บทที่ 211 เจ้าจะรับมันหรือไม่? 2 (1)

ทั้งสองหยุดยืนตรงกึ่งกลางห้องโถง ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่พวกเขาอย่างพร้อมเพรียง

องค์ชายรัชทายาทอัลเบิร์กแต่งกายด้วยชุดหรูหราสีขาวสลับทองในขณะที่คาร์ลสวมชุดสีดําตัดกับผมสีแดงสดของเขา

พวกเขาทั้งสองดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

เสียงกระซิบกระซาบของคนในห้องประชุมเริ่มลดลงก่อนจะเงียบสนิทในที่สุด

อัลเบิร์กยังคงแต้มยิ้มเต็มใบหน้าเมื่อกวาดสายตาไปมองรอบๆ

“เจ้าบ้าเอ้ย! ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆ

คาร์ลเคยบอกอัลเบิร์กว่าตัวเองไม่ต้องการอํานาจหรืออิทธิพลใดๆ เขาจะปล่อยวางทุกอย่าง หลังจากสงครามสิ้นสุดลงแล้วและเขายอมแม้กระทั่งเอาศีรษะของตัวเองเป็นประกันเพื่อยืนยันในสิ่งที่เขาพูดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง

อัลเบิร์กคลายมือที่เผลอกําแน่นออก เขารู้สึกชาที่มือเล็กน้อย

คาร์ลปล่อยออร่าบางอย่างออกมาจนทําให้มือเขาชาไปหมด แม้ว่ามันจะมองไม่เห็นแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ถูกปล่อยออกมา มันส่งผลกระทบกับทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมแห่งนี้

“นี่คือตัวตนที่แท้จริงของคาร์ล เฮนิตัสสินะ

คนที่ไม่ต้องการให้ตัวเองเป็นที่สนใจและต้องการเพียงเงินเท่านั้น ในที่สุดก็เปิดเผยธาตุแท้ของตัวเองออกมา อัลเบิร์กอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

“ถ้าเขาจริงจังกับมันข้าก็แค่เล่นตามน้ำไปกับเขาด้วย”

อัลเบิร์กได้ลดบทบาทของตนลงเล็กน้อยเพื่อเล่นตามน้ำไปกับสิ่งที่คาร์ลวางแผนเอาไว้ มันไม่ใช่เรื่องยากสําหรับเขาเท่าไหร่นัก

ในทางกลับกันกําลังมีคนเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลําบาก

“อ่า…”

มาร์ควิสไอลันส่งเสียงพึมพําในลําคอ ผู้ที่มีกิริยาเคร่งครีมและวางบทบาทของตัวเองให้ดูน่าเกรงขามในสายตาของผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ในตอนนี้กลับมีท่าทางดูไม่ค่อยดีนัก เขาไม่คิดว่าท่าทางของเขาแปลกไปเพราะองค์ชายรัชทายาทยิ้มแต่มันเป็นเพราะคาร์ลต่างหาก!

ข้าคิดว่าตําแหน่งนั้นใหญ่เกินไปสําหรับเด็กเมื่อวานซึนเช่นคาร์ล เฮนิตัส!”

แต่ความรู้สึกบางอย่างที่เขาสัมผัสได้ในตอนนี้ทําให้เขาไม่รู้สึกว่าคาร์ลเป็นเด็กแม้แต่น้อย

ถ้าเขาไม่ใช่เด็กแล้วเป็นอะไรล่ะ?

มาร์ควิสไอลันมีความไวต่อออร่าเฉพาะบุคคลมากกว่าคนอื่นๆเพราะเขาคือนักสู้ที่มีความเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆ เขาเชื่อว่าออร่าเป็นตัวบ่งบอกเรื่องราวชีวิตของเจ้าของออร่านั้นๆ

อย่างไรก็ตามคาร์ลกําลังส่งออร่าที่คล้ายคลึงกับกษัตริย์หรือผู้ปกครองระดับสูงออกมา มันเป็นออร่าที่แข็งแกร่งกว่าองค์ชายรัชทายาทผู้ที่เติบโตมาพร้อมกับออร่าที่แข็งแกร่งเช่นนี้เสียอีก ออร่าที่คาร์ลส่งออกมามาร์ควิสไอลันเชื่อว่ามันจะทําให้คาร์ลไม่เกรงกลัวกับสิ่งใดแม้ว่าต้องเผชิญหน้ากับมังกรที่รู้จักกันดีว่ามีออร่าที่แข็งแกร่งมากที่สุดในโลก

“ข้ารู้สึกว่าตัวเองถูกครอบงําด้วยออร่าของเขา”

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ระดับสูง เขามั่นใจว่าความรู้สึกของเขาไม่พลาดอย่างแน่นอน

แน่นอนว่าคาร์ลคงปรบมือดังๆหากรู้ว่ามาร์ควิสไอลันกําลังคิดอะไรอยู่ มันเป็นเพราะคาร์ลปล่อยรังสีเหนืออํานาจออกมาอย่างเต็มพิกัดหลังจากอิ่มท้องจากอาหารในวังหลวง

มาร์ควิสที่ไม่รู้เรื่องนี้ยังคงลอบมองคาร์ลเป็นระยะๆ

อัลเบิร์กเริ่มพูดขึ้น

“นี่ก็นานมากแล้วสินะที่เราได้มารวมตัวกันเช่นนี้”

เขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงนอบน้อมต่อขุนนางระดับสูงมากนักเพราะมีการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่าเขาคือพระราชาองค์ต่อไป มาร์ควิสไอลันละสายตาจากคาร์ลเพื่อมองใบหน้าแจ่มใสขององค์ชายรัชทายาทก่อนจะยกมือนวดขมับเบาๆ มันทําให้เขารู้สึกถึงลางไม่ดี

การที่องค์ชายรัชทายาทยิ้มแบบนี้เป็นเพราะเขากําลังรู้สึกได้เปรียบ

อัลเบิร์กเริ่มออกเดินอีกครั้ง

“ข้าควรไปที่นั่งของข้าได้แล้ว แต่ว่า…”

เขาหยุดฝีเท้าลงก่อนจะหันไปมองรอบๆ

“ดูเหมือนจะไม่มีที่นั่งให้กับผู้บัญชาการงั้นรึ?”

ห้องประชุมแห่งนี้ไม่มีที่นั่งสําหรับคาร์ล

มันเกิดจากฝีมือของขุนนางภาคกลางซึ่งนําโดยดยุคโอรเซน่า พวกเขาจัดการเคลื่อนย้ายรูปแบบของที่นั่งเล็กน้อย ขุนนางทั้งหมดจะนั่งตามที่นั่งของตนเองโดยผู้ถูกสอบสวนจะต้องยืนอยู่ตรงกลาง สิ่งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อแย่งชิงฐานอํานาจ

“อ..เอ่อ”

“ดยุคแกรในท์ โอรเซน่า” ไม่สามารถเก็บความรู้สึกไม่สบายใจของตนไว้ได้ เขาเห็นว่าองค์ชายรัชทายาทจงใจทําสิ่งนี้ แม้ว่าองค์ชายรัชทายาทจะรู้ว่ามันเป็นฝีมือของขุนนางภาคกลางแต่ก็ยังไม่พูดสิ่งใดออกมาตรงๆ

จากนั้นสายตาของเขาก็สบเข้ากับคาร์ล เฮนิตัสโดยตรง

“อ่า..กระหม่อมไม่ได้มีนิสัยชอบยืนคุยซะด้วยสิ”

สายตาของคาร์ลกวาดไปมองรอบๆห้องประชุม ขุนนางทั้งหมดเข้าใจเจตนาของคาร์ลได้ในทันทีเมื่อเห็นสายตาดังกล่าว

คาร์ลกําลังดูถูกพวกเขา

“แต่มันก็ไม่ได้ดูแย่เช่นกัน”

คาร์ลยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกราวกับการเผชิญหน้ากับขุนนางเหล่านี้เป็นเรื่องสนุกในชีวิต

ขุนนางคนหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่เผลอสบตาเข้ากับคาร์ลก็เริ่มตะโกนออกมาดังลั่นเมื่อเห็นสายตาที่คาร์ลส่งให้เมื่อครู่นี้

“ข.ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นเพียงขยะไร้ค่า! และตอนนี้การกระทําของเจ้าก็ไม่ได้ต่างจากคํานั้นเลยสักนิด!”

“หุบปาก”

“เอ่อ…ขอรับ!?”

ขุนนางผู้นี้หันไปมองหัวหน้ากลุ่มของตนทันที

ใบหน้าของมาร์ควิสไอลันที่หันไปมองขุนนางที่ตะโกนขึ้นเมื่อครู่นี้ทิ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด นับเป็นสีหน้าหายากที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้เห็น

“ข้าบอกให้เจ้าหุบปาก”

“ท่านมาร์ควิส?”

มาร์ควิสไอลันถลึงตาใส่เขาทันที

“เจ้าเห็นสายตาของขุนนางภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือไม่?”

“ท่านว่าอะไรนะ?”

ขุนนางผู้นี้ไม่เคยได้ยินประโยคยึดยาวจากปากของมาร์ควิสไอลันมาก่อน นั่นทําให้เขาหันกลับไปมองขุนนางภาคตะวนออกเฉียงเหนือทันที มาร์ควิสไอลันยังคงพูดต่อไป

“สายตาของพวกเขาทั้งหมดจ้องไปที่คาร์ล เฮนิตัสแต่เพียงผู้เดียว”

“ท่านคิดว่าพวกเขากําลังกลัวหรือขอรับ?”

“เหมือนกับที่ข้ากําลังกลัว

ขุนนางผู้นี้ไม่ได้เอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา เขามองเห็นมาร์ควิสไอลันถอนหายใจยาวและจ้องมาที่เขาราวกับกําลังจะบอกว่าเจ้าต้องหัดเรียนรู้ให้มากกว่านี้ มาร์ควิสไอลันเริ่มอธิบายเมื่อเห็นสายตาสับสนของขุนนางผู้นี้

“ไม่ได้กลัวแต่เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความนับถือต่างหากล่ะ”

“อะไรนะ?”

มาร์ควิสไอลั่นตระหนักได้ว่าขุนนางภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่ได้รวมตัวกันเพราะเคานต์เดอรัช แต่พวกเขารวมตัวกันด้วยสิ่งที่อยู่เหนือกว่าอํานาจหรือความโลภของมนุษย์

“ดูเหมือนเราจะต้องยอมแพ้ให้กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้วล่ะ”

มาร์ควิสไอลันดูสงบลงและเริ่มพูดต่อ

“ข้าดีใจที่มันจบลงแค่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”

โชคดีมากที่มีเพียงขุนนางจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้นที่เลือกสยบต่อคาร์ล มิเช่นนั้นอาจเป็นไปได้ที่อิทธิพลของคาร์ลจะกลืนกินทั่วทั้งอาณาจักรโรมัน คนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้อยู่กับตัวมักดึงดูดให้คนอื่นๆเข้าหาอยู่เสมอแม้ว่าจะไม่มีเจตนาเช่นนั้นก็ตาม

“แต่ข้าก็ยังมั่นใจว่าเขากําลังจ้องเขมือบขุนนางกลุ่มอื่นหรือไม่ก็พยายามที่จะเพิ่มอิทธิพลของตัวเองเช่นกัน

อย่างไรก็ตามความรู้สึกของเขาบอกว่าคนเช่นคาร์ลยังดูไม่น่าไว้ใจนัก เขาต้องเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์อย่างแน่นอน มาร์ควิสไอลันรู้สึกขอบคุณตัวเองที่รู้ตัวก่อนและตัดสินใจที่จะหยุดพฤติกรรมคุกคามขุนนางภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อนที่การกระทําดังกล่าวจะย้อนกลับมาทําลายตัวเขาเอง

เสียงของผู้มีอํานาจสูงสุดในห้องประชุมแห่งนี้ดังขึ้น

“เอาล่ะเรามาเริ่มต้นประชุมกันดีกว่า”

น้ำเสียงที่องค์ชายรัชทายาทอัลเบิร์กใช้เปิดประชุมเต็มไปด้วยความร่าเริง จากนั้นเขาก็หันไปจ้องขุนนางผู้หนึ่ง ขุนนางผู้นี้นั่งอยู่ใกล้กับดยุคโอรเซน่า เขารีบลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นสายตาที่องค์ชายรัชทายาทจ้องมาที่ตน เขาดํารงตําแหน่งเคานต์และรับหน้าที่ดําเนินการประชุมในครั้งนี้

เขายึดหลังตรงและเตรียมกล่าวเปิดวาระการประชุม เขากระแอมไอ 2-3 ครั้งก่อนจะเริ่มพูด

“อะแฮ่ม..การประชุมในวันนี้ยังไม่สามารถเริ่มต้นขึ้นได้เพราะยังไม่ครบองค์ประชุมพะย่ะค่ะ”

เคานต์ผู้ดําเนินการประชุมละสายตาออกจากองค์ชายรัชทายาทและกล่าวต่อไป

“ท่านผบ.คาร์ล..ทําไมท่านถึงเข้าร่วมประชุมเพียงคนเดียวล่ะ? จากที่เราแจ้งให้ท่านทราบต้องมีคนของท่านอีกสองคนเข้าร่วมไม่ใช่รึ?”

เคานต์เหลือบไปมองดยุคโอรเซน่าผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มของตน ดยุคโอรเซน่าพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อให้เขาดําเนินการต่อไป เคานต์ยืดอกเรียกความมั่นใจก่อนจะจ้องเขม็งไปที่คาร์ลทันทีเมื่อเห็นว่าดยุคโอรเซน่ายังคงยืนกรานให้เขาดําเนินการต่อไป

จากนั้นเขาก็สะดุ้งโหยง

“นี่มันอะไรกัน…?!”

ทําไมความรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นสัตว์กินพืชถึงจู่โจมเข้ามาหาเขาล่ะ? มันไม่ใช่แค่สัตว์กินพืชในสถานการณ์ธรรมดาๆแต่ยังเป็นสัตว์กินพืชที่กําลังเผชิญหน้ากับสัตว์กินเนื้อในขณะนี้อีกต่างหาก

มนุษย์ธรรมดาๆไม่สามารถทําอะไรได้มากนักหากต้องเผชิญหน้ากับรังสีเหนืออํานาจ แม้แต่ราชาเผ่าวาฬเช่นชิกเลอร์ก็ยังรับมือกับออร่านี้ได้ยากเช่นกัน

ตึกโตึกโตึกโตึก!

คาร์ลเริ่มสาวเท้าออกจากกลางห้องก่อนจะหยุดลงใกล้ๆกับเคานต์ผู้นี้

เคานต์รีบหลบสายตาที่คาร์ลจ้องมาก่อนจะก้มศีรษะลงทันที มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ เขารู้สึกว่าตัวเองจะหายใจไม่ออกถ้าไม่รีบทําเช่นนี้

เขาได้ยินเสียงของคาร์ลดังขึ้น

“เมื่อเห็นว่าท่านยังคงก้มหน้าอยู่เช่นนี้ข้าเองก็ไม่รู้จะตอบให้ใครฟังดี”

เคานต์กัดริมฝีปากของตนแน่นขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามสายตาของเขากลับต้องย้ายไปยังจุดอื่นอย่างรวดเร็ว

มันเป็นช่วงเวลานั้น

อัลเบิร์กหันไปมองประตูทางเข้าก่อนจะเลิกคิวสูง

แอ๊ดดดดด!!!

ประตูถูกเปิดออกเบาๆ

ประตูนี้ควรได้รับการอารักขาจากอัศวินที่ทําหน้าที่อยู่ด้านนอก ประตูไม้ขนาดใหญ่เพียงถูกแง้มเข้ามาเล็กน้อยเท่านั้น

อัลเบิร์กรู้ดีว่าเป็นฝีมือคนของคาร์ล ปรมาจารย์ดาบและหมอผีเป็นคนทําเช่นนั้น นั่นคือเหตุผลที่อัศวินยอมให้พวกเขาแง้มประตูเข้ามาได้

อัลเบิร์กคิดถูกแล้ว

เชวฮันยืนอยู่หน้าประตูที่ถูกแง่มเข้ามาในมือของเขาถือดาบประจํากายเอาไว้ ร่างของเขาเอนเข้ามาเล็กน้อยคล้ายเงี่ยหูฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องประชุม

ก่อนที่เสียงของคาร์ลจะทยอยเข้ามาในหูของเชวฮันและแมรี่เป็นระยะๆ

คาร์ลไม่ได้กวาดสายตาไปที่อื่นเขาเพียงจ้องนิ่งๆไปยังเคานต์ผู้ดําเนินการประชุมเท่านั้น แน่นอนว่าเคานต์ไม่สามารถสบตากับคาร์ลได้และต้องยืนฟังสิ่งที่คาร์ลพูดออกมาเท่านั้น

“ข้าขอให้เครื่องแบบประจํากองทัพเรือเป็นสีดํา”

มันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด

ประโยคของคาร์ลทําให้ขุนนางหลายๆคนเริ่มสงสัยว่าเขากําลังพยายามจะสื่อถึงอะไร อย่างไรก็ตามพวกเขาทําได้แค่อ้าปากค้างเมื่อได้ยินประโยคต่อไป

“ด้วยวิธีนี้จะทําให้เราไม่สามารถบอกได้ว่าเลือดของเราไหลออกมาเยอะเพียงใด”

ใบหน้าไร้อารมณ์ของคาร์ลค่อยๆกวาดสายตาไปมองขุนนางคนอื่นๆ

“เลือดบนกําแพงเมืองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังไม่แห้งสนิทดีและมหาสมุทรทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือก็ยังเอ่อล้นไปด้วยเลือด”

ทุกคําที่ผู้บัญชาการทหารของภาคตะวันออกเฉียงเหนือพูดออกมา เหล่าขุนนางได้ยินมันชัดทุกคํา มันทําให้พวกเขานึกถึงภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในอาณาเขตเฮนิตัสผ่านทางอุปกรณ์เวทย์สื่อสาร พวกเขาไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจและความตกใจไว้ได้เมื่อมองเห็นการต่อสู้ดังกล่าว

แต่ตอนนี้…