ตอนที่ 189 ไม่รีบก็หมายความว่าสมองมีปัญหา
ตอนที่ 189 ไม่รีบก็หมายความว่าสมองมีปัญหา
หลีชิงขมวดคิ้วเป็นปม เจ้าบัณฑิตผู้นี้หมายความว่าอย่างไร ? จงอี้โหวทะเยอทะยานแล้วอย่างไร มันจะคิดก่อกบฏต่อฮ่องเต้ได้หรือ ? อีกอย่างแม้ว่าจงอี้โหวจะคิดทรยศ แต่บัณฑิตในหมู่บ้านอันแสนห่างไกลจะทราบได้อย่างไร ?
คราวก่อนตอนที่เขาพยายามลอบสังหาร จวนจงอี้โหวมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาดุจถังเหล็กใบหนึ่ง ! ดูเหมือนต้องใช้วิธีอื่นลอบเข้าไป กระนั้น…การวิเคราะห์ของบัณฑิตเจียงดูค่อนข้างมีเหตุผล เพราะพรมแดนของภาคเหนือมีส่วนที่ติดกับตงหู และพวกที่เหลือของราชวงศ์ก่อนก็เฝ้าดูอยู่ในความมืด ด้วยความทะเยอทะยานของจงอี้โหวย่อมไม่มีทางอยากเป็นเพียงท่านโหวที่ไร้ความสำคัญแน่นอน…
การสอบสังหารสามารถแก้แค้นให้เพียงตระกูลของตน แต่ถ้าหาหลักฐานที่จงอี้โหวสมรู้ร่วมคิดกับพวกกบฏทำให้มันโดนประหารเก้าชั่วโคตร จะไม่สะใจกว่าเดิมหรือ ?
วันเวลาต่อจากนั้นหลีชิงก็มักออกจากบ้านแต่เช้าและกลับบ้านดึกเสมอ หรือแม้แต่ออกไปนานหลายวัน คนในหมู่บ้านล้วนถามถึงเขา หลินเว่ยเว่ยจึงจำเป็นต้องหาข้ออ้างเพื่อปกปิดให้สารพัด…เฮ้อ ! เหมือนว่านางเก็บตัวปัญหากลับมาไม่มีผิด !
ผ่านไปไม่นานคนในหมู่บ้านก็ไม่มีกะจิตกะใจจะสนเรื่องของหลีชิงอีกต่อไป เพราะผู้ใหญ่บ้านประกาศข่าวด้วยความตื่นเต้นว่า…ทางอำเภอเป่าชิงได้เปิดคลังบรรเทาทุกข์แล้ว !
เจียงโม่หานหันมาสบตากับหลินเว่ยเว่ยด้วยความตกใจ…เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? นายอำเภอหวางคนนี้มักทำอะไรอย่างรอบคอบ เป็นขุนนางที่ชอบหวาดระแวงและขี้ขลาด ไม่มีทางตัดสินใจทำเองแน่นอน จะต้องเป็นเพราะคำสั่งขององค์ชายเจ็ด…ซึ่งไม่เหมือนองค์ชายเจ็ดที่เขารู้จักในชาติก่อนเลย !
“ไป ! ไปรับอาหารบรรเทาทุกข์กัน ! ” หลินเว่ยเว่ยหยิบทะเบียนบ้านของตนออกมาแล้วขับเกวียนเทียมล่อมาหยุดรออยู่ที่หน้าบ้านบัณฑิตหนุ่ม คราวนี้แจกอาหารตามจำนวนสมาชิกในใบทะเบียนบ้าน ตระกูลหลินมีด้วยกัน 5 คนก็สามารถรับข้าวสารได้ถึง 100 ชั่ง !
ทางหมู่บ้านฉือหลี่โกวล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่ออกไปรับ บ้านที่มีรถเข็นล้อเดียวก็เตรียมรถเข็นล้อเดียวเอาไว้ บ้านไหนมีรถลากก็ลากไป ใครมีเกวียนเทียมวัวก็ขับเกวียนเทียมวัว ส่วนคนที่ไม่มีอันใดเลยก็ได้แต่อาศัยเรี่ยวแรงของตน นี่เป็นอาหารบรรเทาทุกข์เชียวนะ แม้จะเหนื่อยเพียงใดก็ต้องแบกกลับมาให้ได้ !
ส่วนบ้านสองสามหลังที่ไม่มีแรงงานคนหนุ่มสาวก็ไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ทั่วทั้งหมู่บ้านมีเพียงครอบครัวผู้ใหญ่วังและตระกูลหลินเท่านั้นที่เลี้ยงสัตว์ ทั้งสองครอบครัวจึงร่วมมือกันเพื่อนำข้าวสารของคนเหล่านี้ใส่เกวียนและนำกลับมาให้ที่หมู่บ้าน !
ไม่รีบไปรับอาหารหมายความว่าสมองมีปัญหา ! ดังนั้นฟ้ายังไม่ทันสว่าง ชาวบ้านฉือหลี่โกวก็มุ่งหน้าไปยังตัวอำเภออย่างแข็งขันภายใต้การนำของผู้ใหญ่บ้าน
ระยะห่างจากฉือหลี่โกวไปยังตัวอำเภอ หากเทียบกับไปเขตเริ่นอันแล้วก็อยู่ห่างประมาณ 2 เท่าได้ ต้องเดินทาง 1 วันเต็มจึงจะถึงตัวอำเภอเป่าชิง
ด้านนอกอำเภอเป่าชิงมีผู้คนรวมตัวกันนับไม่ถ้วน ผู้คนส่วนมากก็เหมือนกับฉือหลี่โกวคือออกจากหมู่บ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง
และบนตัวพวกเขายังมีลักษณะเด่นเหมือนกัน…ร่างกายซูบผอมเหมือนท่อนฟืน ฝีเท้าโซเซไปมา เมื่อเทียบกับชาวฉือหลี่โกวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างภายนอก หน้าตาหรือสภาพจิตใจก็ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ชาวฉือหลี่โกวแม้จะใส่เสื้อผ้าเก่าแต่หน้าตาก็สะอาดสะอ้าน แม้จะไม่อ้วน แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วก็สามารถบรรยายด้วยคำว่าแข็งแรงได้
สิ่งที่สะดุดตากว่านั้นคือในบรรดาชาวฉือหลี่โกวยังมีเกวียนเทียมสัตว์ที่มีชีวิตชีวาด้วย…พื้นที่อื่นแทบไม่มีหญ้าขึ้น มนุษย์แทบไม่มีน้ำดื่ม แล้วจะเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานได้อย่างไร ? ในสถานการณ์ที่หิวกระหาย สัตว์เลี้ยงเหล่านี้ล้วนกลายเป็นอาหารเพื่อประทังชีวิตเจ้าของทั้งสิ้น…
“หะ…เหตุใดพวกเขาจึงมองพวกเราเช่นนี้ ? แปลก…มันอนาถจนน่าตกใจ ! ” ซัวถัวนำเกวียนเทียมล่อเคลื่อนผ่านผู้ประสบภัยอย่างช้า ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ประสบภัยมากเช่นนี้ ขณะมองใบหน้าที่เฉยชาของแต่ละคนก็ทำให้เขานึกถึงคำหนึ่ง…ซากศพเดินได้ !
หลินเว่ยเว่ยเขย่งเท้ามองคนที่มาขอรับเสบียงซึ่งต่อแถวยาวราวกับหางมังกรพลางพูดกับเจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนว่า “ต้องต่อแถวไปจนถึงเมื่อไร ? อย่าว่าแต่พรุ่งนี้เลย แม้จะเป็นวันมะรืนก็ยังไม่ได้กลับ ! พวกเราออกมากันหมดแล้ว ในบ้านไม่มีคนอยู่เลย ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ! ”
ขณะมองหลินเว่ยเว่ยที่กลับมาอยู่ในชุดของบุรุษอีกครั้ง เจียงโม่หานก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมไม่สมวัย “ข้าส่งจดหมายถึงหลีชิงแล้ว เขาน่าจะรีบกลับมาถึงหมู่บ้านวันนี้”
ทันใดนั้นจิตใจที่กระวนกระวายของหลินเว่ยเว่ยก็ถูกปลอบประโลมเพราะน้ำเสียงหนักแน่นของอีกฝ่าย “มีเขาอยู่ ข้าก็วางใจแล้ว ! ”
ชายฉกรรจ์ทั้งหมู่บ้านออกมาหมด ในหมู่บ้านจึงเหลือเพียงคนแก่ เด็กและสตรีที่อ่อนแอ ตอนนี้สามารถกล่าวได้ว่าหมู่บ้านฉือหลี่โกวเป็น ‘เรือโนอาห์’ ในปีแห่งภัยพิบัติ ขณะที่ให้ความหวังแก่พวกเขา ตัวเรือก็อาจนำหายนะมาสู่ตัวพวกเขาด้วย !
โชคดีที่ฉือหลี่โกวอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไปมาหาสู่หมู่บ้านในละแวกใกล้เคียงไม่บ่อยนัก ผู้ใหญ่บ้านยังออกคำสั่งให้ชาวบ้านปิดปากเงียบ แม้จะเป็นญาติที่สนิทยิ่งกว่าสิ่งใดก็ห้ามเปิดเผยว่าในหมู่บ้านฉือหลี่โกวมีเงินหรือมีอาหารใดบ้าง เนื่องจากสิ่งที่น่ากลัวกว่าภัยพิบัติคือจิตใจมนุษย์ !
ในสายตาของหลินเว่ยเว่ยแล้ว ความลับของฉือหลี่โกวไม่อาจถูกปิดบังได้นานนักหรอก เพราะหัวใจมนุษย์มีเลือดเนื้อ ใครจะทนเห็นบ้านฝ่ายมารดาหรือบุตรสาวที่ออกเรือนไปต้องอดตาย ?
โชคดีที่ทางการเปิดคลังบรรเทาทุกข์ ชาวบ้านจึงมีทางรอด ดังนั้นย่อมมีน้อยคนที่จะเลือกเดินบนทางสุ่มเสี่ยง การตัดสินใจของทางการไม่เพียงช่วยชีวิตของชาวบ้านหลายพันที่ต้องเผชิญความหิวโหย แต่ยังช่วยกันอันตรายที่ซ่อนอยู่ให้แก่หมู่บ้านฉือหลี่โกวด้วย
เท่าที่หลินเว่ยเว่ยสังเกตเห็นคือผู้ที่มารับอาหารบรรเทาทุกข์ส่วนใหญ่จะมาเป็นหมู่บ้าน ชาวบ้านที่ได้รับอาหารแล้วก็กลับมารวมตัวกับคนในหมู่บ้านของตน พวกเขาไม่ได้รีบเดินทางกลับ แต่ใช้โถดินที่พกติดตัวมาด้วยตักน้ำสีโคลนจากแม่น้ำแถวนั้นใส่ลงไป หลังกำจัดสิ่งสกปรกเล็กน้อยออกแล้วก็แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะใช้มันต้มโจ๊กกินตรงนั้นเลย เนื่องจากตอนเดินทางมา พวกเขาทั้งหมดใช้กำลังใจในการเดินทาง หากยังไม่กินสิ่งใดเข้าไปอีกก็คงจะหมดแรงก่อนจะไปถึงหมู่บ้าน
และก็มีบางคนที่มาถึงอำเภอเป่าชิงแล้วน่าเสียดายที่ยังไม่ทันรอให้ได้อาหารบรรเทาทุกข์ก็ต้องสิ้นลมเสียก่อน บรรดาทหารประจำอำเภอเป่าชิงนำร่างเหล่านี้ไปเผารวมกันและโรยผงปูนตรงที่ผู้ประสบภัยรวมตัวอยู่หรือพ่นยาบางชนิดที่สามารถป้องกันโรคระบาดได้
หลินเว่ยเว่ยเห็นชายชราคนหนึ่งคว้าข้าวสารที่บุตรชายเป็นคนแบกมากินดิบ ๆ ทว่าอาหารมื้อนี้ก็ยังไม่อาจหยุดคมเขี้ยวมัจจุราชไว้ได้ ตอนที่เขาล้มลงกับพื้น ปากก็ยังเคี้ยวข้าวดิบไม่หยุด…
แม้ราษฎรนอกเมืองจะมีจำนวนมาก แต่ก็เงียบสงัดราวกับสุสาน มีเพียงเสียงร่ำไห้เท่านั้นที่ดังอื้ออึงขึ้นเป็นครั้งคราว…
“ผู้ใหญ่บ้าน ทางการไม่อนุญาตให้เราเข้าไปเอาอาหารในเมือง เช่นนั้นคืนนี้พวกเราก็หาที่พักกันข้างนอกนี้เถิด” หลิวต้าซวนออกมาจากฝูงชนแล้วกล่าวพร้อมคิ้วที่ขมวดเป็นปม
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้ารับ จากนั้นก็หันไปมองเจียงโม่หานและหลินเว่ยเว่ย “ดูเหมือนได้แต่รออยู่ที่นอกเมือ
ง ! ”
หลินเว่ยเว่ยมองผู้คนที่พลุกพล่านไปมาอยู่ใกล้ประตูเมือง นางจึงกล่าวขึ้นว่า “คนเยอะเช่นนี้ ใครจะรู้ว่ามีคนเป็นโรคระบาดหรือไม่ ? เช่นนั้น…พวกเราออกไปไกล ๆ หน่อย เลือกที่ว่างตั้งค่ายพักแรมดีหรือไม่ ? ”
หลินจื่อเหยียนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “จะตั้งค่ายพักแรม ท่านเห็นพวกเราเป็นทหารแนวหน้าหรือ ? ”
“ทหารปกป้องแคว้นเพื่อราษฎร พวกเราก็ทำเพื่อครอบครัวเพื่อคนที่รักเหมือนกัน กลุ่มหนึ่งทำเพื่อคนทั้งแผ่นดิน อีกกลุ่มทำเพื่อคนในครอบครัว ก็เหมือนกันนั่นแหละ ! ” หลินเว่ยเว่ยเริ่มมีความคิดอลังการ
แต่ผู้ใหญ่บ้านบังเกิดความลังเล “ถ้าอยู่ห่างจุดที่แจกอาหารไปไกล พรุ่งนี้ตอนเริ่มแจกอาหาร พวกเราจะไม่ต่อแถวหลังสุดเลยหรือ ? ”