ตอนที่ 103-2 เขามีลูกแล้วหรือ

เฉียวเวยกุมหน้าผาก

ไม่นานเฉียวเวยก็พบว่าจีหมิงซิวพาซื่อจื่อน้อยเดินไปทางประตูทิศเหนือ

นางจำที่ชุยกงกงแนะนำกับนางได้ พระราชวังหลวงมีทั้งหมดแปดประตูสิบสามหอ ประตูทิศใต้เปิดให้ไทเฮา ฮองเฮาและรัชทายาทเท่านั้น ขุนนางใหญ่ทั้งหลายยามเข้าประชุมต้องเดินไปประตูทิศตะวันออก องค์ชายทั้งหลายเข้าวังต้องเดินไปประตูทิศเหนือ ส่วนบรรดาองค์หญิงต้องเป็นประตูตะวันตก จีหมิงซิวมิใช่องค์ชาย แต่กลับเดินไปประตูทิศเหนือ เพราะเหตุใดกัน

เฉียวเวยสงสัยจากก้นบึ้งหัวใจ

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงแถลงให้ฟัง “นายท่านได้รับพระราชทานอนุญาตเป็นพิเศษจากฮ่องเต้ เข้าประตูใดก็ได้”

“นายท่านของท่านเบื้องหลังมิธรรมดาเสียจริง”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหัวเราะแต่ไม่ตอบ ตระกูลจีเป็นตระกูลที่เรืองอำนาจมาหลายร้อยปี เป็นตระกูลขุนนางนับตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนจนมาถึงราชวงศ์ต้าเหลียง ตระกูลใหญ่ในราชวงศ์ก่อนทั้งหมดต่างล่มสลายไม่ก็อ่อนแอลงหมดสิ้นแล้ว มีเพียงตระกูลจีแห่งเดียวที่ยังคงเป็นดวงตะวันกลางฟ้า นายน้อยไม่เพียงเป็นหลานชายคนโตสายตรงของตระกูลจี แต่ยังเป็นเสนาบดีผู้ทรงอำนาจที่อายุน้อยที่สุดของต้าเหลียง มิต้องพูดถึงประตูทิศเหนือ ต่อให้ประตูทิศใต้นายน้อยก็เดินเข้าได้

เวลาผ่านไปราวหนึ่งจิบชา จีหมิงซิวก็เดินออกมา ในมือถือกล่องลวดลายงดงามใบหนึ่งออกมาด้วย

“จัดการเสร็จแล้วหรือ” เฉียวเวยถามอย่างวิตกกังวล นาง ‘ลักพาตัว’ ซื่อจื่อน้อยแห่งจวนเจาอ๋องไปเชียวนะ มีความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้ ต่อให้นางไม่ตายก็คงต้องเสียหนังไปสักชั้นหนึ่ง

จีหมิงซิวพยักหน้า ส่งกล่องงงดงามในมือให้นาง

“นี่คือสิ่งใด” เฉียวเวยเปิดกล่องก็พบมุกราตรีเม็ดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่ง ชาติก่อนนางเคยเห็นมุกราตรีแต่ในโทรทัศน์เท่านั้น ยังคิดว่าเป็นเรื่องโกหกเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะมีจริง แล้วยังใหญ่ปานนี้ กลมเช่นนี้ สว่างถึงขนาดนี้อีก!

จีหมิงซิวเห็นดวงตาเปล่งประกายคู่นั้นของนาง มุมปากก็พลันขยับนิดๆ “ฮ่องเต้พระราชทานให้เจ้า ขอบพระทัยที่เจ้าดูแลซื่อจื่อน้อย”

เฉียวเวยตกตะลึง “ฮ่อง ฮ่องเต้หรือ ท่านทูลพระองค์ว่าอย่างไร”

จีหมิงซิวขึ้นไปนั่งบนรถม้า “บอกความจริง ซื่อจื่อน้อยซุกซนปีนเข้าไปในรถม้า เจ้าดูแลเขาหนึ่งคืน เช้าวันนี้จึงรีบพาเขามาส่งกลับเมืองหลวง”

เฉียวเวยเบิกตาโตอย่างเหลือเชื่อ “ฮ่องเต้…เชื่อจริงหรือ”

จีหมิงซิวกวาดสายตามาที่กล่องหรูหราในมือนาง “ไม่เชื่อ ของรางวัลของเจ้าจะมาจากที่ใดเล่า”

“ก็ถูก” เฉียวเวยคิดไม่ถึงว่าปัญหาที่ทำให้ตนกลัดกลุ้มมาหนึ่งวันหนึ่งคืนจะถูกแก้ไขอย่างง่ายดายเช่นนี้ นางถอนหายใจอย่างโล่งอก ในใจคิดว่าฮ่องเต้ช่างทรงพระปรีชาจริงแท้ โดยที่มิทราบเลยว่าหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น น่ากลัวว่าคงถูกฮ่องเต้ลากออกไปตัดศีรษะแล้ว เพราะเป็นจีหมิงซิวผู้ได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ยิ่งนักจึงทำได้สำเร็จอย่างราบรื่น

เฉียวเวยหยิบมุกในกล่องหรูหราออกมาเล่น ชอบใจจนวางไม่ลง

จีหมิงซิวกล่าวอีกว่า “ฮ่องเต้ยังตรัสว่าหากเจ้าอยากขายก็ขายได้ตามใจ”

เฉียวเวยสำลักแล้วเก็บไข่มุกอย่างดี จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ใดจะขายกัน ข้ามิขาดแคลนเงินเสียหน่อย! ข้าจะเก็บไว้อย่างดี อนาคตเป็นสมบัติตกทอดของตระกูล”

รถม้าแล่นโคลงเคลง

“ไปที่ใดขอรับ นายท่าน” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม

“เรือนสี่ประสาน”

“หมู่บ้านซีหนิว”

ทั้งสองคนตอบคนละอย่าง

ผู้ที่กล่าวว่าเรือนสี่ประสานคือจีหมิงซิว ผู้ที่กล่าวว่าหมู่บ้านซีหนิวคือเฉียวเวย

“สรุปไปที่ใดกันแน่ขอรับ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขมวดคิ้ว

จีหมิงซิว “หมู่บ้านซีหนิว”

เฉียวเวย “เรือนสี่ประสาน”

ตอบกันคนละอย่างอีกหน สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ คำตอบของทั้งสองคนสลับกัน

เฉียวเวยอับอายยิ่งนัก

จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ แล้วขยับเข้ามาใกล้ แววตาของนางตระหนกลนลานในพริบตา จีหมิงซิวชอบมองนางวางท่าแสร้งทำเป็นสงบทั้งที่แววตาลนลานแทบปิดไม่มิดยิ่งนัก “คืนนี้ค้างสิ”

เฉียวเวยแสร้งยกถ้วยชาขึ้นมา “ค้างทำอันใดเล่า”

“แลกเปลี่ยนประสบการณ์?”

“พรวด…”

เฉียวเวยห้ามตนเองมิทัน พ่นน้ำชาใส่เต็มหน้าเขา

“ขออภัยๆ ข้ามิได้ตั้งใจ ข้าเพียงไม่อยากพัฒนาความสัมพันธ์เร็วปาน…อื้อ…”

ยังมิทันเอ่ยจบ ก็ไม่มีโอกาสให้พูดแล้ว

ในที่สุดรถม้าก็แล่นมาถึงหมู่บ้านซีหนิว ตอนเฉียวเวยลงจากรถ เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อย เส้นผมไม่ยุ่งเหยิงสักนิด สีหน้าเป็นการเป็นงาน ส่วนสีหน้าของจีหมิงซิวเป็นการเป็นงานยิ่งกว่านาง

“คุณชายจี ข้าขอตัวก่อน” เฉียวเวยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

จีหมิงซิวตอบอย่างเคร่งขรึมเช่นกัน “อืม แม่นางเฉียวเดินทางระวังด้วย”

หลังจากบอกลาอย่างห่างเหินยิ่งนักเสร็จ เฉียวเวยก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ส่วนจีหมิงซิวขึ้นมาบนรถม้า

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองแผ่นหลังของแม่หนูเคลื่อนไกลออกไป แล้วมองดูนายน้อยผู้นั่งนิ่งดั่งเขาไท่ซาน หลังจากนั้นกวาดสายตามองภายในตัวรถม้าที่เละเทะ ผ้าปูเตียงมิทราบกลิ้งไปอยู่ที่ใด ข้าจะถือว่าข้าเชื่อก็แล้วกันนะ!

เฉียวเวยแสร้งทำหน้าขึงขังจนกลับมาถึงบ้านตระกูลหลัว ลูกๆ อาบน้ำเสร็จนอนอยู่บนเตียงแล้ว นางแวะไปดูลูกก่อน หลังจากนั้นจึงเข้าครัวต้มน้ำร้อนเตรียมอาบน้ำ ชุ่ยอวิ๋นบังเอิญมาทำอาหารมื้อดึกให้หลัวหย่งจื้อพอดี เมื่อเห็นนาง ดวงตาพลันเป็นประกาย “น้องสาวกลับมาแล้ว! หิวหรือไม่ ข้าจะทำเกี๊ยวให้พี่ใหญ่ของเจ้า ห่อเพิ่มให้เจ้าสักหลายตัวดีหรือไม่”

“ดีเจ้าค่ะ ขอบคุณพี่สะใภ้” เฉียวเวยยิ้มหวาน แล้วตักน้ำจากตุ่ม ใส่ลงในหม้อยกขึ้นต้ม จากนั้นจึงนั่งลงช่วยชุ่ยอวิ๋นเติมฟืน

ชุ่ยอวิ๋นห่อเกี๊ยวพลางกวาดสายตามองน้องสาวของตน ทันใดนั้นคิ้วก็ขมวด “น้องสาว ปากเจ้าเหตุใดจึงบวมนัก ร้อนในหรือไร”

เฉียวเวยรีบยกหลังมือปิด กระแอมครั้งหนึ่งก็ตอบว่า “กินเผ็ดมากเกินไปน่ะ”

“เช่นนั้นเอง” ชุ่ยอวิ๋นพยักหน้า แล้วหย่อนเกี๊ยวที่ห่อเสร็จลงในหม้อ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะทำน้ำจิ้มให้เจ้าต่างหาก ของพี่ชายเจ้าตรงนี้รสเผ็ด”

“รบกวนพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว” เฉียวเวยเอ่ยงึมงำ

อากาศร้อนแล้วยังนั่งหน้าเตาไฟ เฉียวเวยร้อนจนเหงื่อท่วมตัวอย่างรวดเร็ว นางจึงกระพือคอเสื้อพัด ชุ่ยอวิ่นเห็นรอยแดงบนลำคอของนาง “เจ้าถูกแมลงกัดหรือ”

เฉียวเวยหลบตา ยกมือขึ้นลูบลำคอ “ป…เปล่า กินของที่แพ้แล้วเผลอไปเกา โอ้ย คันนักเชียว ข้าไปทายาสักหน่อย!”

กล่าวจบก็เผ่นแน่บ

วันรุ่งขึ้น เยี่ยนเฟยเจวี๋ยส่งโถที่ลมลอดผ่านไม่ได้มาให้พร้อมกับลิ้นจี่พันชั่ง โถเป็นสิ่งที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยออกแบบเอง รับประกันว่าน้ำสักหยด อากาศสักฟองก็ลอดออกมามิได้ ส่วนลิ้นจี่ทั้งหมดใช้ม้าเร็วเร่งหวดแส้ขนมาจากทางใต้ สดใหม่จนน้ำหยดออกมา

เฉียวเวยจ่ายค่าสินค้ายี่สิบอีแปะต่อหนึ่งชั่งตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้าให้แก่เยี่ยนเฟยเจวี๋ย

ยามเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองดูเงินไม่กี่ตำลึงหรอมแหรมในอุ้งมือ สีหน้าก็น่าดูชมไม่น้อย

เพื่อหนึ่งรอยยิ้มของคนงาม นายน้อยช่างทุ่มทุนนัก

เมื่อเถ้าแก่หรงเข้ามาในหรงจี้แล้วพบลิ้นจี่เต็มลัง ลังแล้วลังเล่าอยู่ในเรือนด้านหลัง เขาก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง “ลิ้นจี่มากมายเช่นนี้มาจากที่ใด”

เสี่ยวลิ่วยัดลูกหนึ่งเข้าปาก แล้วตอบอย่างมีความสุข “พี่เฉียวซื้อมาขาย! หนึ่งชั่งยี่สิบอีแปะ ราคาถูกนัก! พี่เฉียวบอกวาหากข้าอยากได้จะขายให้ราคาทุน ข้าเพิ่งซื้อมายี่สิบชั่งจะขนกลับไปให้พ่อแม่กับเพื่อนบ้านทั้งหลายกิน”

เถ้าแก่หรงตะลึง “ชั่งละกี่ กี่ กี่อีแปะนะ”

“ยี่สิบอีแปะ!” เสี่ยวลิ่วกินอีกลูก พี่เฉียวบอกว่าลองกินไม่คิดเงิน เขาลองกินไปครึ่งชั่งแล้ว หวานนักจริงๆ!

เถ้าแก่หรงเหมือนถูกสายฟ้าฟาด เหนือศีรษะเกือบจะมีควันดำลอยขึ้นมา ลิ้นจี่ชั่งละห้าร้อยอีแปะที่เมืองหลวง ด้านหลังเรือนของเขากลับขายเพียงยี่สิบอีแปะ เมื่อวานเขาจ่ายเงินห้าสิบตำลึงซื้อลิ้นจี่มาหนึ่งร้อยชั่ง ยังไม่ลูกใหญ่เท่านี้ สดใหม่เท่านี้…

ฮือๆ ปวดใจนัก

ลิ้นจี่อยู่ทางใต้ขายมิได้ราคา ของที่กินไม่หมดถูกโยนทิ้งเสียอยู่บนถนนกองพะเนิน แต่อยากขนมาเมืองหลวงต้องจ่ายตำลึงทอง ยุคโบราณการขนส่งมีข้อจำกัด ลิ้นจี่หนึ่งร้อยชั่ง ขนส่งมาได้ครึ่งทางก็เสียไปครึ่งค่อนแล้ว เมื่อมาถึงมือพ่อค้าในท้ายที่สุด เหลือส่วนที่สดใหม่เพียงยี่สิบชั่งก็ต้องขอบคุณพระพุทธองค์แล้ว

เถ้าแก่หรงซื้อรวดเดียวสองร้อยชั่ง มอบเป็นของขวัญให้ญาติทั้งหลายคนละลัง

เฉียวเวยเองก็เอาไว้หนึ่งร้อยชั่ง แบ่งให้คนงานทั้งหลายในหรงจี้หนึ่งร้อยชั่ง จากนั้นส่วนที่เหลือทั้งหมดขายด้วยราคาหนึ่งร้อยอีแปะต่อหนึ่งชั่งทั้งหมด ไม่เพียงถูกกว่าเมืองหลวง ยังสดกว่าเมืองหลวงอีก เวลาไม่ถึงสองวัน ลิ้นจี่เจ็ดร้อยชั่งก็ขายหมดเกลี้ยง

เฉียวเวยนั่งนับเงินอยู่ในห้องบัญชี นับอย่างสุขสำราญนัก “….หนึ่งร้อยสอง หนึ่งร้อยสาม หนึ่งร้อยสี่…ทั้งหมดเจ็ดสิบเอ็ดตำลึงหนึ่งร้อยสี่สิบแปดอีแปะ”

ตอนขายลิ้นจี่ไม่กี่สิบชั่งสุดท้าย มีพ่อค้าใหญ่หลายคนให้ราคาแข่งกัน จากราคาแปดสิบอีแปะจึงปั่นขึ้นไปถึงแปดร้อย นางจึงได้เงินก้อนใหญ่มาอีกก้อน

นับรวมเงินก้อนนี้ด้วย ค่าเครื่องเรือนก็จ่ายหมดล่วงหน้าได้แล้ว!

“พี่เฉียว มีคนมาหาท่าน” เสี่ยวลิ่วตะโกนบอกจากด้านนอก

“ผู้ใดหรือ” เฉียวเวยเก็บเงินให้เรียบร้อย

เสี่ยวลิ่วบอกว่า “แม่นางคนหนึ่ง บอกว่าแซ่ตัวหลัว”

เฉียวเวยมึนงง ตัวหลัวหมิงจูมีมารยาทเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด มาหานางยังให้เสี่ยวลิ่วมาแจ้งก่อน สาวน้อยคนนั้นมิใช่ควรจะตรงดิ่งเข้ามาในห้องบัญชีของนางเหมือนลมพายุหรอกหรือ

เฉียวเวยรอจนอีกฝ่ายเข้ามาในห้องจึงเข้าใจว่าที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น นางมิใช่ตัวหลัวหมิงจู แต่เป็นตัวหลัวจื่ออวี้ผู้มีวาสนาได้พบหน้ากันครั้งหนึ่งที่พระราชวังต่างหาก

ดวงตาของเฉียวเวยทอประกายประหลาดใจอยู่ลึกๆ แต่บนใบหน้ากลับเรียกรอยยิ้มการค้าตามมาตรฐานขึ้นมา “ลมอันใดหอบคุณหนูตัวหลัวมาเจ้าคะ คุณหนูตัวหลัวต้องการจองโต๊ะหรือว่า…”

ตัวหลัวจื่ออวี้เอ่ยเสียงเบา “ข้ามาหาเจ้าด้วยมีเรื่องส่วนตัวเล็กน้อย”

เฉียวเวยส่งสายตาให้เสี่ยวลิ่ว เสี่ยวลิ่วจึงปิดประตู

เฉียวเวยรินชาเย็นให้นางด้วยตนเอง แล้วชี้เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ขออภัยด้วย ข้าวของธรรมดาไปสักหน่อย ลำบากคุณหนูตัวหลัวแล้ว”

“แม่นางเฉียวมิต้องเกรงใจ ข้ามาบอกไม่กี่ประโยคก็จะไป” ตัวหลัวจื่ออวี้นั่งลงด้วยท่วงท่าสง่างาม นางเป็นสตรีผู้มีกิริยางดงามยิ่งกว่าคุณหนูเมิ่งที่เคยพบกันในหอเย่ว์หม่าน ตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั่วทั้งร่างไม่มีที่ใดไม่แผ่ความสง่างามและความอ่อนหวานออกมา

หากตนเป็นบุรุษก็คงชอบสตรีเช่นนี้เป็นแน่ เฉียวเวยคิดในใจ แล้วมองนางครู่หนึ่ง “คุณหนูตัวหลัวต้องการบอกสิ่งใดกับข้า”

ตัวหลัวจื่ออวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงเบา “ข้ากับยิ่นอ๋องหมั้นกันแล้ว เรื่องนี้มิทราบว่าเจ้าทราบหรือไม่”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว ที่แท้ก็เป็นคู่หมั้นของยิ่นอ๋องนี่เอง สวรรค์ เจ้าสารเลวคนนั้นเหตุไฉนจึงได้หมั้นกับแม่นางผู้งามสง่าเช่นนี้ บุปผาปักบนกองมูลแท้ๆ

เฉียวเวยยิ้มละไม “ตอนนี้ข้าทราบแล้ว”

แพขนตาของตัวหลัวจื่ออวี้ไหวกระพือ คำพูดหลังจากนี้นางยากจะปริปากอยู่บ้าง “ข้ากับท่านอ๋อง หมั้นกันเมื่อสองปีก่อน ยามนั้นเจ้ากับท่านอ๋องไม่มีสัมพันธ์ต่อกันแล้ว”

นางมิได้เข้ามาแทรกระหว่างกลางพวกเขาแท้ๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเฉียวเวย คำพูดเช่นนี้กลับไม่สามารถเอ่ยออกไปได้อย่างมั่นใจ

เฉียวเวยยิ้มละไม “ข้ากับเขาไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันทั้งสิ้น หากท่านได้ยินข่าวลืออันใดด้านนอก อยากจะมาเยือนเพื่อสืบสาวเอาความกับข้า ถ้าเช่นนั้นข้าบอกท่านได้เต็มปากเต็มคำว่าท่านมาหาผิดคนแล้ว”

ตัวหลัวจื่ออวี้รีบเอ่ย “ข้ามิได้มาสืบสาวเอาความ ขอแม่นางเฉียวโปรดอย่าเข้าใจข้าผิด”

เดิมทีเห็นนางเป็นพี่สาวของหมิงจู จึงคิดจะมีมารยาทกับนางมากสักหน่อย แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องแล้ว

เฉียวเวยยกมุมปากขึ้นนิดๆ “ข้าคนนี้เกลียดการอ้อมค้อมไปมาที่สุด มีคำใด คุณหนูตัวหลัวมิสู้กล่าวออกมาตามตรง”

ตัวหลัวจื่ออวี้รวบรวมสติ “แรกเริ่มยามทราบเรื่องของพวกท่าน ข้าเคยคิดจะถอนหมั้นกับยิ่นอ๋อง แต่มารดาข้ากล่าวว่าการหมั้นหมายกับองค์ชายมิอาจถอนได้ ข้าอยากแต่งก็ต้องแต่ง มิอยากแต่งก็ต้องแต่ง”

เฉียวเวยเอ่ยขัดนาง “ท่านแต่งหรือไม่แต่งกับเขาไม่เกี่ยวข้องกับข้า อีกอย่างระหว่างข้ากับเขาไม่มีเรื่องใดทั้งสิ้น ข้าคิดจะแต่งงานกับผู้อื่น คุณหนูตัวหลัวโปรดระวังคำพูดด้วย อย่าทำให้ผู้อื่นเข้าใจข้าผิด”

ตัวหลัวจื่ออวี้ขยำผ้าเช็ดหน้า สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย “เจ้าเป็นของท่านอ๋องแล้ว ยังคิดจะแต่งกับผู้อื่นอีกหรือ”

สามัญชนจะแต่งจะหย่าล้วนง่ายดาย แต่เชื้อพระวงศ์ไม่มีกรณีเช่นนี้มาก่อน เมื่อเข้ามาในราชวงศ์แล้ว ชั่วชีวิตก็คือราชวงศ์ อยู่ก็เป็นคนของราชวงศ์ ตายก็เป็นผีของราชวงศ์ หากมิใช่เช่นนั้น นางคงถอนหมั้นนานแล้ว

เฉียวเวยคร้านจะโต้เถียงกับนาง “หากท่านหมายความว่าไม่มีผู้ใดต้องการข้า ถ้าเช่นนั้นก็ขออภัยด้วย ตอนนี้มีแต่คนหมายจะแย่งข้า คนหนึ่งที่ไล่ตามข้าอยู่ก็คือคู่หมั้นของท่าน หากท่านต้องการจะทวงเขาคืน อย่าเสียเวลากับข้าที่นี่อีกเลย คิดหาวิธีว่าจะคว้าหัวใจเขาเช่นไรจึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง”

ตัวหลัวจื่ออวี้ส่ายหน้า “ข้ามิได้เจตนาจะทวงเขาคืน ข้าเพียงแต่ไร้ทางเลือก ตัวข้าเป็นคุณหนูตระกูลตัวหลัว บนบ่าข้ามีภาระหน้าที่ต่อตระกูล เจ้าถูกขับไล่ออกจากตระกูล เดิมทีข้ารู้สึกว่าเจ้าน่าสงสาร แต่วันนี้คิดดูแล้ว บางทีอาจเป็นเรื่องน่ายินดีก็ได้”

เฉียวเวยไม่เข้าใจความคิดชวนสับสนของคนเหล่านี้จริงๆ ความรังเกียจที่นางมีต่อยิ่นอ๋องแปะอยู่บนหน้าหมดแล้ว ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ

“คุณหนูตัวหลัว ท่านคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ ต่อให้บุรุษทั้งใต้หล้าตายสิ้น ข้าก็ไม่คิดชายตาแลคู่หมั้นของท่าน ดังนั้นท่านมิต้องกังวลว่าข้าจะพาลูกกลับจวนให้ท่านอัดอั้นตันใจ”

ตัวหลัวจื่ออวี้กัดริมฝีปาก กล่าวขึ้นว่า “ข้ายินดีเลี้ยงดูบุตรของท่านอ๋อง มองพวกเขาเสมือนหนึ่งบุตรของตนเอง”

เฉียวเวยที่กำลังดื่มชาชะงัก “มองเสมือนบุตรตน ท่านหมายถึงลูกของข้าหรือ”

“ใช่” ตัวหลัวจื่ออวี้เอ่ยอย่างยากลำบาก

หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้เฉียวเวยยังไว้หน้านางอยู่บ้างเพราะให้เกียรตินางในฐานะสตรีคนหนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่มีความคิดเช่นนั้นเหลืออยู่แม้แต่น้อยแล้ว เฉียวเวยวางถ้วยลงอย่างเย็นชา “ท่านเป็นบ้าใช่หรือไม่ ลูกข้าเกี่ยวอันใดกับเขา เขาอาศัยอะไรจะมาแย่งลูกของข้า ท่านอาศัยอะไรจะมาเลี้ยงดูลูกแทนข้า หากท่านกล้าเอ่ยวาจาพรรค์นี้ต่อ ข้าจะไม่สนใจว่าท่านเป็นพี่สาวของหมิงจูหรือไม่ ข้าจะฉีกปากท่านเสีย!”

ลูกเป็นของนาง ผู้ใดก็แย่งไปมิได้!

บิดาบังเกิดเกล้าก็ไม่ได้!

ยิ่งไปกว่านั้นยิ่นอ๋องเจ้าสารเลวคนนั้นจะเป็นบิดาของเด็กๆ ได้เช่นไร

ลูกของนางยอดเยี่ยมปานนั้น ดีงามปานนั้น มีตรงไหนเหมือนวิญญูชนจอมปลอมมือถือสากปากถือศีลผู้นั้นบ้าง

“แม่นางเฉียว ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า ข้ามิได้ดึงดันจะพรากเจ้ากับลูกจากกัน ข้าจะบอกว่า…”

ดวงตาของเฉียวเวยทอประกายเย็นเยียบ “ท่านจะว่าอะไรล้วนมิสำคัญ! ข้าไม่มีวันยกลูกให้พวกท่าน!”

ตัวหลัวจื่ออวี้กล่าวอย่างจริงใจ “แต่มิว่าอย่างไรนั่นก็เป็นเลือดเนื้อของท่านอ๋อง ในร่างของพวกเขามีสายเลือดราชวงศ์ต้าเหลียงไหลเวียนอยู่ วันหน้าหากฝ่าบาทล่วงรู้ ย่อมไม่มีทางอนุญาตให้พวกเขาอยู่ในหมู่สามัญชน”

อีกฝ่ายคิดว่านางอยากรีบเร่งเป็นแม่คนใหม่ให้ผู้อื่นหรือ นางก็ไม่อยากเหมือนกัน แต่นางมีหนทางใดเล่า เด็กก็เกิดมาแล้ว นางย่อมมิอาจทำเป็นมองไม่เห็นไปทั้งชีวิตได้

มารดาให้นางเอาอย่างเจาหวังเฟย นำบุตรอนุมาเลี้ยงดูกับตัว แล้วยังบอกอีกว่าจิ่งอวิ๋นเป็นทั่นฮวาน้อยของการสอบเสินถง จะต้องได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มากกว่าซื่อจื่อน้อยเป็นแน่

แม้นางรู้สึกกล้ำกลืน แต่ก็ทำได้เพียงยอมรับชะตา

เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็นชา “อย่าแม้แต่จะคิด! ลูกข้ามิใช่ของยิ่นอ๋อง! ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกท่านเชื้อพระวงศ์! พวกท่านอาศัยอะไรมาแน่ใจว่าพวกเขาเป็นเลือดเนื้อของยิ่นอ๋อง เพียงอาศัยใบหน้าของลูกชายข้าหรือ พวกท่านตรวจหมู่เลือดหรือยัง ตรวจ DNA หรือยัง มาอ้างว่าผู้อื่นเป็นลูกมั่วซั่วระวังฟ้าจะผ่าให้!”

“แต่เมื่อห้าปีก่อนเจ้า…”

“ข้าอะไร นอนกับเขาคืนหนึ่งหรือ ผู้ใดพิสูจน์ได้ พวกท่านอัดวีดีโอไว้หรือ พวกท่านถ่ายรูปไว้หรือ เอารูปชัดๆ มาให้ข้าดูสิ!” เฉียวเวยโกรธจัด คำพูดที่โพล่งออกมา ตัวหลัวจื่ออวี้ล้วนฟังมิเข้าใจ

ท่าทางราวกับใกล้จะคลุ้มคลั่งของนางทำให้ตัวหลัวจื่ออวี้หวาดกลัวยิ่งนัก “เจ้า…เจ้าอย่าเพิ่งมีโทสะ มีอันใดพูดจากันดีๆ”

เฉียวเวยชักมีดสั้นออกมา “ผู้ใดอยากพูดจาดีๆ กับท่าน ข้าขอเตือนท่าน ผู้ใดแย่งลูกข้า ข้าจะเอาชีวิตมัน!”

เนื้อแท้ของตัวหลัวจื่ออวี้หาใช่คนใจดำอำมหิต นางเองก็มิต้องการแย่งลูกของเฉียวเวยไป แต่นางไม่แย่ง วันหน้าฮ่องเต้ทรงทราบก็จะแย่งอยู่ดี เฉียวเวยคิดว่าตัวนางอาศัยเหลาสุราหรงจี้ อาศัยบุญคุณที่ช่วยชีวิตรัชทายาทครั้งหนึ่ง จะให้สายเลือดเชื้อพระวงศ์มาอยู่ในหมู่สามัญชนได้หรือ

“ตอนนี้ข้ามาหารือวิธีแก้ปัญหากับเจ้าด้วยดี เจ้ามิฟัง รอวันหนึ่งความแตกเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา เจ้าจะเสียใจ”

ทำให้นางโมโหไม่สำคัญ ทำให้ฝ่าบาทพิโรธนั่นจะไม่มีเงาหัว

มีดสั้นของเฉียวเวยจรดลงบนลำคออ่อนนุ่มของนาง “ท่านก็ลองกลับไปทำให้เป็นเรื่องใหญ่ดูสิ ต่อให้ข้าตายก็ไม่ยอมให้พวกท่านเอาลูกไป!”

ณ เรือนสี่ประสานอันเงียบสงัด จีหมิงซิวกำลังพลิกดูรูปเครื่องเรือนอยู่ในห้อง ‘เขา’ กำลังเดินทางไปจัดการปัญหาน้ำที่เจียงหนาน ระหว่างทางติดโรคร้ายจึงจำต้องกลับเมืองหลวง ฮ่องเต้พระราชทานอนุญาตเป็นพิเศษให้เขาพักรักษาตัวอยู่บ้าน ในช่วงนี้มิจำเป็นต้องเข้าประชุม แต่ละวันจึงเงียบสงบยิ่งนัก

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดผิงกั่วเดินเข้ามา

“เชียนอินกลับมาแล้วหรือ” จีหมิงซิวถามอย่างมิใคร่ใส่ใจ

“กำลังเดินทางกลับขอรับ ‘อัครมหาเสนาบดี’ ติดโรคร้ายเดินทางกลับเมืองหลวงมาแล้ว หากเขาปรากฏตัวที่เจียงหนานอีก มิทำคนตกใจตายหรอกหรือ แต่จะมาเมืองหลวงหรือไม่ก็สุดรู้ เจ้าเด็กคนนั้นติดเล่นมากท่านก็มิใช่จะไม่ทราบ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดผิวกั่วคำหนึ่งแล้วเดินมาหน้าโต๊ะ “โอ๊ะ ดูเตียงหรือ สบายอกสบายใจเสียจริง แม่หนูคนนั้นใกล้ร้อนใจตายแล้วกระมัง”

จีหมิงซิวแววตาชะงักวูบ “นางเป็นอันใด”

“คุณหนูตระกูลตัวหลัวบุกมาหานางจะเอาลูก นางร้อนใจจนจะร้องไห้” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยกลับดำเป็นขาว ความจริงก็คือผู้ที่เกือบร่ำไห้คือคุณหนูตัวหลัว แม่หนูคนนั้นถือมีดขึ้นจ่อทำคนเกือบตกใจตาย

จิ๊ๆ แม่หนูช่างห้าวหาญเสียจริงเชียว เขาชอบใจนัก!

จีหมิงซิวไม่พูดสักคำ ลุกพรวดเดินออกไปทันที

นับตั้งแต่จีหมิงซิวเกือบตายมาครั้งหนึ่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็มิกล้าทิ้งเขาไว้คนเดียวอีก งานสารถีของหมิงอันถูกแย่งมาจนหมด

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดผิงกั่วสามคำก็หมดแล้วไล่ตามมา “ท่านว่ายิ่นอ๋องร้ายกาจหรือไม่ คืนเดียวก็ได้ตั้งสอง นายน้อย ท่านทำตั้งสามวันสามคืน เหตุใดมิมีเด็กออกมาสักคน”

เท้าของจีหมิงซิวหยุดกึก “เจ้าพูดเหลวไหลอันใด”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอุดปาก ‘ซวยแล้ว เขาเหมือนจะหลุดปากพูดไปเสียแล้ว เขารับปากเฟิ่งชิงเกอไว้แล้วว่าจะเก็บเป็นความลับ!’

จีหมิงซิวมองเขาด้วยสายตาน่ากลัว แล้วเอ่ยเน้นย้ำทีละคำ “เมื่อครู่เจ้าพูดอันใด พูดให้ข้าฟังอีกรอบสิ”