บทที่ 254 ฉันจะย้ายโรงพยาบาล

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

บทที่ 254 ฉันจะย้ายโรงพยาบาล

การรักษาดำเนินไปอย่างราบรื่น ไป๋เยี่ยถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หลิวเสี่ยวกังเห็นท่าทีของไป๋เยี่ยก็รู้ทันทีว่าการทำกายภาพบำบัดครั้งนี้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แบบอีกแล้ว

หลิวเสี่ยวกังหันไปยิ้มให้ไป๋เยี่ย “เรียนจบก็ต่อด้านนี้เลยสิ ไม่งั้นคงเสียดายฝีมือแย่”

ไป๋เยี่ยยิ้มและไม่พูดอะไร เขามีแผนสำหรับอนาคตรออยู่แล้ว

เรื่องแผนกน่ะหรือ

มันมีแต่จะจำกัดการพัฒนาของเขาเท่านั้น!

ไป๋เยี่ยหันกลับไปพูดกับพยาบาล “อีกสักพักพาเธอไปเอ็กซ์เรย์ทีครับ ค่อยกลับมาดูผล”

แม้ว่าไป๋เยี่ยจะรู้ผลอยู่แล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยไป๋เยี่ยจึงตัดสินใจเอ็กซ์เรย์ดู

ตั้งแต่ตอนที่ไป๋เยี่ยตามเฉินอ้ายเข้าไปในห้องตรวจ สีหน้าของหวงจิ้งก็หม่นหมองลง ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดอะไร

อารมณ์ที่หลากหลายล้วนเป็นยาวิเศษที่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดทั้งหมดได้ชั่วคราว

ผู้จัดการหวังชงได้แต่ยิ้มแห้งก่อนจะกล่าวเชิงปลอบโยน “พี่หวง ไม่เป็นไรหรอกน่า หมอบอกแล้ว พวกเราไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก แค่ขาหักนิดหน่อย ไม่มีผลกระทบอะไรหรอกน่า พวกเรามารอกันก่อนเถอะ”

สีหน้าของหวงจิ้งมืดมนลง เธอรู้สึกไม่มีความสุขเลย ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยถูกทิ้งมาก่อน แต่ความรู้สึกนี้ทำให้เธออึดอัดอย่างยิ่ง

ก็กระดูกหักเหมือนกันนี่ ต่างกันตรงไหน

ทำไมต้องทำให้เฉินอ้ายก่อน

ในความคิดของหวงจิ้งไม่มีคำว่าสาหัสหรือไม่สาหัส มีแค่เธอเท่านั้นที่สำคัญ!

เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน คุณบอกว่าคุณกระดูกหักจึงไปโรงพยาบาล แต่หมอบอกว่าอาการของคุณไม่ร้ายแรง ให้รอสักครู่ จากนั้นหมอก็ไปผ่าตัดผู้ป่วยฉุกเฉินก่อน ควรรู้สึกอย่างไรดี

คุณอาจจะคิดว่าหมอรับเงินไปเพื่อให้คุณสบายใจ แต่แท้จริงแล้วนั่นก็เป็นการใช้เส้นสายรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

มีสิทธิ์อะไรไปทำให้หล่อนก่อน บอกว่าเคสฉันไม่สาหัสเนี่ยนะ ขาฉันหักยังบอกว่าไม่สาหัสอีกเหรอ

นี่แหละสภาพจิตใจของคนป่วย!

โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาอย่างฉุกเฉินก็ยิ่งมีความวิตกกังวลมากขึ้นไปอีก

หวงจิ้งคิดว่าไป๋เยี่ยกำลังกลั่นแกล้งเธอ เธอจึงยอมให้หวังชงเข้ามาปลอบใจ ในเมื่อตอนนี้เธอขยับไปไหนไม่ได้!

ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ จู่ๆ หวงจิ้งก็หันไปพูดกับหวังชง “ย้ายโรง’ บาลเถอะ ไปที่เมโยคลินิกกันดีกว่า! ไปมันเดี๋ยวนี้แหละ”

หวังชงถึงกับอึ้ง “พี่หวง อย่าเพิ่งวู่วามเลย นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว กายภาพบำบัดน่ะทำไม่นานหรอก แป๊บเดียวก็หายแล้ว”

ในฐานะที่เป็นผู้จัดการของหวงจิ้ง หวังชงจึงเข้าใจเธอเป็นอย่างดี เมื่อได้ยินหวงจิ้งพูดแบบนั้นเขาก็รู้ดีว่าเธอกำลังหมายความว่าอย่างไร จึงรีบเข้าไปปลอบใจเธอ

แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ในหัวของหวงจิ้งจะมีภาพซ้อนทับกันมากมาย เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู่เจ๋อเหรอ เหอะ ไปเมโยคลินิกเดี๋ยวนี้เลย ฉันไม่เอาแล้ว ปักกิ่งกว้างขนาดนี้ ทำไมจะไม่มีคนเก่งกว่าไป๋เยี่ยล่ะ!”

หวังชงถอนหายใจ หวงจิ้งนี่อารมณ์ร้ายจริงๆ…เฮ้อ!

อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นผู้จัดการของหวงจิ้งอยู่ดี อีกทั้งสำหรับดาราดังระดับเดียวกับหวงจิ้งนั้น บางครั้งผู้จัดการก็ทำอะไรมากไม่ได้ ความหมายคือเบื้องหลังจะมีบริษัทคอยหนุนอยู่ด้วย จึงกล่าวได้ว่าหวังชงเป็นเพียงผู้ช่วยมืออาชีพเท่านั้น

จู่ๆ หวงจิ้งก็โพล่งขึ้นมา “ขอโทรศัพท์หน่อยค่ะ!”

หวังชงหยิบโทรศัพท์ของหวงจิ้งออกมาอย่างไม่เต็มใจนักก่อนจะยื่นมันให้อีกฝ่าย

หวงจิ้งคว้าโทรศัพท์มาแล้วกดโทรออกทันที

“คุณหลี่…ขาฉันหักค่ะ…”

หวงจิ้งวางสายโทรศัพท์ลงพลางยกยิ้ม เธอหันไปกระซิบหวังชง “เอาซองจดหมายไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วไปที่เมโยกัน!”

หวังชงสูดหายใจเข้า เขาเหลือบมองหวงจิ้งอย่างเหลือทนเล็กน้อย “พี่หวง…ทำแบบนี้ไม่ดีหรอกมั้ง”

หวงจิ้งจ้องเขาตาเขม็งโดยไม่พูดอะไร

หวังชงถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เคครับๆ!”

เขาหยิบซองจดหมายออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตแล้ววางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เข็นรถของหวงจิ้งไปที่หน้าประตู

หวงจิ้งคว้าโทรศัพท์ของเธอออกมาถ่ายรูป

ทันทีที่เธอออกมาจากห้องตรวจ สีหน้าท่าทางของเธอก็เปลี่ยนไป เธอหลับตาลงเพื่อเรียกคะแนนความสงสาร

หลังจากออกไปแล้วก็มีสมาชิกกองถ่ายจำนวนหนึ่ง ผู้ช่วยของหวงจิ้ง ผู้รับผิดชอบกองถ่ายและคนอื่นๆ รออยู่

รวมถึงสื่อมวลชนอีกหลายเจ้า พวกเขาเห็นหวงจิ้งเดินร้องไห้ออกมาจากห้องตรวจด้วยขาที่ยังบวมเป่ง

ทันใดนั้นคนรอบข้างต่างก็ตกใจและถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

หวงจิ้งหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย ทิ้งคราบน้ำตาไว้บนใบหน้าของเธอ ตรงหน้าไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาเลยสักคำ

ต้องบอกว่านักแสดงก็คือนักแสดง ไม่ต้องเอ่ยปากก็หลั่งน้ำตาได้!

พยาบาลเห็นหวงจิ้งออกมาแล้วก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน “อย่าเดินไปเดินมานะคะ หมอไป๋จะออกมาแล้ว ระหว่างรักษาตัวห้ามออกจากโรงพยาบาลด้วยตัวเองนะคะ…”

หวงจิ้งยังคงเงียบ หวังชงจึงกล่าวอย่างใจเย็น “พวกเราจะย้ายไปโรงพยาบาลอื่นครับ ช่วยบอกหมอไป๋ด้วยว่าเราจะไปรักษาที่เมโยคลินิก”

เมื่อพยาบาลได้ยินดังนั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันทีก่อนที่เธอจะรีบไปที่ห้องตรวจ

สื่อรอบข้างก็พากันโหวกเหวก นี่แหละข่าวใหญ่!

หวงจิ้งย้ายโรงพยาบาลกะทันหันทั้งที่ยังไม่ได้รับการรักษา

เพราะอะไร!

มีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังกันแน่

บรรดาสื่อไม่เคยกลัวเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะข่าวซุบซิบ วารสารวงการบันเทิง นักข่าวขี้นินทา ซึ่งมีชื่อเรียกรวมกันว่าเป็น ‘สามตัวสร้างเรื่อง’ ก็เริ่มออกลายแบบไม่มีขอบเขตทันที…

ดังนั้น เมื่อได้ทราบข่าวว่าหวงจิ้งถูกย้ายไปโรงพยาบาลอื่นโดยไม่ทราบสาเหตุ บรรดาสื่อก็พลันตื่นเต้นขึ้นมาทันที

มีข่าวใหญ่แล้วสิ!

แพทย์ถือเป็นอาชีพหนึ่งที่เผชิญกับข้อโต้แย้งมากที่สุด และดาราก็คือกลุ่มคนที่มีแฮชแท็กและแฟนคลับมากที่สุด เมื่อนำสองอาชีพนี้มาเจอกัน…

ตู้ม!

ภาพที่ออกมานั้นสวยเกินบรรยาย ไม่ต้องคิดอะไรมากก็รู้แล้วว่านี่ต้องเป็นข่าวสะเทือนวงการอย่างแน่นอน

ทันทีที่ไป๋เยี่นเดินออกมาจากห้อง กลุ่มนักข่าวก็ปรี่เข้ามารุมเขา ส่วนหวงจิ้งก็ลงลิฟต์ไปแล้ว

พยาบาลที่อยู่ด้านข้างได้แต่ถามด้วยความกังวล “หมอไป๋ ทำไงดี โทรหาหัวหน้าแผนกไหม!”

ไป๋เยี่ยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวแล้วยิ้ม “ไม่ต้องห่วงครับ พาเฉินอ้ายไปเอ็กซ์เรย์ก่อน ผมจะรอดูผล”

พูดจบไป๋เยี่ยก็เดินเข้าห้องทำงานไป

ทันใดนั้นก็มีนักข่าวถามขึ้นอย่างรวดเร็ว “คุณหมอ คุณคิดอย่างไรกับการที่หวงจิ้งย้ายไปโรงพยาบาลอื่น”

ไป๋เยี่ยตอบด้วยน้ำเสียงใจเย็น “มันเป็นสิทธิ์ของเธอที่จะเลือกว่าจะไปที่ไหน ทางเราจะเลือกรักษาใครก่อนก็เป็นสิทธิ์ของเรา เราเข้าไปก้าวก่ายเสรีภาพของผู้อื่นไม่ได้ ผู้อื่นก็ห้ามเข้ามาก้าวก่ายการตัดสินใจของเราเช่นกัน!”

ไป๋เยี่ยหยิบแฟ้มผู้ป่วยออกมาแล้วชี้ไปที่กระดาษแผ่นหนึ่ง “นี่คือสัญญาว่าด้วยเรื่องการออกจากโรงพยาบาลของผู้ป่วย ระหว่างที่ทำการรักษา ผู้ป่วยจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นหากเกิดข้อผิดพลาด ทางโรงพยาบาลจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น! ทั้งสองฝ่ายลงนามแล้ว”

ไป๋เยี่ยพูดจบก็หันไปทางทุกคน “ที่นี่คือโรงพยาบาล เราเข้มงวดเรื่องการใช้เสียง เพราะฉะนั้นแล้วช่วยออกไปกันก่อนนะครับ อย่ารบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยคนอื่น”

ไป๋เยี่ยหันไปหาพยาบาลสูงวัย “พี่หยาง โทรหาแผนกรักษาความปลอดภัยให้ผมที”

ทั้งคำตอบและการจัดการของไป๋เยี่ยนั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยจนทุกคนพูดไม่ออก

อันที่จริง ไป๋เยี่ยก็ได้ทำทุกอย่างที่เขาควรพูดและทำไปหมดแล้ว

เมื่อทุกคนได้ยินว่าจะโทรหาแผนกรักษาความปลอดภัย พวกเขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป จึงรีบถ่ายรูปบริเวณโดยรอบและออกไปในทันที