ตอนที่ 270 วางกับดัก

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

นายทหารระดับสูงที่ประจำตำแหน่งในกองพลที่ยี่สิบสามต่างงุนงงกับคำสั่งของนายพลหลิงเซียวอย่างยิ่งยวด ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำสูงสุดของกองพลหนึ่งแต่พาทีมไปคุมการทดสอบเล็กๆ ที่ไม่อาจเล็กได้อีกด้วยตัวเอง นี่ย่อมเป็นการลดตัวไม่สมสถานะของผู้บัญชาการกองพลแน่นอน

ถึงแม้สายตาของนักเรียนลูกเสือต่างๆ เห็นว่าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเป็นสถานที่พวกเขาเคารพนับถือ แต่สำหรับกองพลต่างๆ แล้ว ต่อให้นักเรียนของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งมีพรสวรรค์อีกแค่ไหนก็ไม่มีทางดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้มากนัก…การประเมินหลายครั้งต่อปีเป็นเพียงงานประจำของกองพล ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้พวกเขาเห็นความสำคัญตรงไหนเลย…

แน่นอนว่าถ้าหากอัจฉริยะแห่งยุคปรากฏตัวขึ้นมา กองพลต่างๆ ย่อมเปลี่ยนแปลงท่าทีเฉื่อยชาแต่เดิมของพวกเขา แล้วส่งนายทหารระดับสูงที่มีอำนาจอย่างแท้จริงนำทีมมาแย่งชิงคนแน่นอน ถ้าหากเป็นแบบนั้น การที่นายพลหลิงเซียวพาทีมไปด้วยตัวเองก็ยังมีแรงโน้มน้าวใจได้ระดับหนึ่ง แต่ว่าปีนี้ไม่ได้ยินว่าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งมีบุคคนที่โดดเด่นเหนือใครอะไรเลย ในสายตาของพวกเขาการเดินทางของนายพลหลิงเซียวในครั้งนี้เป็นการเดินทางที่ได้ไม่คุ้มเสีย ไม่สู้อยู่ที่ศูนย์บัญชาการทะเลาะกับกองพลต่างๆ รับบุคคลที่มีความสามารถยังจะได้ผลประโยชน์มากกว่า

อย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างเป็นคนที่ถูกส่งมาจากกองพลต่างๆ ไม่ใช่คนสนิทของนายพลหลิงเซียว ดังนั้นถึงแม้ในใจพวกเขาจะคัดค้านต่อการตัดสินใจที่อยู่เหนือความคาดหมายของนายพลหลิงเซียว แต่มีไม่กี่คนที่กล้าเอ่ยปากค้าน ต่อให้มีหลายคนอยากท้วงติง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนของนายพลหลิงเซียว พวกเขาก็พูดไม่ออกเหมือนกัน…แค่กๆๆ พวกเขาจำเป็นต้องมีการความกล้าและจิตใจแน่วแน่ในการพูดคำว่า ‘ไม่’ กับใบหน้ายิ้มแย้มนั้น

ท้ายที่สุดย่อมไม่มีใครคัดค้านการตัดสินใจนี้ หลิงเซียวกลายเป็นหัวหน้าของทีมประเมินได้อย่างง่ายดายมาก นี่ทำให้หลิงเซียวลอบยินดีกับตัวเอง อันที่จริงการที่ในกองพลไม่มีคนสนิทอะไรก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน…

แน่นอนว่าหลิงเซียวยังเป็นคนมีเหตุผลอยู่ เขารู้ว่าใช้สถานะผู้บัญชาการกองพลของเขาไปเข้าร่วมการประเมินเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาก็เลยปกปิดชื่อนามสกุลไว้ ค้นหาชุดเครื่องแบบพลตรีสมัยก่อนของเขาออกมาสำหรับการเดินทาง นี่ทำให้บรรดาทหารของกองพลที่ยี่สิบสามโล่งอกกันยกใหญ่ ถึงแม้การที่พลตรีนำทีมไปก็ดูเกินเลยอยู่บ้างเหมือนกันแต่ก็ยังพอไปไหวไม่ได้ดูเกินเลยมากไป ไม่ขายหน้ากองพลที่ยี่สิบสามของพวกเขามากนัก

พอหลานลั่วเฟิ่งรู้การตัดสินใจของหลิงเซียว ในใจก็ทั้งดีใจและก็ทุกข์ใจ เธอดีใจที่หลิงเซียวสามารถไปโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเพื่อดูสถานการณ์ของหลิงหลานลูกสาวพวกเขากับตาตัวเอง แต่เธอก็ลอบเสียใจที่ลูกสาวไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะที่แท้จริง จำเป็นต้องปลอมตัวเป็นผู้ชายอยู่ในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง คลุกคลีอยู่กับพวกผู้ชายอย่างน้อยสี่ปี…

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิงเซียวก็เจอโศกนาฏกรรมอีกครั้ง คืนวันนั้นเขาถูกไล่ออกจากห้องนอนไปอยู่ในห้องหนังสือทั้งคืนอีกแล้ว…แน่นอนว่า หลิงเซียวบอกอย่างดูดีว่าเขาต้องสะสางงาน แต่ความจริงทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจว่าคืออะไร

สุดท้ายตอนที่หลิงเซียวออกเดินทาง หลานลั่วเฟิ่งก็สั่งหลิงเซียวให้นำของในกล่องขนาดใหญ่หลายใบไปด้วยอย่างเฉียบขาด สั่งหลิงเซียวว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องมอบให้ถึงมือหลิงหลาน ส่วนจะให้ยังไงนั้น นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาที่หลานลั่วเฟิ่งต้องไปขบคิดแล้ว

หลิงเซียวไม่สามารถปฏิเสธคำขอของหลานลั่วเฟิ่งได้ เขาจึงนำของพวกนี้ขึ้นยานรบทหารท่ามกลางเสียงหัวเราะเจื่อนๆ…เรื่องที่หลิงเซียวต้องกลัดกลุ้มเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องแล้ว นั่นก็คือส่งของมากมายขนาดนี้ให้หลิงหลานยังไงโดยที่คนอื่นไม่รู้!

…….

เวลานี้หลิงหลานไม่รู้เลยว่า พ่อของเธอจะใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัวปลอมแปลงสถานะเข้ามาที่โรงเรียนทหารเพื่อคุมการประเมิน ตอนนี้หลิงหลานกำลังถูกเหตุการณ์คับขันยั่วโทสะอยู่…

ลั่วล่างที่เดิมทีต้องใช้เวลาพักฟื้นอย่างน้อยหนึ่งเดือนก็กลับมากระโดดโลดเต้นได้ในสิบวันให้หลังเนื่องจากฝีมือของหลี่ซื่ออวี๋

หลิงหลานไม่วางใจก็เลยตรวจสอบร่างกายของลั่วล่างด้วยความจริงจัง ก่อนจะพบว่าเขากลับมาแข็งแรงสมบูรณ์แล้วจริงๆ ไม่มีอาการตกค้างใดๆ เลย สิ่งที่ทำให้หลิงหลานประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ คุณสมบัติร่างกายของลั่วล่างเพิ่มขึ้นจากพื้นฐานที่มีอยู่ก่อนไม่น้อยเลย นี่ทำให้หลิงหลานสงสัยเกี่ยวกับหลี่ซื่ออวี๋ขึ้นมา ไม่รู้ว่าหลี่ซื่ออวี๋ใช้วิธีการอะไรทำให้ร่างกายของลั่วล่างฟื้นฟูกลับมาได้ดีขนาดนี้…

บางทีหลี่ซื่ออวี๋คือคนที่สามารถร่วมมือด้วยกันได้! หลิงหลานพอใจกับวิธีการรักษาของหลี่ซื่ออวี๋อย่างยิ่ง การผูกมัดแพทย์ทหารที่เก่งกาจสักคนคือเรื่องจำเป็นเพื่อรับรองความปลอดภัยในชีวิตของทีมเธอ มือขโมยของหลิงหลานยื่นไปทางหลี่ซื่ออวี๋โดยไม่ลังเล

ตอนนี้เอง หลี่ซื่ออวี๋ที่กำลังวิจัยข้อมูลร่างกายของฉีหลงกับหลี่อิงเจี๋ยในศูนย์รักษาพลันจามออกมาอย่างรุนแรงทีหนึ่ง นี่ทำให้อาจารย์ที่อยู่ข้างๆ เขาเป็นห่วงไม่หยุด ช่วงนี้ศิษย์รักของเขาเหนื่อยมากเกินไปหรือเปล่า ภูมิคุ้มกันร่างกายเลยลดลง?

ความกังวลของอาจารย์ก็ทำให้หลี่ซื่ออวี๋ไม่แน่ใจอยู่บ้าง เขาก็เลยรีบตรวจสอบร่างกายทั่วทั้งร่างให้ตัวเองก่อนจะพบว่าดัชนีต่างๆ ของร่างกายอยู่เหนือเส้นมาตรฐาน นี่ทำให้หลี่ซื่ออวี๋งุนงงมาก ทำไมจู่ๆ เขาถึงจามออกมา? ในฐานะที่เขาเป็นนักเรียนดีเด่นของภาควิชาวิจัยการแพทย์ทหาร เขาให้ความสำคัญกับสัญญาณทุกอันที่ร่างกายมอบให้เขาอย่างยิ่งยวด…

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อตรวจสอบออกมาแล้วว่าไม่เป็นไร เขาที่กำลังยุ่งก็รีบโยนการจามนี้ออกไปให้พ้นจากสมองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จมอยู่ในวิธีการรักษาที่เขาค้นคว้าออกมาใหม่อีกครั้ง เขามองไปยังสองคนที่อยู่ในแคปซูลรักษา ในใจอดหัวเราะเยาะหึๆ ไม่ได้ จะต้องให้สองคนนี้ได้ลิ้มรสความร้ายกาจของยายีนดัดแปลง S ดีๆ ให้ได้!

เวลานี้เขาอดเสียใจที่ลั่วล่างหายเร็วเกินไปไม่ได้ ไม่นึกเลยว่ายายีนดัดแปลง S มีการตอบสนองที่ไม่เหมือนกันบนตัวเขา นี่ทำให้ประหลาดใจสุดขีด เสียดายที่อาการบาดเจ็บของลั่วล่างไม่ได้หนักมาก ยายีนดัดแปลง S หลอดเดียวก็ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นฟูกลับมาเกือบหมดแล้ว ทำให้เขาไม่มีโอกาสใช้ครั้งที่สอง และก็ทำให้เขาขาดตัวทดลองยาไปหนึ่งคน

ขณะที่ทางด้านหลี่ซื่ออวี๋กำลังเสียใจไม่หยุดนั้น ลั่วล่างก็ได้รับผลประโยชน์มหาศาลเพราะยายีนดัดแปลง S หนึ่งหลอด ภารกิจฝึกฝนที่เดิมทีลั่วล่างฝืนทำด้วยความยากลำบาก ตอนนี้กลับทำสำเร็จได้โดยที่ไม่สิ้นเปลืองแรงสักนิดเดียว นี่ทำให้อาจารย์แต่ละคนที่รับผิดชอบฝึกฝนความแข็งแกร่งของร่างกายวางใจแล้ว พวกเขากลัวว่าลั่วล่างที่ขาดเรียนสิบวันจะตามไม่ทัน แล้วท้ายที่สุดก็ส่งผลกระทบต่อการประเมินสุดท้ายได้ ไม่นึกเลยว่าลั่วล่างที่ผ่านการประลองต่อสู้ ไม่เพียงทำให้ระดับขอบเขตการต่อสู้มือเปล่าเสถียรแล้ว ร่างกายก็ดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อนด้วย นี่ทำให้พวกอาจารย์ตื่นเต้นสุดขีด…

เนื่องจากฉีหลงยังไม่กลับมาแข็งแรงดี หานจี้จวินกับหลินจงชิงก็ไม่ได้อยู่ในภาควิชาเดียวกัน ลูกพี่หลานก็ได้รับการยกเว้นการประเมินความแข็งแกร่งของร่างกายแล้ว ดังนั้นจึงไม่เข้าเรียนวิชาฝึกฝนความแข็งแกร่งของร่างกาย หลายวันมานี้ลั่วล่างเลยเข้าเรียนและเลิกเรียนด้วยกันกับเซี่ยอี๋มาตลอด

วันนี้เซี่ยอี๋กำลังคิดจะกลับไปที่บ้านพักด้วยกันกับลั่วล่างแต่เขาก็ถูกเพื่อนร่วมชั้นที่มีธุระกะทันหันเรียกตัวไว้ เดิมทีลั่วล่างคิดจะรอเซี่ยอี๋ แต่ไม่นึกเลยว่าตอนนี้เอง เขาได้รับข้อความที่ศูนย์รักษาส่งมา ทำให้เขารีบไปที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหารเพื่อทำการตรวจซ้ำ

ในใจลั่วล่างรู้สึกว่ามันแปลกๆ อยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าตอนที่เขาหายดี หลี่ซื่ออวี๋เอ่ยกับเขาด้วยสีหน้าบูดบึ้งมากว่า ‘นายไสหัวไปได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่อีกแล้ว!’ ทำไมตอนนี้ถึงให้เขากลับไปตรวจซ้ำอีกล่ะ?

ลั่วล่างแค่แปลกใจเล็กน้อยไปชั่วขณะเท่านั้น แต่ก็ยังตัดสินใจไปสักครั้ง ไม่ว่าจะต้องตรวจซ้ำหรือไม่ ไปแล้วก็จะรู้ได้เองว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดังนั้นเขาก็เลยบอกลาเซี่ยอี๋ เดินไปก่อนคนเดียว

ลั่วล่างมาถึงป้ายรถประจำทางโฮเวอร์คาร์ที่อยู่ใกล้กับเขามากที่สุดและเตรียมตัวนั่งรถไป โรงเรียนทหารก็เหมือนกับเมืองแห่งหนึ่ง อาศัยสองขาเดินไปไม่มีทางไปถึงได้หากไม่ใช้เวลาหนึ่งหรือสองชั่วโมง ลั่วล่างย่อมเลือกยานพาหนะเพื่ออำนวยความสะดวกอยู่แล้ว

โฮเวอร์คาร์พาเขามาที่หน้าประตูของศูนย์วิจัยแพทย์ทหาร เขาเพิ่งจะลงจากรถก็เห็นรุ่นพี่ชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินคนหนึ่งที่อยู่หน้าประตูเดินเข้ามาต้อนรับเขา เอ่ยถามว่า “ลั่วล่างใช่ไหม?”

ลั่วล่างผงกศีรษะกล่าวว่า “ใช่แล้ว คือฉันเอง!”

“นักเรียนดีเด่นหลี่ให้ฉันพานายไปที่ศูนย์ตรวจสอบ รบกวนตามฉันมา” รุ่นพี่ชุดสีน้ำเงินส่งสัญญาณให้ลั่วล่างเดินตามเขามา

ลั่วล่างไม่ได้คิดอะไรมากมาย เดินตามรุ่นพี่ชุดน้ำเงินไปได้สักระยะก็เห็นว่าโฮเวอร์คาร์คันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากตรงหน้า รุ่นพี่ชุดน้ำเงินอธิบายว่า “ศูนย์ตรวจสอบค่อนข้างไกล พวกเราต้องนั่งโฮเวอร์คาร์ไปเพื่อให้ทันเวลา”

ลั่วล่างเคยไปที่ศูนย์ตรวจสอบในช่วงท้ายของการรักษา เขารู้ว่าค่อนข้างไกลอยู่บ้างจริงๆ ก็เลยไม่ได้ทัดทาน ทั้งสองคนแยกกันนั่งที่เบาะหน้าและเบาะหลัง รุ่นพี่ชุดน้ำเงินกรอกข้อมูลลงไปในออปติคัลคอมพิวเตอร์ของโฮเวอร์คาร์ จากนั้นโฮเวอร์คาร์ก็ไปยังจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ลั่วล่างสังเกตเห็นความผิดปกติอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเส้นทางนี้ดูไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง มันไม่ใช่เส้นทางที่เขาไปก่อนหน้านี้ ลั่วล่างใจกระตุก เอ่ยถามว่า “ทางนี้ดูเหมือนไม่ใช่ทางไปศูนย์ตรวจสอบนะ”

“ฉันอยากไปที่หอพักหยิบรายงานวิจัยตรวจสอบก่อนที่จะไปศูนย์ตรวจสอบน่ะ” รุ่นพี่ชุดน้ำเงินหันหน้ามาตอบด้วยรอยยิ้มขออภัย “วันนี้ต้องส่งรายงานชิ้นนี้ให้ทางศูนย์ตรวจสอบ เดิมทีก็คิดจะไปส่งด้วยกันเลย ไม่นึกว่าฉันลืมตอนที่ออกมา ขอโทษทีนะ ต้องให้นายไปเป็นเพื่อนฉันแล้ว แต่วางใจได้ เวลาตรวจสอบที่จัดไว้ให้นายคืออีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง หอพักของฉันอยู่ไม่ไกล สามารถไปทันเวลาที่กำหนดได้”

ลั่วล่างได้ยินคำกล่าวก็เอ่ยว่า “เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันเข้าใจแล้ว”

ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ลั่วล่างกลับสัมผัสได้ถึงความไม่เหมาะสมอยู่บ้าง เขาเริ่มหวนนึกถึงข้อความที่ได้รับในตอนแรกและคนที่มาต้อนรับเขา ความจริงแล้วมันน่าสงสัยมากเลย ถ้าหากเขาต้องตรวจสอบจริงๆ ทำไมเจ้าหน้าที่ของศูนย์รักษาถึงส่งข้อความมาล่ะ? ควรรู้เอาไว้ว่าหลี่ซื่ออวี๋รู้หมายเลขติดต่อของพวกเขาสามคนเพื่อที่จะติดตามสภาพการฟื้นฟูร่างกายของพวกเขา หลี่ซื่ออวี๋สามารถส่งข้อความมาให้เขาเองได้เลย…

นอกจากนี้ถ้าเกิดต้องไปที่ศูนย์ตรวจสอบตั้งแต่แรก ทำไมถึงไม่ให้เขาไปที่ศูนย์ตรวจสอบตรงๆเลย แต่ว่าให้มาที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหารก่อน? ลั่วล่างยิ่งใคร่ครวญ ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงเอ่ยปากว่า “เอาแบบนี้ละกัน รุ่นพี่ นายไปหอพักเอารายงาน ฉันจะไปที่ศูนย์ตรวจสอบก่อน บางทีนักเรียนดีเด่นหลี่มีเรื่องอะไรบางอย่างที่อยากมอบหมายให้ ไปถึงเร็วหน่อยจะดีกว่า ด้านหน้าน่าจะมีป้ายรถประจำทางโฮเวอร์คาร์อยู่ นายปล่อยฉันลงตรงนั้นก็ได้แล้ว”

รุ่นพี่หันหน้ามาตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร นักเรียนดีเด่นหลี่ไม่ได้ไปที่ศูนย์ตรวจสอบ นี่เป็นการตรวจสอบตามกิจวัตร ขอเพียงรายงานการตรวจสอบออกมาแล้วค่อยมอบให้เขาก็ได้แล้ว”

เวลานี้ลั่วล่างแน่ใจแล้วว่า อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่หลี่ซื่ออวี๋ส่งมา แต่น่าจะเป็นใครสักคนหรือว่ากลุ่มอำนาจสักกลุ่มอยากจัดการเขา เขาครุ่นคิดช่วงเวลาที่เข้าสู่โรงเรียนทหารนี้ เขาตามหลังฉีหลงมาตลอด ทำการฝึกฝนความแข็งแกร่งของร่างกายให้สำเร็จอย่างสุดความสามารถ ไม่เคยล่วงเกินใครเลย กับดักในครั้งนี้ไม่น่าจะเล็งมาที่ตัวเขา หรือว่ามีกลุ่มอำนาจอื่นอยากจัดการกลุ่มนักเรียนใหม่ของพวกเขา อยากเอาเขามาเป็นตัวประกันเพื่อข่มขู่ลูกพี่หลานเหรอ?

ลั่วล่างยอมให้ถูกจับโดยละม่อมได้ที่ไหนกัน เขาผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา ทันใดนั้นก็ชี้ไปข้างหน้า ตะโกนด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากว่า “รุ่นพี่ นั่นคืออะไรน่ะ?”

รุ่นพี่ชุดน้ำเงินเห็นดังนั้นก็หันหน้ากลับไปฉับพลัน แต่เขาก็พบว่าไม่มีสิ่งใดเลย ขณะที่กำลังงุนงงอยู่นั้นก็รู้สึกเจ็บที่ด้านหลังศีรษะ สองตามืดสนิท จากนั้นร่างของเขาก็สลบไสลไม่ได้สติแล้ว….