ตอนที่ 193

My Disciples Are All Villains

ลู่โจวถึงกับพูดไม่ออก ดูเหมือนว่าโจวจี้เฟิงจะถูกกลั่นแกล้งจนมีแผลภายในจิตใจ และเมื่อเห็นแบบนั้นลู่โจวก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเล็กน้อย “หยวนเอ๋อ เจ้านั่นแหละคุกเข่าลงซะ”

หยวนเอ๋อสั่นไปทั้งตัวก่อนที่จะคุกเข่าลง

โจวจี้เฟิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ลำบากใจ ในตอนนี้ตัวเขารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ โจวจี้เฟิงที่รู้แบบนั้นแล้วรีบถอยกลับไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว

ลู่โจวได้พูดขึ้น “เจ้าน่ะจะอายุ 16 แล้วหยวนเอ๋อ เจ้าน่ะไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้วนะ เมื่อไหร่กันที่เจ้าจะปฏิบัติตัวต่อผู้ที่มีอายุมากกว่าด้วยความเคารพกัน? “

หยวนเอ๋อที่ได้ฟังคำติเตียนได้แต่หน้ามุ่ย

การสั่งสอนศิษย์คนอื่นเป็นปัญหาใหญ่ตั้งแต่สมัยอดีตกาล จีเทียนเด๋ามักจะเป็นคนที่ละเลยเรื่องนี้มาโดยตลอด บางทีตัวเขาอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่จะรับศิษย์วายร้ายทั้งหมดแบบนี้มา แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวจะไม่ยอมทำผิดซ้ำสองเหมือนกับที่จีเทียนเด๋าทำแน่ ลู่โจวที่คิดได้แบบนั้นก็ได้พูดออกมาอย่างจริงจัง “ขอโทษเขาซะ”

หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้หันหลังกลับไปอย่างเชื่อฟัง “ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว…”

ต้วนมู่เฉิงได้แต่โบกมืออย่างไม่ถือสา “ไม่เป็นไร ข้าน่ะไม่เป็นไร เป็นหน้าที่ของผู้เป็นศิษย์พี่อย่างข้าอยู่แล้ว ศิษย์น้องเล็ก”

ใบหน้าที่ดูผิดธรรมชาติปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซู่ฮ่องกง “ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องเล็กเอ่อ…ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับข้าเลย” ซู่ฮ่องกงที่เห็นสายตาของหมิงซี่หยินกำลังจับจ้องได้แต่รู้สึกกังวลใจ

ซู่ฮ่องกงที่กำลังจะพูดต่อก็ได้เอามือปิดปากไปในทันที…ตัวเขาได้แต่สงสัยว่าสิ่งที่พูดไปผิดอะไรไปรึเปล่า?

ลู่โจวไม่ได้รู้สึกเกลียดอะไรคำพูดของซู่ฮ๋องกง มันเป็นเรื่องดีกว่าที่ผู้เป็นศิษย์พี่จะคอยดูแลสั่งสอนผู้เป็นศิษย์น้องแบบนาง

หลังจากที่เสร็จสิ้นการขอโทษ ลู่โจวก็ได้พูดออกมาอีกครั้ง “บทลงโทษของเจ้าก็คือการฝึกฝนเคล็ดวิชาหยกแห่งความบริสุทธิ์เพิ่มเติมอีก 200 ครั้ง หลังจากนั้นก็ไปอยู่ในถ้ำแห่งเงาสะท้อนเพื่อทบทวนตัวเองซะ”

“…”

คนอื่นๆ ที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่ตกใจ

‘ท่านอาจารย์เปลี่ยนไปแล้ว’

‘ท่านอาจารย์ที่ไม่เคยลงโทษศิษย์น้องเล็กมาก่อน วันนี้ท่านอาจารย์ได้เปลี่ยนไปแล้ว’

หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นก็ผงะเช่นกัน หยวนเอ๋อเป็นเด็กที่ไม่เคยถูกลงโทษสถานหนักมาก่อนเลยนับตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ศาลาปีศาจลอยฟ้า เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะรู้สึกเสียใจ แต่ถึงแบบนั้นหยวนเอ๋อก็ได้แต่ยอมรับอย่างเชื่อฟัง “ศิษย์…ยอมรับแต่โดยดี” นางได้ลุกขึ้นมาก่อนที่จะออกจากห้องโถงใหญ่ไปยังศาลาทางทิศใต้

ลู่โจวเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะจ้องมองสีหน้าของทุกคนที่ผิดเพี้ยนไป “พวกเจ้ามีปัญหาอะไรอย่างงั้นหรอ? “

“ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องเล็กยังเด็กนัก…”

“หยวนเอ๋อน่ะไม่ใช่เด็กอีกต่อไป” ลู่โจวยกมือขึ้นมาเพื่อตัดคำพูดของหมิงซี่หยิน

เด็กที่มีอายุ 16 ปีไม่ถือว่าเป็นเด็กอีกต่อไป ไม่ว่าจะยุคไหนหรือในสมัยไหนก็ตามที

เมื่อคนอื่นๆ เห็นลู่โจวเป็นแบบนั้น พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรเพื่ออ้อนวอนขอร้องให้หยวนเอ๋ออีกต่อไป

ลู่โจวกวาดสายตาเพื่อมองไปรอบๆ ก่อนที่จะถามขึ้นมา “แล้วผู้อาวุโสฮั๊วล่ะ? “

“ศิษย์จะรีบไปพาตัวเขามาเอง” หมิงซี่หยินได้วิ่งออกจากห้องโถงใหญ่ไป ตัวเขาตั้งใจที่จะวางแผนเฉลิมฉลองให้กับหยวนเอ๋อ แต่ในตอนนี้จากสถานการณ์ต่างๆ ที่หมิงซี่หยินเจอบังคับให้ตัวเขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปก่อน

ไม่นานหลังจากนั้นหมิงซี่หยินก็ได้พาฮั๊ววู่เด๋าเข้ามายังห้องโถงใหญ่

ฮั๊ววู่เด๋าได้โค้งคำนับลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านปรมาจารย์เรียกหาตัวข้ามีธุระอะไรกัน? “

ลู่โจวได้โบกมือก่อนที่เศษเสี้ยวจากฟากฟ้าจะปรากฏขึ้น “เจ้ารู้จักของสิ่งนี้ได้ไหม? “

“เศษเสี้ยวจากฟากฟ้าอย่างงั้นหรอ? ” ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม “เดิมทีของชิ้นนี้มันเป็นของท่านอยู่แล้ว ท่านปรมาจารย์…ว่ากันว่าในวันที่ม่านพลังของภูเขาทองถูกทำลายไป ในวันนั้นเองของชิ้นนี้ก็ได้ถูกขโมยมาโดยเจ้าสำนักเยี่ยนซาน แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ไม่อาจที่จะรู้ได้เลยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่” สีหน้าของฮั๊ววู่เด๋าเต็มไปด้วยความสงสัย ตัวเขาต้องการที่จะยืนยันความคิดนี้กับลู่โจวนั่นเอง

ลู่โจวได้ตอบกลับมาตรงๆ “เดิมทีข้าไม่เคยสนใจของสิ่งนี้ ข้าได้ทิ้งมันไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไร เป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะถูกขโมยไปแบบนี้”

“…” ฮั๊ววู่เด๋าเบิกตากว้าง แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้เลือกที่จะพูดอะไรออกมา

สมบัติที่คนอื่นๆ ต่างก็ตามหาเพื่อให้ได้มาครอบครองเป็นเพียงแค่ขยะสำหรับปรมาจารย์คนนี้ บางทีอาจจะมีแค่ลู่โจวคนเดียวเท่านั้นที่พูดอะไรแบบนี้ออกมาได้

“ทำไมถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมากันล่ะท่านปรมาจารย์? ” ฮั๊ววู่เด๋าได้ถามออกมาอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ข้ากำลังตามหาของพวกนั้น”

“…”

‘ทำไมเขาถึงจะต้องตามหาของที่ได้ทิ้งไปด้วยล่ะ? ‘ แม้ว่าจะสงสัยแค่ไหนแต่ฮั๊ววู่เด๋าก็เลือกที่จะไม่ถามความคิดนี้ออกไป ตัวเขากลับเลือกพูดอย่างอื่นออกมาแทน “มีคนเคยบอกเอาไว้ว่าเศษเสี้ยวฟากฟ้าพวกนี้มีทั้งหมด 8 ชิ้นด้วยกัน ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าของพวกนี้ตกไปอยู่ในมือใคร ข้าเกรงกว่าการจะตามหาเศษเสี้ยวทั้งหมดกลับมาได้คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากแน่”

ลู่โจวพยักหน้าเห็นด้วย ตัวเขาเองก็คาดการณ์เอาไว้แล้วเหมือนกัน เป็นเรื่องปกติที่ฮั๊ววู่เด๋าจะคิดแบบเขา

“แทนที่จะงมเข็มในมหาสมุทร การที่จะจับโจรที่ขโมยของไปตั้งแต่แรกคงจะเป็นวิธีที่ได้ผลมากกว่า”

“เยี่ยนซานสินะ? “

“ถูกต้องแล้วท่านปรมาจารย์ แม้ว่าท่านจะมองว่ามันเป็นของไร้ค่า แต่ที่โลกภายนอกเศษเสี้ยวฟากฟ้าเป็นของที่ล้ำค่ามาก มันจะต้องเป็นของที่มีผู้คนเก็บเอาไว้อย่างแน่นอน” ฮั๊ววู่เด๋าตอบกลับมา

หลังจากที่ครุ่นคิดได้พักหนึ่ง ลู่โจวก็ได้เอ่ยปากพูดออกมา “หมิงซี่หยิน…”

“ครับท่านอาจารย์”

“เจ้าจงใช้ข้อมูลที่เจ้าเจ็ดมีเพื่อตามหาเยี่ยนซานมาซะ” ลู่โจวได้สั่งการขึ้น

“เอ่อ…” หมิงซี่หยินรู้สึกประหม่าเล็กน้อย สีวู่หยาศิษย์คนที่เจ็ดได้จากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปนานแล้ว ในตอนนี้เท่ากับว่าสีวู่หยาไม่ได้ต่างอะไรไปจากศิษย์ทรยศ การขอร้องให้ศิษย์ทรยศช่วยแบบนี้สำหรับหมิงซี่หยินแล้วมันเป็นเรื่องที่ดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก

“ท่านอาจารย์…ถ้าหากศิษย์น้องเจ็ดปฏิเสธที่จะช่วยเหลือล่ะ? “

“เจ้านั่นน่ะฉลาดเฉลียว”

“ปัญหาของศิษย์ก็คือ…จะหาศิษย์น้องเจ็ดคนนั้นเจอได้จากไหน” หมิงซี่หยินเกาหัวในขณะที่ถาม

ซู่ฮ่องกงที่ฟังอยู่นานได้ยกมือขึ้นมา “ข้ารู้ศิษย์พี่…”

“…”

“สำนักแห่งความมืดของศิษย์พี่เจ็ดตั้งอยู่ทั่วทุกมุมของยุทธภพ…พวกเขาเองมีฐานที่มั่นอยู่ที่เมืองอันยางด้วยเช่นกัน” ซู่ฮ่องกงได้พูดออกมา

สีวู่หยาเป็นคนที่ฉลาดแกมโกง เมื่อทุกคนได้ฟังจากปากของซู่ฮ่องกงแบบนั้นทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่าซู่ฮ่องกงคงจะรู้จักฐานที่มั่นของศิษย์พี่คนนี้แค่แห่งเดียวแน่ ไม่มีทางเลยที่คนเจ้าเล่ห์อย่างสีวู่หยาจะบอกศิษย์น้องคนนี้ทุกอย่าง

หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “ศิษย์จะรีบส่งจดหมายเดี๋ยวนี้” หลังจากที่พูดแบบนั้นตัวเขาก็ได้หันไปหาซู่ฮ่องกง “ศิษย์น้องแปด เจ้ากำลังยืนบื้อทำไมกันล่ะ? “

ฮั๊ววู่เด๋าได้ยิ้มออกมาอย่างสดใสก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าเคยได้ยินมาก่อนว่าศิษย์คนที่เจ็ดจากศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นผู้ที่มีไหวพริบเฉลียวฉลาดมากแค่ไหน ดูเหมือนข่าวลือนั่นจะเป็นจริงสินะ ถ้าหากหมิงซี่หยินหาตัวเขาไม่พบ ก็คงจะไม่มีใครในนี้หาตัวเขาพบได้อีกแล้วล่ะ”

“สีวู่หยาเป็นคนที่เฉลียวฉลาด” ลู่โจวพูดออกมาก่อนที่จะพยักหน้าเห็นด้วย

“ข้าน่ะอยากรู้อยากเห็นมาโดยตลอด…จากที่ข้าได้สังเกตมา ท่านไม่ใช่คนที่ชอบออกไปก่อความวุ่นวายเลยท่านปรมาจารย์ การกระทำของท่านมันตรงข้ามกับข่าวลือทุกอย่าง แม้ว่าจะมีหลายอย่างที่ข้าไม่เห็นด้วย แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังสนับสนุนท่านอยู่เสมอ ทำไมท่านถึงขับไล่เหล่าศิษย์สาวกออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าตั้งแต่แรกกันล่ะ? ” ฮั๊ววู่เด๋าได้ถามความในใจออกมา

สีหน้าของลู่โจวสงบเช่นเคย

ทันทีที่ฮั๊ววู่เด๋าพูดจบ คนอื่นๆ ก็ได้หันไปจับจ้องแต่ลู่โจว

ต้วนมู่เฉิงและจ้าวยู่ต่างก็ดูกระตือรือร้นที่จะฟังคำตอบเป็นพิเศษ

“ฮั๊ววู่เด๋า วันนี้เจ้าพูดเก่งซะจริงนะ” ลู่โจวได้แสดงความคิดเห็นออกมา

ฮั๊ววู่เด๋าสังเกตเห็นว่ากำลังยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง ในตอนนั้นตัวเขาจึงรีบคารวะลู่โจวก่อนที่จะเดินถอยหลังกลับไป

เมื่อลู่โจวเห็นฮั๊ววู่เด๋าออกจากห้องโถงใหญ่ไป ในตอนนั้นลู่โจวก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้น “ส่งจดหมายไปหาเจียงอาเฉียนซะ…บอกเจ้านั่นให้ไปหาที่อยู่ของเยี่ยนซานมา”

“ท่านอาจารย์…มีจดหมายมาจากเจียงอาเฉียน”

หมิงซี่หิยนและซู่ฮ่องกงได้เดินกลับมา

ลู่โจวรู้สึกสงสัยอยู่เสมอ ‘สหายคนนี้มักจะปรากฏตัวขึ้นในเวลาที่เหมาะเจาะทุกครั้ง ครั้งนี้ก็ด้วยอย่างงั้นหรอ? ‘

“อ่านซะสิ”

หมิงซี่หยินได้คลี่จดหมายออกมาก่อนที่จะเริ่มอ่านออกเสียง “ท่านผู้อาวุโสจี ข้ายังคงคิดถึงเสมอในยามที่พวกเราได้พบกันในครั้งนั้น ข้ารู้สึกประทับใจวิธีการอันแยบยลในการขโมยสมบัติของท่านจริงๆ ข้าอดที่จะปรบมือให้กับท่านไม่ได้เลย…”

แปะ แปะ แปะ!

หมิงซี่หยินได้ถือจดหมายด้วยมือข้างหนึ่งก่อนที่จะปรบมือออกมา

เหล่าศิษย์สาวกคนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองหมิงซี่หยินราวกับว่าเขาเป็นคนบ้า

‘การอ่านจดหมายทำให้คนคนหนึ่งมีความกล้าถึงกับปรบมือออกมาได้เลยอย่างงั้นหรอ? ‘

ลู่โจวไม่ได้รู้สึกชิงชังอะไรที่เห็นแบบนั้น ตัวเขาได้พูดต่อไป “อ่านต่อไปซะ”

“เมื่อสามวันก่อน เหวยซู่หยานได้ออกคำสั่งให้หยุดความบาดหมางในเมืองอันยาง ม่อหลี่และพระชายาเริ่มออกเคลื่อนไหวอีกครั้ง…เรื่องราวที่ได้ผ่านพ้นไปเป็นเหมือนกับดวงดาวที่กำลังเรียงรายอยู่บนฟากฟ้า ข้าคงจะไม่สามารถที่จะถ่ายทอดข้อความทั้งหมดมาให้กับท่านได้ ท่านผู้อาวุโส ข้าหวังว่าจะได้พบกันท่านอีก…ข้าจะรอจดหมายตอบกลับของท่าน”

เมื่อหมิงซี่หยินอ่านจบ ตัวเขาก็ได้เสนอความคิดเห็นออกมา “เจ้าเจียงอาเฉียนนี้คิดว่าตัวเองสูงส่งแค่ไหนกัน…การจะพบกับท่านอาจารย์ได้ แค่ความต้องการเพียงอย่างเดียวมันไม่เพียงพอซะหรอก”