บทที่ 241 ชูเทียนซิง
บทที่ 241 ชูเทียนซิง
เช้าตรู่วันต่อมา
ฝนตกปรอย ๆ
นกกระจอกสองสามตัวเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างห้องหนังสือ สายตาพวกมันมองไปที่กรงนกซึ่งถูกแขวนอยู่ใกล้กับหน้าต่างห้อง ซึ่งในนั้นมีนกแก้วสีสันสวยงามอยู่สองตัว
“ไปให้พ้น”
“ไปให้พ้น…”
นกแก้วสองตัวมองดูพวกนกกระจอก และเอ่ยออกมาราวกับคนรู้ความ
แววตาของพวกมันเต็มไปด้วยสติปัญญา ซึ่งไม่เหมือนกับนกและสัตว์เดรัจฉานทั่วไป พวกมันดูเหมือนจะมีสติปัญญาสูง
แอ้ด…
ประตูถูกผลักเปิดออก ก่อนที่โจวอี้จะค่อย ๆ เดินเข้ามา
เขาเหลือบมองนกแก้วสองตัว จากนั้นก็เดินไปที่ชั้นวางหนังสือ เอาขวดหยกวางไว้บนชั้นวาง
ขณะที่เขากำลังจะหันหลังกลับออกไป จู่ ๆ เขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเดินไปที่กรงนกและเติมอาหารและน้ำให้พวกมัน
“ขอบคุณ!”
“ขอบคุณ…”
นกแก้วสองตัวผงกหัวและส่ายปีก พวกมันดูใสซื่อน่ารักมาก
“ด้วยความยินดี” โจวอี้อารมณ์ดี เขายิ้มออกมา จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องหนังสือ
เมื่อประตูปิด
นกแก้วสองตัวไม่กินอาหารนก แต่ก้มลงดื่มน้ำเล็กน้อย จากนั้นพวกมันก็เปิดประตูกรงออกมา และบินไปที่ชั้นหนังสือด้วยการกระพือปีกไม่กี่ครั้ง
“มันหอมดี ฉันอยากดื่มมันบ้าง” นกแก้วตัวหนึ่งพูด
“ดื่มไม่ได้นะ ไม่งั้นนายจะถูกถอนขน ถลกหนัง และควักไส้ ทีนี้ก็ถูกโยนใส่หม้อใบใหญ่กลายเป็นอาหาร!” นกแก้วอีกตัวพูดพร้อมส่ายหัว
“นิดหน่อยน่า นิดหน่อยน่า”
“ถ้างั้น นิดหน่อย…ก็ได้”
“ความร่วมมือ ความร่วมมือ…”
“อย่าส่งเสียงดังสิ”
นกแก้วตัวหนึ่งกางปีกออกและโอบขวดหยกด้วยปีกของมัน ขณะที่นกแก้วอีกตัวใช้ปากกัดจุกขวดแล้วดึงออกมา
จุกขวดถูกดึงออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความร่วมมือของพวกมัน
พวกมันถือขวดหยกด้วยการใช้ปีกโอบและจิบเข้าไปทีละน้อย
น้ำค้างบัวหมึกในขวดถูกนกแก้วสองตัวกำลังเปิดกินอย่างหรรษา แม้ว่าพวกมันจะควบคุมปริมาณความอยากของตัวเองอย่างชาญฉลาดแล้ว แต่พวกมันก็ยังดื่มน้ำค้างบัวหมึกไปถึงหนึ่งในสามด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที
จากนั้น พวกก็มันเสียบจุกขวดกลับไปอีกครั้ง กระพือปีกกลับไปที่กรง ทว่าเมื่อกลับไปถึงกรง พวกมันก็ตัวสั่นสะท้าน และร่วงตกลงไปนอนแน่นิ่งที่พื้นกรงโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ
โจวอี้ไม่รู้ว่าน้ำค้างดอกบัวหมึกที่เขาอุตส่าห์ปรุงขึ้นมาอย่างยากลำบากนั้นถูกนกแก้วสองตัวขโมยกินไปจนเมามาย
ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่รู้ว่าไอคิวของนกแก้วทั้งสองกำลังไปถึงระดับการสื่อสารของมนุษย์ปกติแล้ว
เขากลับไปที่ห้องอาหารเพื่อทานอาหารเช้ากับทุกคน จากนั้นก็ออกไปกับถังเหมียวเหมี่ยวเพื่อส่งเธอไปโรงเรียน
09.20 น.
โจวอี้มาที่โรงพยาบาลและพบว่าวันนี้ไม่มีผู้ป่วย
เหลียนซานถือตำรายาจีนและกำลังอ่านด้วยความสนใจ บนโต๊ะของเธอมีชาหอมกรุ่นวางอยู่
“สถานการณ์วันนี้เป็นยังไงบ้าง?” โจวอี้เริ่มสอบถาม
“หมอโจว คุณมาแล้วเหรอ! วันนี้ไม่มีผู้ป่วยลงทะเบียนมาเลย สงสัยว่าพวกคนที่เป็นโรครักษายาก ๆ เริ่มลดน้อยลง!” เหลียนซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แบบนั้นก็ดีแล้ว” โจวอี้หัวเราะ
เขากำลังดื่มชาและเล่นโทรศัพท์มือถือฆ่าเวลา ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีคนไข้เข้ามา เขาจึงตัดสินใจเดินออกไปดู
“หมอเหลียน ผมจะออกไปทำอะไรข้างนอกสักหน่อย ถ้ามีคนไข้ก็โทรมาหาผมได้นะ” โจวอี้สั่งทิ้งท้าย
“ไม่มีปัญหา” เหลียนซานพยักหน้า
โจวอี้ออกจากโรงพยาบาลและนั่งแท็กซี่ไปที่ตลาดหางานในเมืองจินหลิง ซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่าสิบกิโลเมตร
เขาลงทุนกับบริษัทบันเทิงไปมาก และการที่มีจางเหิงมาช่วยบริหารก็ทำให้เขารู้สึกโล่งใจ แต่ถ้าเขาต้องการก่อตั้งโรงเรียน เขาต้องการคนที่มีพรสวรรค์เพื่อช่วยเขาในการบริหารด้วย
ในฐานะที่เป็นเมืองหลวงของมณฑลเจียงซู ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของจินหลิงจึงมีความสำคัญที่สุด ดังนั้นจึงเป็นแหล่งรวบรวมผู้มีความสามารถจำนวนมากจากทั่วประเทศ และตลาดหางานของจินหลิงก็เป็นแหล่งเป้าหมายของบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากในการเฟ้นหาผู้ที่มีความสามารถ
อีกราว ๆ ครึ่งเดือนก็จะถึงช่วงปีใหม่แล้ว ดังนั้นในฤดูกาลนี้จึงไม่ค่อยมีใครมาที่ตลาดหางานในจินหลิง
หลังจากที่โจวอี้มาถึง เขาก็เดินไปรอบ ๆ นานกว่ายี่สิบนาที ก่อนจะเห็นบริษัทประกาศรับสมัครงานมากกว่ายี่สิบแห่ง แต่มีผู้หางานเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นที่มาหางาน
โจวอี้สังเกตเห็นการรับสมัครของบริษัทเล็ก ๆ สองสามแห่ง
ชายหนุ่มพบว่าพวกเขาตั้งข้อกำหนดไว้สูง คุณสมบัติขั้นต่ำสุดที่พวกเขาต้องการคือการศึกษาระดับวิทยาลัย มีประสบการณ์การทำงานมากกว่าสองปี และไม่มีประวัติอาชญากรรม
โจวอี้ออกไปนั่งตรงขั้นบันได เขาจุดบุหรี่สูบอยู่ที่ด้านหน้าทางออก
เขารู้สึกขมขื่นในใจ ถ้าเขาไม่มีวิชาการแพทย์แผนจีนและต้องออกมาหางานทำที่นี่ เขาคงหางานทำไม่ได้สักอย่างเพราะไม่มีวุฒิตามข้อกำหนดการรับสมัครของบริษัทเหล่านั้น
“น้องชาย นายไม่ได้รับอนุญาตให้สูบบุหรี่ที่นี่นะ” ชายวัยกลางคน รูปร่างผอมซูบจนดูเหมือนคนกำลังป่วยเดินเข้ามาหาโจวอี้ เขาถือกระเป๋าเอกสารและสวมสูทเก่า ๆ ซึ่งทำความสะอาดมาดีแล้ว
โจวอี้หันไปมองอีกฝ่ายและพบว่าชายคนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพจิตใจที่ดีนัก ใบหน้าของชายคนนี้ไม่เพียงดูเหนื่อยล้า แต่ยังเศร้าหมองอีกด้วย
“ตรงนี้คนน้อย แม้แต่ผู้ดูแลก็ไม่มี สูบบุหรี่ตรงนี้ไม่มีปัญหาหรอก” โจวอี้ยิ้ม เขาชี้ไปบริเวณรอบ ๆ ซึ่งไม่ค่อยมีผู้คน จากนั้นก็หยิบบุหรี่ออกมายื่นให้อีกฝ่ายแล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “คุณต้องการไหมล่ะ?”
ชูเทียนซิงต้องการสูบบุหรี่เพราะตอนนี้เขาอารมณ์เสียมาก อาการซึมเศร้าทำให้เขาอยากสูบบุหรี่เพื่อคลายเครียด
แต่เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็ส่ายหัว
แทนที่จะเกลี้ยกล่อมโจวอี้อีกครั้งหรือเดินจากไป ชูเทียนซิงกลับนั่งลงบนขั้นบันไดด้วยกันกับโจวอี้ เขานิ่งเงียบประมาณครึ่งนาที จากนั้นก็หันไปหาโจวอี้และถามว่า “นายมาที่นี่เพื่อหางานด้วยเหรอ?”
“ผมแค่มาเที่ยวน่ะ” โจวอี้ตอบอย่างสบาย ๆ
“เหอะ ๆ” ชูเทียนซิงแสดงสีหน้าเย้ยหยัน
ทว่าไม่มีใครรู้ว่าจริง ๆ แล้วกำลังเย้ยหยันตัวเอง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขายังมีกำลังใจอันเปี่ยมล้นและมาที่นี่เพื่อพบปะสังสรรค์ รวมทั้งตรวจสอบปัญหาการจ้างงานของเพื่อนร่วมงาน
หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เขาก็ประสบความสำเร็จในการเข้าร่วมกับสถาบันฝึกอบรมขนาดใหญ่ในประเทศจีน
ด้วยความสำเร็จอันโดดเด่นของเขา และด้วยความเฉลียวฉลาดและความสามารถของเขา เขาจึงมีความก้าวหน้าตลอดหลายปีในช่วงการทำงาน
เขากลายเป็นหัวหน้าสถาบันฝึกอบรมในมณฑลเจียงซูด้วยวัยสี่สิบต้น ๆ เท่านั้น
แต่ผลลัพธ์ตอนนี้ล่ะ?
ในเวลาเพียงสี่ปี มันเหมือนกับการตกจากสวรรค์สู่นรก
เขาลาออกจากงานเพื่อเข้ารับการรักษาโรคร้าย และเขาต้องใช้เวลาถึงสองปีในการฟื้นตัว
แต่พอเขากำลังจะหางานใหม่ แม่ที่ชราแล้วของเขาก็ขาหัก เขาและภรรยาต้องดูแลแม่ที่ชราแล้วอย่างระมัดระวัง ซึ่งทำให้การหางานล่าช้าไปอีกเกือบปี
เขาใช้เงินเหมือนละลายน้ำเพื่อรักษาโรคเหล่านี้
เมื่อไม่ได้ทำงาน เงินออมของเขาก็ลดลงเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาเสียใจที่สุดคืออุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อครึ่งปีก่อน ซึ่งแม่และลูกสาวของเขาเสียชีวิตคาที่ และภรรยาของเขาก็กลายเป็นคนพิการ ส่วนลูกชายวัยรุ่นของเขารอดชีวิตและฟื้นตัวหลังการรักษา
ความเจ็บปวดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขาในครั้งนั้นทำให้เขารู้สึกเศร้าใจอยู่ตลอดเวลา
สองเดือนที่ผ่านมา ครอบครัวของเขาไม่มีเงิน
เขาไม่ได้ทำงานมาสี่ปีแล้ว เขาคิดว่าประวัติความสำเร็จยิ่งใหญ่ในอดีตจะช่วยให้ตอนนี้เขาหางานอื่นง่ายขึ้น
ทว่าน่าเสียดาย…
เขาคิดผิด! คิดผิดไปมาก!
สถาบันการศึกษาและฝึกอบรมนอกวิทยาเขตเปลี่ยนนโยบายใหม่ และตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในขาลง พวกเขากำลังลดจำนวนพนักงานลง ดังนั้นชูเทียนซิงจึงใช้เวลาสองเดือนแล้วในการหางาน
“คุณอารมณ์ไม่ดีเหรอ?”
เสียงที่ถามขึ้นมาอย่างกะทันหันได้ปลุกชูเทียนซิงให้ตื่นจากภวังค์แห่งความคิด