บทที่ 195.2 เข้าข้าง (2)
แววตาของกู้เจียวในตอนนี้แฝงไปด้วยความอันตราย “ตอนสอบระดับมลฑล เขาสอบได้อันดับเท่าไหร่”
“สิบเอ็ด” หลินเฉิงเย่เอ่ย เขาจำอันดับได้แม่น เพราะการสอบครั้งนั้น เขาเองก็คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้เข้ารอบ เขาจำรายชื่ออันดับตั้งแต่ที่หนึ่งยันที่โหล่ได้แม่น
เฝิงหลินได้อันดับสิบเจ็ด เซียวลิ่วหลังนำหน้าเขามาแค่หกอันดับเท่านั้น หากเป็นการสอบที่โยวโจวคงไม่มีอะไร แต่ถ้าเป็นเมืองหลวงแล้วละก็ อาจเป็นอะไรที่ไม่โดดเด่นนัก
ใครจะมาดูแคลนกับคนที่สอบได้แค่อันดับสิบเอ็ดในระดับมณฑลกันละ
ขนาดระดับเฮ่อจิงหงยังสอบเข้ากั๋วจื่อเจียนไม่ได้ คงไปไม่ถึงระดับฮุ่ยซื่อแน่นอน
แต่ถ้าหากเขาสอบระดับฮุ่ยซื่อได้จริงๆ ก็จะเป็นการเพิ่มอำนาจให้แก่จวนหลัวกั๋วกง
อย่ามองแค่เผินๆ ว่าฝ่าบาทจะเป็นผู้ดำเนินการสอบในวังก็ตาม ที่จริงแล้ว มันคือหลุมพรางขนาดใหญ่เชียวละ
การสอบเตี้ยนซื่อหรือการสอบในวัง ฮ่องเต้จะเป็นคนคุมสอบด้วยตัวเอง และแน่นอนว่า ด้วยอำนาจของพระองค์ สามารถขับไล่ผู้สอบหรือบัณฑิตที่ไม่ชอบขี้หน้าออกไปได้อย่างง่ายดาย และหากพระองค์พอพระทัยใครเข้า ก็จะจดจำไว้ในใจ แต่แน่นอนว่าฮ่องเต้มิอาจทำหน้าที่ตรวจข้อสอบของทุกคนได้เพียงลำพัง
กระดาษคำตอบของผู้เข้าสอบจะต้องผ่านการตรวจจากขุนนางระดับสูง พวกเขาจะทำการเลือกกระดาษคำตอบที่ดีที่สุดมาประมาณสิบชุด จากนั้นจะส่งต่อให้ฮ่องเต้ตรวจอย่างละเอียด จากนั้นก็จะทรงเลือกสามอันดับแรกที่ทำคะแนนได้ดีที่สุด ตามมาด้วยอันดับรองลงมา
พอถึงตรงนี้ ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของกลการเมืองของฮ่องเต้และเหล่าขุนนาง
คนที่พวกเขาเลือกขึ้นมา มีทั้งคนที่ทำคะแนนได้ดี รวมถึงคนที่ได้คะแนนพิศวาสด้วย
แน่นอนว่าฮ่องเต้จะต้องปกป้องคนที่ตัวเองอยากให้ขึ้นมา แต่การที่จะทำเช่นนั้นได้ ฮ่องเต้จะต้องยอมให้คนที่พวกขุนนางเลือกไว้ได้ขึ้นมาด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้น พวกขุนนางจะปัดคนของฮ่องเต้ลงไปจากสิบอันดับแรก ซึ่งถือเป็นการตัดโอกาส
และแม้ว่าบัณฑิตเหล่านี้จะไม่ได้เข้าสู่ระดับที่หนึ่ง พวกเขาก็ยังมีโอกาสได้เป็นระดับสอง และไม่มีความเสี่ยงที่จะได้อยู่ในระดับสาม
แน่นอนว่าพวกขุนนางจะต้องทำแต่พองาม หากยัดคนไร้ความสามารถขึ้นมาละก็ ฮ่องเต้จะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน
หากพูดถึงเฮ่อจิงหง ก็ถือว่าเป็นคนมีความสามารถระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นจะได้อยู่ในอันดับต้นๆ ที่ผ่านมาเขาเองก็ทำคะแนนได้ไม่แย่ หากสอบฮุ่ยซื่อครั้งนี้เขาทำคะแนนได้ดี ก็คงไปได้ถึงระดับสอบในวังสบายๆ มิใช่หรือ
“ฮ่องเต้องค์นี้เป็นแค่หุ่นเชิดอย่างนั้นรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
ตู้รั่วหานถอนหายใจ ก่อนจะอธิบาย “ก่อนหน้านี้ไทเฮาอยู่หลังม่านมาตลอดเลยน่ะสิ อำนาจทั้งหมดตกอยู่ในกำมือของพระเชษฐา หรือก็คือราชครูจวง พอมาปีนี้ สถานการณ์เลยเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ด้วยความที่ไทเฮาทรงประชวรหนัก อำนาจของตระกูลจวงจึงค่อยๆ เสื่อมลงตามกาลเวลา แล้วก็เพราะเหตุนี้ หลายฝ่ายต่างก็จ้องจะฉวยโอกาสครั้งนี้ในการคว้าอำนาจ ไม่เช่นนั้นเมื่อฮ่องเต้ทรงรับอำนาจกลับคืนมาโดยสมบูรณ์ ก็จะเป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จะควบคุมการสอบขุนนางเคอจวี่ในวังหลวง”
ในขณะที่เฝิงหลินและคนอื่นๆ กำลังดีอกดีใจกับชัยชนะในวันนี้ ตัดภาพมาที่ตู้รั่วหานผู้โชคร้ายที่ยืมเงินเดือนหน้ามาใช้ แต่ดันแพ้ราบคาบจนจำต้องเทหมดหน้าตัก
หญิงชรานั่งนับเงินด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจ
เฝิงหลินและคนอื่นๆ ขอตัวกลับ
ก่อนกลับ พวกเขาหันไปมองเซียวลิ่วหลังด้วยสายตาประหลาด
เซียวลิ่วหลังจึงเลิกคิ้วขึ้น “มีอะไรรึ”
ทั้งสามรีบส่ายหัวอย่างรุนแรง “เปล่า เปล่า ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร!”
เจียวเหนียงขอให้พวกเขาทำเป็นไม่รู้ พวกเขาเลยต้องทำตามนั้น
จากนั้นทั้งสามขึ้นรถม้าของหลินเฉิงเย่และออกตัวไป
พอส่งพวกเขาเสร็จ เซียวลิ่วหลังก็เดินไปที่ลานเรือน แต่เจอกับกู้เจียวที่กำลังทำท่าเหมือนจะออกไปข้างนอก
“ดึกป่านนี้แล้ว จะออกไปไหน”
กู้เจียวร้องอ๋อหนึ่งที ก่อนตอบ “ไปโรงหมอน่ะ”
เซียวลิ่วหลังและคนอื่นๆ ได้หยุดสิบวัน เถ้าแก่รองจึงเพิ่มวันหยุดให้กู้เจียวด้วย เพื่อให้นางได้มีเวลาอยู่กับสมาชิกในเรือน ดังนั้นแล้ว วันนี้กู้เจียวไม่ต้องไปโรงหมอ
แต่ต่อให้มีธุระจะต้องออกไปจริงๆ ปกติกู้เจียวไม่เคยไปที่โรงหมอตัวเปล่า
นางจะต้องสะพายตะกร้าใบเล็กที่มีกล่องยาในนั้นอยู่ด้วยเสมอ
เซียวลิ่วหลังชำเลืองกู้เจียวอยู่พักหนึ่ง
แต่ดูเหมือนเขาจะคิดมากไปเอง เพราะครั้งนี้กู้เจียวเดินทางไปที่โรงหมอจริงๆ กู้เจียวไปเพื่อดูอาการของกู้เฉิงหลิน ส่วนตำรับยาที่ใช้รักษากู้เฉิงหลิน กู้เจียวได้มอบหมายให้หมอซ่งแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพกกล่องยาไปอีก
สาบานว่านางไม่ได้จะออกไปหาเรื่องคนที่ชื่อเฮ่อจิงหงอะไรนั่น
เพราะนางไม่รู้ว่าเฮ่อจิงหงพักอยู่ที่ไหน
แต่ไม่รู้เป็นเพราะวันนี้โชคเข้าข้างหรืออย่างไร หลังเสร็จจากดูอาการกู้เฉิงหลิน ก็บังเอิญ คนหาบเร่ขายนกเดินผ่านมาแถวนี้พอดิบพอดี
“ท่านชายเฮ่อ! นกแก้วที่ท่านชายอยากได้มาแล้วขอรับ!” คนหาบเร่ยื่นกรงนกให้ท่านชายผู้สูงศักดิ์ ยกผ้าคลุมกรงนกแล้วพูดว่า “กว่าจะได้มาไม่ง่ายเลยขอรับ นางปฏิเสธที่จะขายมันในตอนแรก ข้าน้อยต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการโน้มน้าวนาง”
“น้าของข้าชอบเลี้ยงนก!” ท่านชายคนนั้นเอ่ยตอบ
คนหาบเร่หัวเราะ พลางเอ่ย “ข้าไม่ได้โม้นะท่านชาย เจ้าตัวเล็กนี่ ฉลาดที่สุดในเมืองหลวงแล้วขอรับ ฮูหยินกั๋วกงจะต้องพอใจมากแน่ๆ ขอรับ!”
ท่านชายคนนั้นทำหน้ายิ้มกริ่มพอใจ ก่อนจะโยนถุงเงินให้ แล้วเรียกให้ผู้ติดตามมายกกรงนกให้ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินมุ่งหน้าไปทางในตรอก
มาจากตระกูลเฮ่อ มีน้าเป็นฮูหยินกั๋วกง
ชัดแล้วละ กู้เจียวไม่ปล่อยไว้แน่นอน
นางไม่ได้ออกแรงตามหาเขาเลยสักนิด แต่เป็นเขาต่างหากที่โผล่มาเอง ถูกไหมละ
ไม่รอช้า กู้เจียวรีบสะกดรอยตามเขาไป
ท่านชายเฮ่อถือกรงนกด้วยตัวเอง เดินไปก็พลางนึกภาพตอนที่น้าตัวเองกำลังมีความสุขกับเจ้านกแก้วตัวใหม่นี้ แค่คิดก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
เขาเดินเข้าไปในตรอกๆ หนึ่ง
พร้อมกับผู้ติดตามประมาณเจ็ดถึงแปดคน
ตอกแรกก็ยังดีๆ อยู่หรอก สักพักก็…
ฉึ่บ!
หายไปแล้วหนึ่งคน!
ฉึ่บ!
หายไปอีกหนึ่งคน!
ท่านชายเฮ่อรู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้อง พยายามหันมามองข้างหลัง แต่เป็นเพราะอยู่ในช่วงตรอกแคบ เขาจึงไม่ได้เอะใจว่าจำนวนคนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ
ฉึ่บ ฉึ่บ ฉึ่บ!
พอรู้ตัวอีกที ก็พบว่าเหลือผู้ติดตามแค่คนเดียวแล้วเท่านั้น
ผู้ติดตามที่เหลืออยู่คนเดียวเริ่มผวา!
จนท่านชายเฮ่อก็ผวาตามไปด้วย “เจ้าเป็นอะไรไป”
สิ้นเสียงดังอัก! ผู้ติดตามคนนั้นก็ล้มลงไป!
ทันใดนั้น กู้เจียวปรากฏกายด้านหน้าของท่านชายเฮ่อ
กู้เจียวอยู่ในชุดสีเขียวแขนเสื้อรัดรูป เส้นผมดำขลับถูกรวบขึ้นและมัดรวมด้วยปิ่นปักผมหยกขาวที่เซียวลิ่วหลังเคยมอบให้ ชายกระโปรงเป็นผ้าไหมสีน้ำเงินที่ปลิวไสว ทั้งดูสง่างามและเป็นธรรมชาติท่ามกลางลมหนาว
นัยต์ตาของนางสุขุมและเยือกเย็น แต่ก็แฝงไปด้วยความไม่พอใจ
“เฮ่อจิงหงสินะ” กู้เจียวเปิดก่อน