายแล้วด้วยซ้ำ แต่นั่นก็นำไปสู่การเปิดใช้งานทักษะของวิชาวัฏจักรหงส์อมตะ ซึ่งเพิ่มทั้งพลังชี่ ความเร็วและความแข็งแกร่งให้เขาอย่างมหาศาล แต่คราวนี้เขากำลังต่อสู้กับผู้บ่มเพาะระดับ 5 ภายใต้สภาวะปกติของตัวเอง
ทางด้านของหยวนเหวินตงตอนนี้ก็เริ่มใจร้อนเช่นกันหลังจากเห็นว่าการโจมตีมากมายของตัวเองยังคงทำอะไรซูอันไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาได้รับความอับอายจนแทบจะไม่กล้ามองหน้าใครแล้ว ดังนั้นหากไม่สามารถกู้หน้าคืนได้ในวันนี้ ในอนาคตเขาคงไม่กล้าเดินเชิดหน้าในเมืองจันทร์กระจ่างได้อีกต่อไป
เมื่อทนอีกต่อไปไม่ไหว หยวนเหวินตงจึงตัดสินใจที่จะใช้ทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อเอาชนะซูอันให้เรื่องมันจบ ๆ ไป!
“หายนะแห่งมังกรทองคำ!”
หลังจากเริ่มใช้กระบวนท่า ร่างกายของหยวนเหวินตงหมุนควงอย่างรวดเร็ว ดึงเอาอากาศบนลานประลองให้หมุนควงร่วมกับตัวเขาจนค่อย ๆ เกิดเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
ลมที่พัดแรงทำให้ซูอันรู้สึกราวกับว่าตัวของเขากำลังถูกดูดเข้าไปในพายุหมุนขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยหยวนเหวินตง
แต่แล้วจากนั้นอีกชั่วอึดใจ จู่ ๆ ร่างของหยวนเหวินตงก็หายไปจากจุดกึ่งกลางของพายุหมุนและไปโผล่ที่ด้านหลังซูอันในชั่วพริบตา!
หยวนเหวินตงเล็งกระบี่ของเขาตรงไปยังเส้นลมปราณที่แขนขวาของซูอัน เมื่อเส้นลมปราณของผู้บ่มเพาะถูกทำลาย ไม่ว่าระดับการบ่มเพาะของเขาจะสูงแค่ไหน อีกฝ่ายก็จะพิการตลอดไป!
แน่นอนว่ามันยังมีสมบัติวิเศษบางอย่างในโลกที่สามารถรักษาเส้นลมปราณที่ถูกตัดขาดได้ แต่ของแบบนั้นมันหายากอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้น ใครจะต้องการเสียสมบัติล้ำค่าแบบนั้นให้กับคนอย่างซูอัน?
เจ้าอดทนกับการโดนดูถูกมานานโดยหวังว่าจะใช้โอกาสในวันนี้สร้างชื่อเสียงให้ตัวของเจ้าเอง เจ้าต้องการทำให้ตระกูลฉู่ และเมืองจันทร์กระจ่างตกตะลึง แต่น่าเสียดายที่วันนี้เจ้ามาเจอกับข้า ! ข้าจะทุบตีเจ้าให้กลายเป็นขยะอย่างที่ทุกคนพูดว่าเจ้าเป็น!
“หยุด !” ฉู่จงเทียนสังเกตเห็นความตั้งใจของหยวนเหวินตงเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงรีบพุ่งตัวขึ้นไปบนลานประลองทันที
อย่างไรก็ตาม ทั้งอู๋เว่ยและผู้นำตระกูลหยวนต่างเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว พวกเขารีบพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างรวดเร็ว “ฉู่จงเทียน ทำไมเจ้าถึงพยายามแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างรุ่นเยาว์?”
“เจ้าสองคน !!” ฉู่จงเทียนโกรธจัด เขาโจมตีทั้งคู่อย่างไม่ลังเลด้วยสุดกำลังที่มี แต่อ๋องหยางเฉวียนนั้นมีระดับการบ่มเพาะเดียวกันกับเขา และด้วยการสนับสนุนของหยวนเจิ้งฉู่ มันก็ยิ่งเป็นเรื่องยากที่เขาจะฝ่าไปถึงตัวของซูอันได้ทันเวลา
ในตอนนี้ปลายกระบี่ของหยวนเหวินตงใกล้จะเจาะเข้าที่ข้อมือของซูอันแล้ว แต่จู่ ๆ ซูอันก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น “แกมองอะไร?”
หยวนเหวินตงตกตะลึง ไอ้คน ๆ นี้มันสมองเพี้ยนรึไง ? ทำไมจู่ ๆ มันถึงถามคำถามนี้ในระหว่างการต่อสู้ ? อย่างไรก็ตาม เขากลับตอบอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ว่า “ข้ากำลังมองแกไงไอ้โง่!”
เกิดอะไรขึ้น!?
หยวนเหวินตงตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ได้วางแผนที่จะตอบคำถามของซูอันเลย แต่คำพูดเหล่านี้กลับออกจากปากของเขาราวกับว่าถูกครอบงำ
ในเสี้ยวอึดใจที่เสียสมาธิไปสั้น ๆ นี้ กระบี่ของซูอันก็พุ่งสวนมา และหยวนเหวินตงก็รู้สึกเจ็บที่ข้อมืออย่างฉับพลัน เขาก้มศีรษะลงไปมองที่ข้อมือของตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ด้วยเห็นเต็มสองตาว่าตอนนี้ปลายกระบี่ของซูอันกำลังเสียบอยู่ที่ข้อมือตน และเลือดสีแดงสดจากร่างกายของเขากำลังไหลลงไปที่พื้นเรื่อยๆ
ในทางกลับกัน กระบี่ของเขาอยู่ห่างจากข้อมือของซูอันไม่เกิน 1 ชุ่น*! ด้วยระยะห่างเพียงแค่นี้หากเป็นตอนปกติเขาแค่ออกแรงพอ ๆ กับดีดนิ้วปลายกระบี่ของเขาก็จิ้มไปถึงข้อมือของซูอันแล้ว แต่ตอนนี้ระยะ 1 ชุ่นมันกลับไกลราวกับอยู่คนละโลก
**1ชุ่นเท่ากับ 3.33เซนติเมตร**
ใบหน้าของเขายังคงกระตุกในขณะที่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแทงกระบี่ออกไปอีกหน่อย… แต่ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกไร้พลังขึ้นมาอย่างน่าแปลกประหลาด จนรู้สึกราวกับว่าไม่มีแรงจะจับกระบี่อีกต่อไปด้วยซ้ำ!?
เกิดอะไรขึ้น ? ข้า… นี่ข้าพิการงั้นเหรอ!
อารมณ์ที่เกิดขึ้นในหัวของหยวนเหวินตงตอนนี้มันหลากหลายเป็นอย่างมาก ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันช่างน่าหัวเราะเสียจนเขาไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เขาเผชิญอยู่เป็นเรื่องจริง
[1]. หมายถึงทักษะที่ซูอันรวม วิชาร่างก้าวทานตะวัน และ 13ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน เข้าด้วยกัน จนกลายเป็นวิชากระบี่ที่เขาตั้งชื่อให้เป็น เพลงกระบี่ปราบมาร ซึ่งมันคล้ายกับเพลงกระบี่ในนิยายเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรในแง่ของการผสมผสานระหว่างวิชาในคัมภีร์ทานตะวันกับเคล็ดวิชาอื่น ๆ