ตอนที่ 272 คารวะอาจารย์

ตอนที่ 272 คารวะอาจารย์

ฉินเคอวั่งเห็นแม่วิ่งตรงมาหา ก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “แม่ครับ ผมทำได้ อาจารย์ยอมรับผมแล้วครับ” หลังจากพูดจบ แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความสุขอย่างไม่อาจปกปิดได้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเด็กหนุ่มที่ยังเก็บสีหน้าตัวเองไม่เก่ง

เจี่ยงสือเหิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นเช่นกัน “เหล่าเหลียงยอมรับเคอวั่งแล้ว เขารู้สึกว่าเคอวั่งมีพรสวรรค์มาก”

“จริงเหรอ นี่มันเยี่ยมมากเลย”

ใบหน้าของซูหว่านอี๋ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน จากนั้นก็กอบกุมมือของลูกชายแล้วเอ่ยขึ้น “เคอวั่ง ตอนนี้ลูกได้อาจารย์แล้ว ก็ต้องเคารพอาจารย์ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปนะ”

ฉินเคอวั่งพยักหน้าก่อนจะกล่าวขึ้น “อื้ม ผมจะทำตามนั้นครับ”

ในฐานะพ่อ ฉินเจี้ยนเซ่อต้องรู้สึกตื่นเต้นอยู่แล้ว เพียงแต่เขาพูดไม่เก่งเท่านั้น จึงไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่ก้าวไปข้างหน้าแล้วตบบ่าลูกชายก่อนจะเอ่ยว่า “เคอวั่ง ทำได้ดีมาก”

ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ดีใจด้วยอยู่แล้ว เมื่อเห็นทุกคนกำลังยืนอยู่ตรงลานหน้าบ้าน ก็อดพูดพร้อมหัวเราะเสียไม่ได้ “พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ เดี๋ยวให้เคอวั่งเล่าให้ฟังว่าพิชิตใจอาจารย์ได้ยังไง”

“ใช่แล้ว พวกเราเข้าไปกันก่อน”

ซูหว่านอี๋พยักหน้าเห็นด้วย แล้วรีบพาลูกชายเข้าไป

ฉินมู่หลานเดินรั้งท้ายสุด ก่อนจะมองเจี่ยงสือเหิงแล้วเอ่ยขึ้น “ขอบคุณค่ะพ่อ”

“มู่หลาน พวกเราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน มีอะไรต้องขอบคุณอีก แต่วันนี้เป็นเพียงการตัดสินใจเท่านั้น เคอวั่งยังไม่ได้เป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ พรุ่งนี้พวกเราทุกคนจะต้องไปที่บ้านของเหล่าเหลียง และให้ทำพิธีเคารพอาจารย์”

“ค่ะ”

ฉินมู่หลานยกยิ้มแล้วพยักหน้า ก่อนจะคิดอยู่ว่าต้องเตรียมสิ่งใดไปบ้างในพิธีเคารพอาจารย์

หลังจากทุกคนเข้ามาในห้องโถงแล้ว ซูหว่านอี๋ก็เป็นคนแรกที่หันมองแล้วเอ่ยถามฉินเคอวั่ง “เคอวั่ง ลูกเล่าหน่อยสิว่าอาจารย์ยอมรับลูกได้ยังไง?”

ฉินเคอวั่งยิ้มพลางกล่าวอธิบายแต่ละขั้นตอน สุดท้ายก็กล่าวว่า “อาจารย์เห็นภาพวาดของผม แล้วถามคำถามผมเพิ่มเติมนิดหน่อย หลังจากนั้นเขาก็ยอมรับผม จริง ๆ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่เลยครับ ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าอาจารย์จะยอมรับผมแบบนี้”

ฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินเช่นนี้ ก็เอ่ยอย่างภาคภูมิ “คงเป็นเพราะลูกมีพรสวรรค์ อาจารย์ถึงได้ยอมรับลูก แต่ต่อไปเมื่อได้เป็นลูกศิษย์แล้ว ลูกก็ต้องตั้งใจเรียนกับอาจารย์ให้ดีด้วย”

“อื้ม ผมจะตั้งใจเรียนกับอาจารย์อยู่แล้วครับ”

และซูหว่านอี๋ก็นึกไปถึงพิธีเคารพอาจารย์เช่นกัน จึงอดถามเจี่ยงสือเหิงไม่ได้ “สือเหิง พวกเราต้องเตรียมพิธีเคารพอาจารย์ให้เคอวั่งอย่างไรบ้าง?”

“เหล่าเหลียงไม่ใช่คนเคร่งเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นพวกคุณเตรียมของบางอย่างไปก็พอแล้ว”

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ฉินเจี้ยนเซ่อกับซูหว่านอี๋กลับมองว่าไม่ควรทำแบบไม่ใส่ใจ เพราะเจี่ยงสือเหิงเคยบอกว่าอาจารย์ของลูกชายคนนี้เก่งมาก จึงต้องมีคนรู้จักอยู่ไม่น้อยแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงควรจริงจังให้มากกว่านี้

“พ่อคะ แม่คะ เดี๋ยวหนูเตรียมพิธีเคารพอาจารย์เอง พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วง แต่พวกพ่อกับแม่ไปหาดูเสื้อผ้าที่จะใส่ไปในพิธีเคารพอาจารย์ของเคอวั่งให้เรียบร้อยก็พอค่ะ พ่อบุญธรรมบอกว่า พรุ่งนี้พวกเราจะไปที่นั่นด้วยกัน จะได้ไปเป็นพยานในพิธีเคารพอาจารย์ให้เคอวั่งด้วยตาตัวเอง”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหว่านอี๋กับฉินเจี้ยนเซ่อก็เริ่มคิดว่าพวกเขาจะสวมใส่เสื้อผ้าอะไร สุดท้ายทั้งสองก็ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะแต่งตัวให้เป็นทางการมากขึ้น

ฉินเคอวั่งก็ได้ตัดสินใจสวมใส่ชุดที่เป็นทางการมากขึ้นกว่าเดิมเหมือนกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะเป็นศิษย์ ไม่ค่อยมีประสบการณ์มากนัก เพราะฉะนั้นจึงเอ่ยถามเจี่ยงสือเหิงเกี่ยวกับบางเรื่องอีกครั้ง

ส่วนฉินมู่หลานเริ่มจดรายชื่อสิ่งของที่ต้องใช้ในพิธีเคารพอาจารย์วันพรุ่งนี้แล้ว หลังจากนั้นก็เพิ่มยาบำรุงสุขภาพที่เธอเป็นคนทำลงไปด้วย

หลังจดรายชื่อเสร็จ ตอนแรกเธอคิดจะให้เซี่ยเจ๋อหลี่ไปซื้อให้ แต่ลุงเจี่ยงมีน้ำใจมาก ให้คนไปเตรียมมาให้แทน

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานรวมทั้งครอบครัวก็ออกเดินทางไปพร้อมกับเจี่ยงสือเหิง

“เหล่าเหลียง พวกเรามาแล้ว”

เจี่ยงสือเหิงเดินไปเคาะประตู หลังจากนั้นก็มีคนเปิดประตูออกมา

คนที่เปิดประตูคือผู้หญิงวัยกลางคน ฉินมู่หลานเห็นคนนั้นเดินมา ก็จ้องมองอีกครั้ง

และเจี่ยงสือเหิงก็พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ พวกเรามากันอีกแล้ว”

โจวเหยียนได้ยินแบบนี้ก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “สือเหิง นายเกรงใจไปแล้ว เหล่าเหลียงรออยู่ข้างในแล้ว พวกเธอรีบเข้ามากันเถอะ” หลังจากพูดจบ หล่อนก็หันมองฉินเคอวั่งแล้วกล่าวทักทาย “เคอวั่ง อรุณสวัสดิ์จ่ะ”

“อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์หญิง”

ฉินเคอวั่งตอบกลับด้วยความเคารพ

หลังจากนั้นโจวเหยียนก็หันมองฉินเจี้ยนเซ่อและคนอื่น ๆ ก่อนจะยกยิ้มแล้วกล่าวทักทาย “พวกคุณคือครอบครัวของเคอวั่งใช่ไหมคะ รีบเข้ามาเถอะค่ะ”

หลังจากคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปแล้ว ชายร่างสูงผอมคนหนึ่งก็ยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น เขาเอ่ยทักทายเจี่ยงสือเหิงก่อน จากนั้นก็หันไปพูดกับฉินเจี้ยนเซ่อแล้วกล่าวว่า “คุณคือพ่อของเคอวั่งใช่ไหมครับ สวัสดีครับ”

ฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินเช่นนี้ ก็รีบจับมือด้วยทันที “สวัสดีครับ”

ในตอนนี้ เจี่ยงสือเหิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยแนะนำแต่ละคน “เจี้ยนเซ่อ ท่านผู้นี้คืออาจารย์ของเคอวั่ง ชื่อเหลียงถง” หลังจากนั้นก็เอ่ยแนะนำสมาชิกครอบครัวฉินให้รู้จักกับเหลียงถง “เหล่าเหลียง คนเหล่านี้คือพ่อแม่ของเคอวั่ง ส่วนนี่คือพี่สาวกับพี่เขย”

ฉินมู่หลานไม่ได้พาลูกทั้งสองคนมาด้วย เธอให้พวกเขาอยู่ที่บ้านโดยลุงเจี่ยงคอยดูแลแทน

เหลียงถงฟังคำแนะนำของเจี่ยงสือเหิงแล้วก็ทักทายทีละคน

ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ยิ้มและกล่าวทักทายอาจารย์ของฉินเคอวั่งด้วย จากนั้นก็ส่งมอบของพิธีไหว่ครู

โจวเหยียนที่อยู่ด้านข้างรับของมาและรู้สึกว่าสิ่งของช่างมากมายนัก หล่อนจึงอดพูดไม่ได้ “พวกคุณเตรียมมาเยอะเกินไปแล้วนะคะ”

ซูหว่านอี๋ที่อยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยทันที “ไม่มากมายอะไรหรอกค่ะ เคอวั่งเป็นคนคิดหมดเลย”

โจวเหยียนได้ยินดังนั้นจึงไม่พูดอะไรอีก

และเหลียงถงก็ได้มองดูเวลา ก่อนจะหันไปมองฉินเคอวั่งแล้วพูดขึ้นอย่างเสียอดไม่ได้ “เอาล่ะเคอวั่ง พวกเรามาเริ่มกันเลยเถอะ”

ฉินเคอวั่งได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว

โจวเหยียนเห็นดังนี้ก็ยิ้มแล้วหยิบถ้วยน้ำชาออกมา ก่อนจะเอ่ย “พวกเราก็ไม่ได้เคร่งขนาดนั้น แค่ยกน้ำชาสักถ้วยก็พอแล้ว”

ฉินเคอวั่งหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาด้วยท่าทางเคร่งขรึม ก่อนจะคุกเข่าลง จากนั้นก็ยื่นถ้วยน้ำชาไปให้เหลียงถงด้วยความเคารพ

เหลียงถงรับมันด้วยรอยยิ้ม ก็จะยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มทันที

ฉินเคอวั่งเห็นอาจารย์ดื่มน้ำชาที่ยกให้แล้ว ก็ก้มลงคารวะอาจารย์อีกสามครั้ง

เหลียงถงเห็นใบหน้าของฉินเคอวั่งเต็มไปด้วยความจริงจังและความเคารพ ก็อดหัวเราะไม่ได้ หลังจากนั้นเขาก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาแล้วส่งให้ ก่อนจะพูดขึ้น “เคอวั่ง จากนี้ไปเธอกับฉันเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว เอาหนังสือเล่มนี้กลับไปอ่านให้ละเอียด จากนั้นมีอะไรไม่เข้าใจเธอก็เขียนลงไป จากนั้นพอถึงเวลาฉันจะอธิบายให้เธอฟังเอง”

“ครับ ขอบคุณครับอาจารย์”

ฉินเคอวั่งหยิบหนังสือขึ้นมาด้วยสีหน้าดีใจ ก่อนจะลุกชึ้นยืน

ซูหว่านอี๋กับฉินเจี้ยนเซ่อเห็นว่าพวกเขากลายเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว สีหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้แต่ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ยังยิ้ม

โจวเหยียนยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “พวกนายคุยกันไปก่อน ฉันไปเตรียมมื้อกลางวันก่อน เดี๋ยวมื้อกลางวันกินข้าวด้วยกันเถอะ”

ซูหว่านอี๋ได้ยินแบบนี้ ก็รีบยืนขึ้นทันที ก่อนจะเอ่ย “เดี๋ยวฉันช่วยค่ะ”

โจวเหยียนปฏิเสธ แต่ซูหว่านอี๋ยังยืนกราน สุดท้ายทั้งสองก็เข้าครัวไปด้วยกัน

มื้อกลางวันอิ่มหนำสำราญมาก ทุกคนรับประทานอาหารภายใต้บรรยากาศกลมเกลียว

เมื่อเจี่ยงสือเหิงกำลังจะกลับไปพร้อมกับครอบครัวของฉินเจี้ยนเซ่อ ทันใดนั้นฉินมู่หลานก็หันไปพูดกับโจวเหยียนแล้วพูดขึ้น “พี่สะใภ้คะ ขอฉันตรวจชีพจรคุณหน่อยได้ไหม”

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

พิธีผ่านไปด้วยดี ดีใจกับเคอวั่งด้วยค่ะ

มู่หลานเห็นความผิดปกติอะไรเหรอ?

ไหหม่า(海馬)